วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หนังนักเขียน

หลังจากที่เคยอ่านสงครามและสันติภาพในสมัยเรียนที่อ่านอย่างไรก็ไม่จบและไม่เข้าใจครบถ้วน ก็เลยคิดว่าจะหาดีวีดีภาพยนตร์เรื่องนี้ดูอีกครั้ง เพราะฉายเป็นภาพ มันก็เหมือนถูกตีความมาให้รับรู้แล้ว (แอ๊บง่ายเข้าว่า) หากว่ามาสะดุดที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ และบังเอิญพบฟีเจอร์ดีๆ จึงอยากแบ่งปัน หากมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อไหร่ ไม่ลืมตั้งตนเป็นนักวิจารณ์ จับผิดเรื่องที่ข้องใจมาเขียนให้อ่านกัน




หนังนักเขียน

ภาพยนตร์ที่นำอัตชีวประวัตินักเขียนคนดังถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องเพราะมันไม่น่าเบื่อ ผู้ชมมีความเชื่อส่วนบุคคลต่างๆ นานา ว่า ในมุมมืดนักเขียนขี้เมา บ้าคลั่ง และหมกมุ่นทางเพศ เรื่องเหล่านี้ก็เคลือบเข้ากับเรื่องราวให้บีบคั้นอารมณ์ ไม่เช่นนั้นคงไม่น่าสนใจ ไม่มีใครอยากรู้ หนังสืออัตชีวประวัตินักเขียนก็ไล่ความมาจากเรื่องจริงของพวกเขาใช่ไหม? ทำไมไม่ปล่อยให้พวกเขาเล่าเป็นตัวหนังสือ? ทำไมต้องไปไล่ตามฉายชีวิตนักเขียน? นั่นอาจเพราะ ในฐานะนักอ่าน เราก็อยากทำหน้าที่สายสืบสมัครเล่นสืบความจริงจากเรื่องราวที่อ่าน ในหนังสืออัตชีวประวัติเหล่านั้น เราชอบเข้าไปขุดโพรงชีวิตของเขาและเปิดประสบการณ์ชีวิตเด็ดๆ ซึ่งถูกลับคมให้เรื่องราวเฉียบคม ปัญหาก็คือชีวิตนักเขียนไม่สามารถสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เสมอไป ถ้านักเขียนเป็นคนดีล่ะ? พวกเขาบางคนใช้เวลาทั้งสัปดาห์เพียงลำพังอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้อง หรือไม่ก็หมกจมกับกองกระดาษ (สำหรับนักเขียนหัวเก่า)

เพราะฉะนั้น ภาพยนตร์ที่มีตัวละครดำเนินเรื่องเป็นนักเขียนนามอุโฆษ เรื่องราวจึงถูกทำให้แฟนตาซี นั่นคือนักเขียนดื่มจัด บ้าคลั่ง หมกหมุ่นทางเพศ เหมือนเช่นตัวอักษรจากปลายปากกา เช่น ภาพยนตร์เรื่อง

Quills หนังอัตชีวประวัติของ the Marquis de Sade
Naked Lunch หนังอัตชีวประวัติของ William Burroughs
Where the Buffalo Roam, Fear and Loathing หนังอัตชีวประวัติของ Hunter S Thompson
Bar Fly, Factotum หนังอัตชีวประวัติของ Charles Bukowski
Henry and June หนังอัตชีวประวัติของ Think Henry Miller

ทว่าก็มีเหมือนกันที่ใช้ไลฟ์สไตล์ของนักเขียนมากกว่าสไตล์การเขียน อย่างภาพยนตร์ของ Thompson เพราะเขามีประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนในการเผชิญแรงวัฒนธรรมในยุคเซเว่นตี้

ภาพยนตร์นักเขียน โดยเป็นที่นิยมมักเป็นนักเขียนนวนิยาย เพราะว่าเรื่องดราม่าประโลมโลก มันไม่เคร่งครัดในข้อมูลความจริง ภาพยนตร์เรื่อง In The Shining ที่แจ๊ค นิโคลสัน แสดงเป็นนักเขียนชื่อดังผู้คร่ำเคร่งอย่างทุกข์ทน หัวสมองตีบตันขณะกักตัวเองเขียนงานในโรงแรมที่ว่างเปล่าในช่วงฤดูหนาว
ซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Californication เรื่องราวของนักเขียน Hank Moody ชีวิตของเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็กส์และยาเสพติด หากว่าในซีรีส์เน้นความบันเทิงมากกว่าเรื่องจริงที่นักเขียนเขียนไว้

เมื่อไรที่หัวเรื่องภาพยนตร์คือนักเขียนตัวจริง เรื่องที่นำมาเล่าจะถูกเล่าไปตามโครงเรื่อง เรื่องโรแมนติกปกปิดลึกลับถูกนำมาเล่าใหม่ไม่ก็ถูกนำมาขยายในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ Becoming Janeภาพยนตร์อัตชีวประวัติเรื่องล่าสุดของเจน ออสติน ถูกเรียกว่าเป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัติที่ "ไม่ได้สร้างขึ้นบนพื้นฐานข้อเท็จจริง" ภาพยนตร์มุ่งประเด็นไปที่เรื่องรักโรแมนติกของออสตินกับชายไอริส--โทมัส ลีฟอย ในความจริงแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดขึ้นในระยะไม่กี่สัปดาห์ และจากจดหมายที่เป็นบันทึกลายลักษณ์นั้น กล่าวอ้างได้ว่ามันก็แค่การสานสัมพันธ์จีบกันเฉยๆ ไม่สามารถเชื่อได้ว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้กับนิยายของหล่อน ซึ่งเนื้อเรื่องส่วนมากพบปมประเด็นเรื่องความรักและชนชั้น

หนังสือของออสตินสร้างเป็นหนังที่ดีได้ ทว่าไม่ใช่ชีวิตจริงของหล่อน เธอไม่ค่อยออกจากบ้านมากนัก นั่งอยู่ในบ้านในชนบทและเขียนหนังสือ
ในศตวรรษที่ 19 นักเขียนชายหลายท่านมีอิสระทางความคิดและการกระทำ ผลที่ตามมาก็คือ งานเขียนเรื่องต้องห้ามกกลับได้รับความนิยม พวกเขาคลั่งบ่อยๆ เช่น โฟว์แบร์ต (Flaubert) อาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศสในชนบทกับแม่ ชีวิตจึงค่อนข้างเชื่องช้า มีวินัย ทักษะและศิลปะการเขียนเรียบง่าย โบร่ำโบราณ ทว่าเมื่อเขามีโอกาสเดินทางไปปารีสส ระเบิดอารมณ์ไปกับทัวร์ของนักร้องเฮวี่ เมทัล ร็อค ที่เต็มไปด้วยความเสื่อมถอยด้วยความต้องการทางเพศอันรุนแรง
Leo Tolstoy คือนักเขียนที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัตินักเขียนเรื่องล่าสุด The last Station แสดงโดย คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ และ เฮเรน มิลเลน งานเขียนของเขาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ 150 ครั้ง หนังสือเรื่องสงครามและสันติภาพและแอนนา คาเรนนินา ยกย่องให้เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก

เรียบเรียงจากใน Books Blog ของ guardian.co.uk

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เล่มที่ควรคู่ครัว



ไม่ใช่มีด!

แต่คือหนังสืออาหารต่างหาก สำรวจบนชั้นวางหนังสือ ดูสิดูว่ามีครบหรือเปล่า?

Gastronomique, Larousse, Hamlyn

เล่มนี้ของเก๋าคู่มือเชฟและคนรักอาหารทั่วโลก ถือเป็นสารานุกรมของอร่อย แม้ว่าแต่ละสูตรไม่ได้ใหม่อ่องสักเท่าไร ทว่ายังคงน่าอ่าน ที่ห้องหนังสือคนรักอาหารควรมีติดหิ้ง (เล่มนี้มีขายในเมืองไทย เคยเห็นที่คิโนะคุนิยะ พารากอน และบีทูเอส เซ็นทรัล ชิดลม)

The Oxford Companion To Food, Alan Davidson, OUP

ฉบับอัพเดตครบรอบ 20 ปี ยกย่องว่าคือพจนานุกรมอาหารที่เยี่ยมยอดกระเทียมแช่อิ่ม ตอบคำถามเรื่องอาหารและวัตถุดิบด้วยคำอธิบายเป็นภาษาเขียนอย่างละเอียดลออขุดรากลึก (เล่มนี้มีขายที่คิโนะคุนิยะ พารากอนเช่นกัน ทั้งแบบปกอ่อนและปกแข็ง)

An Omelette And A GlassOf Wine, Elizabeth David, Lyons Press

หนังสือของนักเขียนหญิงผู้เป็นแรงบรรดาลใจให้แก่วงการอาหารฝรั่งเศสยุคใหม่เติบโต เล่มนี้รวบรวมสูตรอาหารฝรั่งเศสแบบโมเดิร์นไว้ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว วู้!!!

Mediterranean Food, Claudia Roden, BBC Books

จากปลายปากกานักเขียนอาหารหญิงสุดคลาสสิคผู้ดึงแรงบรรดาลใจเรื่องอาหารพื้นถิ่นแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกว่า 7 ประเทศ รวมทั้งในอิตาลีและฝรั่งเศส รวบรวมสูตรอาหาร อธิบายที่มาของอาหารชนิดนั้นๆ ขยายเรื่อยไปถึงการเดินทางแผ่ขยายไปยังวัฒนธรรมอื่นๆ

Real Fast Food, Nigel Slater, Penguin

นักเขียนอาหารประจำของ The guardian ก็มีไกด์บุ๊กเยี่ยมๆ กับเขาเหมือนกัน เหมาะมากสำหรับคนที่ยุ่งๆ โดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ พกอะไรติดตัว แพ๊กของอร่อยไว้หม่ำคนเดียวบ้าง

Kitchen Confidential, Anthony Bourdain, Harper Collins

บนปกโค้ดคำพูดไว้ว่า "เป็นการสังสรรค์ระหว่างอลิซาเบธ เดวิดกับเควนติน ตาเรนติโน่" นิยามคลอบคลุมหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตัวอักษรแรกยันตัวสุดท้ายจริงๆ ชีวิตท้ายครัวของเบอร์เด้นมันช่างจริงใจ-เท่ถึก-ฉลาดคิกคัก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยนานแล้วโดยโตมร ศุขปรีชา สำนักพิมพ์มติชน)

เกาะดับจิต บทที่ 2 (ต่อ)

เหวอ...

สาวหน้ารูปไข่เต่าคนเดิมกับผมมาโผล่ที่หน้าเวิ้งชายหาดที่ขนาบข้างด้วยผาหินสูงชันมีคราบตะไคร่เกาะเขียวแน่น น้ำทะเลเหือดแห้ง ผู้คนตัวม่วงช้ำเลือดช้ำหนอง หน้าคล้ำเป็นจ้ำๆ วิ่งหน้าผวาทว่าความเร็วค้างอยู่ที่เดิม

มันอะไรกันเนี่ย!!!

"อีกสักประเดี๋ยวพวกเขาจะขยับตัว" หล่อนบอก

นั่นไง พวกเขาวิ่งพุ่งมาข้างหน้าได้แล้ว แล้วนั่น...นั่นอะไรน่ะ คลื่นลูกยักษ์ลูกเบ้อเริ่มม้วนตัวเหมือนมือนางกวักใหญ่ๆ มันม้วนตลบรอบเล้วรอบเล่าแต่ไกล

"วิ่งเถอะ" ผมจับมือหล่อนวิ่งกะโผลกกะเผลกเพราะอะไรก็ไม่รู้ ก้มลงมองบนพื้นทราย มีปลาดาวยักษ์จับขาขวาไว้แน่น ส่วนขาอีกข้างปลาหมึกยักษ์อ๊อคโทพุสใช้หนวดยาวหยึ๋ยๆ ฟาดม้วนรัดไว้แน่นหนา

ปัดโธ่โว้ย!!!

เรื่องเป็นเรื่องตาย ทำไมไม่รู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตนบ้าง เซ็งเป็ด!!!

คลื่นลูกยักษ์ลูกใหญ่กว่าเมื่อสักครู่เมื่อมันมาใกล้ๆ นักวิ่งเดนตายก็วิ่งหน้าตั้งเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน คลื่นเองก็ไม่มีความเกรงใจสาดโกยพวกเขากระเด็นกระดอน รวมทั้งเรือหาปลาที่จอดตั้งไว้บนพื้นเสียสิ้นซาก มันกำลังเข้ามาใกล้เรา

ผมรีบหยิบผ้าคลุมอันเก่าคลุมตัวอีกครั้ง หยาาาาาา

ทำไมคนบนเกาะจึงมากมายและแต่งตัวแปลกๆ ใส่ชุดหมีกู้ภัยทำไมน่ะ แล้วนั่นก็หมอน้ำทิพย์คนดังที่ออกทีวีบ่อยๆ คร่ำเคร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย อ้าว! โคนต้นมะพร้าวมีศพหญิงฝรั่งผมบลอนด์ไม่ทราบสัญชาตินอนหงายไม่เป็นท่าแหงแก๋ง

หา.....

นี่มันที่เดิม แต่เวลาเปลี่ยน

"ใช่แล้ว ฉันไม่ได้พาคุณไปไหนไกลเลย ที่เดิม จุดเดิม นี่คือผ้าคลุมกาลเวลาแบบเดียวกับที่โดเรมอนใช้"

ผมคุกเข่าขอร้องให้หล่อนปล่อยผมไป

ได้โปรด

หว่าหล่อนขยายร่างกลายเป็นยักษ์ชุดขาวมีเขี้ยวสีงาช้างมันวาว มือที่ใหญ่แทบเท่าบ้านชันเดียวกวาดอุ้มผมไว้ในอุ้งมือ เหมือนกับที่นางผีเสื้อสมุทรจับพระอภัยมณีในนิทานปรัมปรา

ผมตายแน่! คราวนี้ตายจริงๆ

หวืออออ

ผมโดนผีหลอกครับ!!!

ยกมือกุมหน้าอกข้างซ้าย หัวใจเต้นยึกๆ ไม่ยอมหยุด ในทุกครั้งที่นึกถึงประสบการณืสยองขวัญ หัวใจเต้นดัง ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ อึ๋ย! สยองชะมัด ขอย้ายที่พักด่วน ผมอ้อนวอนพระเจ้าว่า ขอประทานพรจากพระองค์ให้การพักผ่อนครั้งนี้ราบรื่น เอเมน!

ปิ๊กจัดห้องพักในโรงแรมพร้อมยันต์กันผีทุกศาสนาแปะทั่วห้อง ประคำที่คอ กำชับว่าห้ามถอด

ในห้องจูเนียร์สวีตที่ถูกใจพอสมควร ระเบียบงส่วนตัวมีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้ดื่มเหล้าจิบกาแฟ เตียงนอนคิงไซส์เหมาะสำหรับคนนอนดิ้นอย่างผม จากุซซีกลางแจ้ง พร้อมห้องนั่งเล่น ไม่มีอะไรดีเกินกว่านี้อีกแล้ว ปิ๊กเสนอให้อยู่ฟรีกินฟรี แต่ว่า...ของฟรีไม่มีในโลก ขอจ่ายเงิน! มันบอกว่าไม่งั้นมันจะมาหามันทำจอกอะไร ถ้าอยากนอนโรงแรมแล้วจ่ายเงิน เออ...จริงของมัน ทว่าผมยืนกรานว่าไม่ขอรับน้ำใจ ปิ๊กจึงยอมโดยดี

หวังว่าห้องนี้คงไม่มีผีอีกนะ...

มีผีอีกแกต้องคืนเงินทั้งหมด!

แล้วผีก็ไม่มาให้เห็นอีกจริงๆ ยันต์ของปิ๊กได้ผลทันตาเห็น

วันผลัดวันผ่านไปราวสายธารไม่ไหลย้อนกลับ ตื่นนอนสายมากเป็นกิจวัตร อาหารเช้าเกือบถูกพนักงานเก็บเข้าหลังครัว บางวันผมก็ลงไปทันเวลา บางวันก็ทบยอดมื้อเช้ามื่อกลางวันเป็นมื้อเดียว อยู่โรงแรมไม่ต้องห่วงเรื่องทำวัฟเฟิลเอง ห้องรกไม่เกิน 6 ชั่วโมง แม่บ้านปัดฝุ่นสะอาดเช๊ง ดึงที่นอนตึงเปรี๊ยะ อยากนวดก็ลงมานอนริมชายหาด เรียกหมอนวดให้มาขยับขยี้เนื้อตัว

เสียอย่างเดียที่ชีวิตกลับมาน่าเบื่ออย่างที่คิด

เหตุเพราะไม่คิดออกไปดู พบปะ สังสรรค์ มีสังคมกับใครอื่นนอกจากปิ๊ก

แล้วบ่ายวันหนึ่ง ผู้หญิงที่ผมรู้จัก ใช่ไหม? นั่นน่ะ เพ่งดูให้ชัดๆ แองจี้! ผมทักเธอแน่คราวนี้

แองจี้สวมเสื้อแขนตุ๊กตาคอกว้างสีดำ ผ้าเนื้อบางเบาสยายตามลม ไหล่เล็กห่อลู่ลม เห็ตัวบางเฉียบแนบเนื้อ สะพายกระเป๋าข้างลำตัวทะมัดทแมง กล้องตัวใหญ่คล้องคอไว้ แว่นกันแดดคาดหัว

ผมยกมือโบกค้อมหัวลงทักเธอ เธอน้อมรับด้วยรอยยิ้มละไม

"แองจี้ ผมเอง ธรณ์" ผมบอกเธอเมื่อเราใกล้กันที่สุด

"สบายดีนะ"

"ก็ดี! ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่"

"มาทำงานสิ ดูสภาพ มาคนเดียว หิ้วกล้องเทอะทะ"

"คุณเป็นนักข่าว"

"ไม่เชิง จะเรียกว่าอะไรดีน้า...อ่อ! นักเขียนท่องเที่ยว...ประหลาดจัง จี้อยู่บนเกาะวันเดียว ไม่คิดว่าจะเจอใคร เกาะออกกว้างเนอะ อีก 20 นาที จะเริ่มทำงาน แล้วคุณล่ะ"

"ผมอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว พักร้อนน่ะ"

"ว้าว! น่าอิจฉาจัง" หล่อนเบิกตาโต

"ผมอิจฉาอาชีพคุณมากกว่า" ผมพูดจากใจจริงนะ

"เหรอ...ถ้าไม่รังเกียจไปช่วยฉันทำงานไหมล่ะ ดูเฉยๆ ก็ได้ ฉันทำงานนิดๆ หน่อยๆ เอง เก็บภาพ เก็บบทสัมภาษณ์ เดินสำรวจรอบเกาะ"

"น่าสนแฮะ ผมชอบเดินเล่น" สงสัยว่าเป็นวันพิเศษจริงๆ ฟ้าคราม สาวงาม สองเรา

"งั้นอีก 20 นาที เจอกันที่ล็อบบี้"

หมวกปีกไม่กว้างวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมล้างหน้าและทาครีมกันแดดกันผิวลอก รุดรีบลงชั้นล่าง
ที่ล็อบบี้ แองจี้นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษษอังกฤษฉบับเมื่อวานรอท่าอยู่

"ไปกันหรือยัง ผมพร้อมแล้ว ผมเป็นผู้ช่วยนักเขียนท่องเที่ยวคนใหม่" เอื้อมมือช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ที่อ่านเสร็จเก็บเข้าที่เข้าทาง แองจี้กับหมวกแบบเดียวกับที่เจสัน มาร์ซ น่ารักดีแฮะ
เอาล่ะ ไปได้แล้ว แอมยัวร์

เราเดินออกทางด้านหลังโรงแรม ใช้คำว่าเรากบแองจี้ ผมนึกคึกสนุกเหมือนตอนเด็กๆ ที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน อมยิ้มแก้มป่อง

"นึกอะไรอยู่เหรอ" แองจี้ใช้นิ้วจิ้มแขน

"เปล่าๆ แค่คิดถึงตอนเด็กๆ น่ะ ผมมองเห็นคุณกับผมตอนนั้นเดินอยู่ตรงโน้น ตลกดี ตอนนั้นเรายังเด็กๆ อยู่เลย เผลอแป๊บเดียว นึกว่าคุณจะตัวโตกว่านี้ คุณก็ตัวไม่เล็ก ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก"

"เหรอ"

เพราะแดดพาบพยับ ขนาดท้องทะเลยังเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าจัด แองจี้เลยพูดเบาๆ ว่า ร้อนผิว หยิบครีมกันแดด บีบหลอดดังปู้ด! ละเลงทั่วแขนเรียว

"ท่าทางคุณไม่ชอบออกแดด เป็นนักข่าวยังไงกัน เซกชั่นท่องเที่ยวต้องคนอึดๆ เท่านั้น ได้ยินมาอย่างนั้นน่ะนะ"

"ฉันไม่กลัว แต่เจอทุกวันก็เป็นมะเร็งได้ แองจี้คนนี้ไม่ได้ขี้แยเหมือนตอนอายุ14-15 แล้วนะที่จะกลัวโน่นกลัวนี่ ผ่านโลกมาพอสมควรเชียวล่ะ เพื่อนผู้ชายที่สำนักพิมพ์ต่างเรียกว่า "นังตัวแสบ" เพื่อนที่มหา' ลัย ตั้งฉายา "แม่เยี่ยวสาว" กัดไม่ปล่อย"

"ขนาดนั้น"

หล่อนปรับเลนส์โฟกัส เปลี่ยนหัวซูมกล้อง แล้วชักภาพท้องทะเลไปมา

"ท้องทะเลนี่ไม่เคยโกหกเลยนะ มันเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น สวยก็บอกว่าสวย สกปรกก็บอกว่าสกปรกจากคราบคลื่น ตรงไปตรงมาดีจัง"

"เราอยู่โลกใบเดียวกันหรือเปล่า ผมว่าทะเลมันไม่รู้สึกอะไรหรอก ยังไงมันก็เป็นทะเล"

"คุณใจเคบจัง แล้วเราก็อยู่ยโลกคนละใบจริงๆ ด้วย" เธอเก็บภาพอีกครั้ง หันมาปั้นหน้าเหยียดยิ้ม

"น่ากลัวนะเนี่ย เอ่อ...อย่าบอกนะว่าที่คุณพูดอย่างกับบทกวี คุณก็เขียนแบบนั้น คือผมไม่ค่อยอ่านงานของนักเขียนที่เอาของไม่มีความรู้สึกมาใส่ความรู้สึกแบบมนุษย์ โลกคงบ๊องค์ บิ๊กแบงครั้งใหญ่ ถ้าอะไรต่ออะไรมันคิดเองได้"

"แล้วโลกที่คุณอยู่นี่ไม่วุ่นวายอีกเหรอ? มาที่นี่ไม่ใช่หนีเคอร์ฟิวมา?"

"มันก็แค่ครั้งคราวน่า ไม่งั้นมันจะใช่โลกเบี้ยวๆ เหรอ" แองจี้ไม่สนใจคำตอบผม โน่น...หล่อนเดินไปโฉบสัมภาษณ์แหม่มฝรั่งสองคน นึกจะแยกตัวก็แยกไป นี่ล่ะแองจี้คนเดิม แม้ว่าอะไรหลายอย่างจะเปลี่ยน เธอช่างพูดช่างคุย ไม่ขี้อายม้วน พูดภาษาไทยชัดขึ้น

ผมลอบฟังเธอสัมภาษณ์ในระยะไกล แองจี้ถามข้อมูลและอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเกาะแห่งนี้ อ่อ...มีข้อมูล ชื่อ-สกุล เชื้อชาติ ความลับส่วนบุคคลนิดหน่อย

"คุณเปลี่ยนไปมาก"

"อย่างไรคะ อาจเพราะอาชีพล่ะมั้ง ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนไปมาก แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วนะ อะไรๆ ก็เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน คุณไม่เคยได้ยิน?"

"ที่รู้ๆ คุณตอบคำถามยาวผิดปรกติ"

หล่อนหัวเราะคิกคัก แวะสั่งน้ำมะม่วงปั่นจากซุ้มไม้ไผ่เล็กๆ ป้าคนขายตัวดำเหนี่ยง แองจี้ถามว่าลองสักแก้วไหม ผมส่ายหัว ว่าแต่แล้วเราไม่เจอกัน คุณหายไปไหน...

แองจี้หลังเราเลิกกัน ผมไม่ได้เจอคุณอีก จำไม่ได้ว่าเราเลิกกันเพราะอะไร"

"เธอไม่ได้ให้ดอกไม้วาเลนไทน์ไง...ตาบื้อ หลังจากนั้นฉันก็ย้ายบ้านตามพ่อไปทำงานที่สิงคโปร์ เรียนที่นั่นยาวเลย จนจบไฮสคูล กลับมาเมืองไทยก็ไม่ได้ เคยคิดลองโทร. ไปที่บ้านเธอเหมือนกัน แต่เบอร์หายเกลี้ยงตอนขนของ ไม่รู้แม่เก็บพวกของจุกจิกฉันไว้ที่ไหน พลัดหลงตอนย้ายของ จี้นั่งเซ็งเป็นวันๆ เลย อืมมม เบอร์บ้านเธอ ฉันก็จำได้นะ 0-2242- ลืมสี่ตัวหลังน่ะ" แองจี้หัวเราะร่วนอย่างคนอารมณ์ดี เกาหัวเสียผมยุ่ง

"วันนี้บังเอิญจังเลยนะ"

ใช่! มันคือความบังเอิญ

แองจี้หลีกตัวจากแสงแดดร้อนเข้าร่มเงาร่มผ้าใบ สัมภาษณ์คู่หนุ่มสาวที่กำลังสวีตหวาน คำถามแรก เราก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนออสเตรเลีย

ทั้งคู่เป็นนักศึกษา

แต่งงานแล้วด้วย

โอ้! ดูเหมือนพวกเขาใช้ชีวิตผู้ใหญ่รวดเร็วกว่าชาวตะวันออกมาก

"คุณว่าพีพีมีเสน่ห์ตรงไหน ในเมื่อโต้คลื่นที่บ้านคุณสนุกกว่าเยอะ" แองจี้ยิงคำถาม

"ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ที่นี่ถูก วัฒนธรรมแตกต่าง เราอยู่ได้ยาว อาหารสดใช้ได้ แดดดี ลมทะเลมีกลิ่นอย่างที่มันควรจะเป็น ดำน้ำดูปะการังสวยๆ ชีวิตวัยรุ่นต้องการอะไรมากกว่านี้"

"สรุปว่าที่นี่ประหยัด" แองจี้ตบประเด็นให้เหลือเพียงหนึ่ง

"ไม่ธรรมชาติก็สวยด้วย" นักท่องเที่ยวคนนั้นบอกหล่อนว่าขาดไปอีกประเด็น

"แล้วพวกเราเป็นนักศึกษา รายได้ยังไม่มาก มาเมืองไทยก็อยากเที่ยวให้ครบ สมุย พะงัน พีพี เชียงหใม่ กรุงเทพฯ เมืองไทยแต่ละที่สวยแตกต่าง" แฟนสาวให้ความเห็นเพิ่มเติม

แองจี้กดMP3 หยุดการสัมภาษณ์

ทะเลยามบ่ายผู้คนพลุกพล่าน แดดดีอย่างนี้ นักท่องเที่ยวกอบโกยแสงเปลี่ยนสีผิวแทน กีฬาชายหาดกลางแจ้ง น้ำกำลังลง แองจี้สัมภาษณ์อีก 2-3 คน เก็บภาพนักท่องเที่ยวและกิจกรรมชายหาด

"ไปจิบชาไหม เสร็จงานภาพบ่ายแล้วล่ะ"

ถนนตัดเชื่อมอ่าวกับเขตร้านค้า ร้านอาหาร ผู้คนสัญจรเข้า-ออกอ่าวเรื่อยๆ เรามองหาร้านสะดวกๆ น่านั่งสักร้าน

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Gin เก่าเล่าใหม่

คุ้นเคยกับจินดีในรูปแบบที่ผสมกับโทนิคและมะนาวฝาน

ทำไมถึงใส่มะนาวฝาน? ทำไมไม่ใช้เลมอน?

ก็เพราะมะนาว (Lime) ละรสขมจากจินได้เกลี้ยงเกลา ใส่เลมอนลงไปไม่เวิร์กแน่ๆ

ทุกครั้งที่ผ่านราวระแนงร้านขายแอลกฮอลล์ สังเกตุว่า มีว็อดก้าหลากกลิ่น จินเองก็ใช่ย่อย เริ่มมีแบบที่ใส่กลิ่นเครื่องเทศ เพื่อปราบความนิยมว็อดก้าให้ยอมสยบ ผู้รู้เรียกจินพวกนี้ว่า "นิว สคูล จิน"

นอกจากนี้ เขย่าความนิยมเก่าๆ ทิ้งซะ จินไม่ได้มีไว้แค่ผสมกับโทนิค คนส่วนมาก ให้หลับตาลงแล้วนึกถึงค็อกเทลแก้วที่มาจากจิน ก็พบว่า มันจะเย็นๆ ใช่ไหม? ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้น มีแต่ส่วนผสมของน้ำผลไม้เล็กน้อย สีก็ออกมางั้นๆ แข็งทื่อ นั่นคือทั้งหมดที่สรุปได้เมื่อนึกถึงจิน

Tom Nichol ผู้ผลิตและกุมความลับทั้งชีวิตของ Gordon's Gin--จินยี่ห้อที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ผู้ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มเทให้แก่เครื่องดื่มมึนเมาชนิดนี้ยี่ห้อนี้ เขาอธิบายความเป็นมาและบอกสูตรค็อกเทลเยี่ยมๆ ให้ ไทม ออนไลน์ เราก็เลย อนุญาตแปลเผยแพร่

"รู้ๆ กันว่า กอร์ดอน จิน ไม่เคยเปลี่ยนรูปลักษณ์แและรสชาติมาตั้งแต่ศควรรษที่ 17 ตั้งแต่ Alexander Gordon เริ่มบุกเบิกในปี 1769 พัฒนาการผลิตจากผลจูปิเตอร์ เบอร์รี่ ที่หายาก ใครจะรู้ว่ารสชาติจินในระยะแรกน่ะ หวานมาก! ในที่สุดก็พัฒนามาใช้การกลั่นสกัดน้ำตาลผสมระดับของเครื่องเทศที่ลดหลั่นกันว่า 10 ชนิด ทั้ง คอร์เรียนเดอร์ แอนเจลิก้า และส่วนผสมลับที่ไม่สามารถบอกใครได้ ลับเฉพาะรสชาติคุ้นลิ้นของกอร์ดอน นั่นแหละแรกเริ่มที่มาจินรสเยี่ยมที่ลบความหวานทิ้งไปหมดเกลี้ยง

"ในศตวรรษที่ 18 สปิริตต่างๆ ใช้เพื่อเหตุผลทางการแพทย์ แม้ว่าจินจะรักษาไม่ได้ทุกโรค
ทว่า ในเวลานั้นอินเดียโทนิคสามารถรักษาโรคมาเลเรียได้ หาว่ารสมันขมมาก จึงเพิ่มจินเข้าไป รสชาติจึงพอลื่นคอขึ้น"

Gordon's Chocolate Moon

กอร์ดอนจิน 50 มิลลิลิตร
บาว์น ครีม เดอคาคาว 25 มิลลิลิตร
อามาแร็ตโต้นิดนึง
ดับเบิล ครีม 25 มิลลิลิตร
นัตแม็กฝานเพื่อตบแต่ง

The Ramsay Gin and Tonic

กอร์ดอน ออร์ริจินัล ลอนดอน ดราย จิน
โทนิค 1 กระป๋อง
นิว แครนเบอร์รี่ 50 มิลลิลิตร
นำแข็งในแก้วไฮบอล 16 ออนซ์
ชิ้นมะนาวตบแต่ง

สาวแสบป่วนไฮสคูล 1.พิงก์โรส...จับมงกุฏเธอให้มั่นนะ

ในพิธีรับประกาศนียบัตรโรงเรียนมัธยมฮัลโหล สคูล นักเรียนชั้นปีสุดท้ายกำลังฟังครูฮิลลารี—ครูใหญ่ ปัจฉิมนิเทศ

“ท้ายที่สุดครูอยากให้นักเรียนทุกคน เมื่อจบการศึกษาแล้ว จงทำหน้าที่เป็นตัวอย่างที่ดีและสร้างชื่อเสียง เป็นเกียรติเป็นศรีกับโรงเรียนของเรา ในลำดับต่อไป ทางโรงเรียนพร้อมประกาศรายชื่อนักเรียนดีเด่นผู้มีผลการเรียนและผลงานทางกิจกรรมดีเยี่ยมประจำปี ขอให้นายธีรัฐ คิรากร และ นางสาวทานตะวัน อุมามิ ขึ้นบนเวทีเพื่อรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ด้วย”
“นั่นไง ผมว่าแล้วว่าต้องได้ ผมเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ธีรัฐบอกรัฐภูมิ—เพื่อนที่นั่งข้างๆ รัฐภูมิเป็นคนสนิทที่ทำการบ้านให้ธีรัฐทุกวิชา ไม่เว้นแม้แต่พละศึกษา
ธีรัฐลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเท้าขึ้นบนเวที ด้วยสายตาเกลียดชังจากเพื่อนๆ
“ไอ้ห่ะนี้ได้รางวัล ไม่มีใครดีกว่านี้หรือไงว่ะ รุ่นพี่ปีนี้ห่วยชะมัด” ทิมบอกภูมิ ทั้งสองเป็นเด็กปีสอง
“ก็ธีรัฐ เป็นประธานนักเรียนที่ได้รับคะแนนจากการซื้อเสียง เรียนก็ยังจ้างเด็กมหาลัยทำรายงาน แล้วไอ้คนที่นั่งข้างๆ มันก็ทำการบ้านให้ตลอด หมดเงินไปตั้งเท่าไหร่ ไม่ได้รางวัลก็ขาดทุนเหมือนกันแหละ”
“ห่วยว่ะ! ปีหน้าถ้าใครทำแบบนี้จะจ้างนักเลงอัดให้น่วม ชิ! ดู๊...ดู มันยังกล้ายิ้มโบกมือ บ๊าย-บาย คืนนี้เจอดีแน่”
“แกจะทำไร” ภูมิเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในรุ่น ทั้งยังเป็นอนาคตประธานนักเรียนถามเพื่อนสนิท
“แฝงตัวมางานพรอม ถอดหน้ากากราชาโรงเรียน แกมาไหม ภูมิ”
“ถามได้ไง งานสนุกขนาดนี้”
ฝั่งตรงกันข้ามเป็นแถวนักเรียนหญิงชั้นปีสอง
“แหวะ!!! ยัยแว่นทานตะวันได้รางวัลนี้ ฉันล่ะอายล่วงหน้าจริงๆ เพราะปีหน้ารางวัลนี้เป็นของฉัน ยี้!!! ฉันได้รับต่อจากยัยทานตะวันเต่าล้านปีนี่นะ โฮๆๆ !^! เวรี่ แซด” แล้วพิงก์โรสจับสายคาดศีรษะลูกไม้สีม่วงของ Paris Kids Harajuku ให้ตรง โบกมือคลายความร้อน หน้าตาหล่อนชัดเจน เหมือนมีคำว่า "เบื่อโคตรๆ" พิมพ์พาดผ่านกลางจมูก
“ใช่แล้ว! ทานตะวันเชยคุณป้าขนาดไหน ใครๆ ก็เห็น รางวัลตกถึงยัยนี่ได้ไงนะ ทั้งๆ โรงเรียนเรามีนโยบายลับอันดับหนึ่งคือ รังเกียจความเชย ดูเด่ะ! กระโปรงหล่อนยาวคลุมเข่า ชุดนี้...มันเป็นของเด็กรุ่นบุกเบิกโรงเรียนใส่ เอาชุดแม่มาใส่แน่ๆ เห่ยได้อีกนะเนี่ย” ลูกพลัมเพื่อนสนิทพิงก์โรสตั้งแต่ชั้นเนอสเซอรี่สนับสนุน เธอเป็นรองประธานสมาคมชุดนักเรียนนำเทรนด์ โดยมีพิงก์โรสเป็นประธาน
“เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้หน้าและชื่อเสียงของโรงเรียนกลับคืน”
“หล่อนคิดอะไรออกอีกแล้วใช่มิ่” ปากลูกพลัมที่ใช้ลิปสติกสีเมล่อนของแอนนา ซุย ขมุบขมิบ
“หุ...หุ เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายไม่รู้ เราต้องปลอมตัวเป็นซีเนียร์ลอบเข้างานพรอม และในฐานะที่ฉันเป็นอนาคตแฟนประธานนักเรียน ควีนพิงก์โรสคนนี้นี่แหละ จะล็อบบี้ให้ทุกคนไม่เลือกยัยป้าทานตะวันเป็นควีนของรุ่นในคืนนี้ ความจริงฉันก็ไม่ชอบยัยลิซ่า หน้านกเงือกหรอกนะ แต่หยวนๆ เห็นว่าหล่อนใช้เสื้อผ้าของ Alissia B แบรนด์ของแม่ฉัน เพื่อเป็นการเลี้ยงลูกค้ารายใหญ่ยาวๆ คืนนี้ ฉันจัดให้” พิงก์โรส เหลียวมองที่นั่งที่ว่าง ถัดไปอีก 5 เก้าอี้
“ที่นั่งนั้นของใคร ทำไมกล้าให้แถวที่ฉันนั่งไม่สวยฮึ” พิงก์โรสถามลูกพลัม
“ยายไอริส ว่ากันว่า คุณภารตีแม่ยายไอริสโทร. มาลาครู ลูกหล่อนวันนี้ไปถ่ายปกให้ให้ทีน โว้ค อเมริกา ถ้าเป็นงานในเมืองไทย ครูคงไม่ยอมไป แต่ว่างานนี้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนระดับโลก ครูจึงยอม”
“กรี๊ด ฉันล่ะเกลียดยายไอริส!!! โฮๆๆ ทำไมคนที่ฉันเกลียดถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันใฝ่ฝัน มันควรจะเป็นของฉันไม่ใช่เหรอลูกพลัม” น้ำตาราชินีกำลังนองหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางจากลังโคม คอลเล็กชั่น O MY Rose ที่หล่อนเป็นพรีเซนเตอร์
Aaron De Mey ขา หนูขอโทษนะคะ ที่ตอนนี้หนูยอมให้ยัยไอริสล้ำหน้าหนูไปก้าวหนึ่ง

หลังเสร็จสิ้นพิธี
“คอกาแฟ ฉันต้องการพบนายด่วน ที่โรดันเต้ บักค์ โต๊ะเดิม” ทิมโทร. หาคอกาแฟ โต๊ะข่าวที่รู้ทุกเรื่องประจำโรงเรียน
ที่ร้านกาแฟ ทิมและภูมิจับจองโต๊ะไว้แล้ว อีก 10 นาทีให้หลัง คอกาแฟจึงตามหลังมา
“ไมวันนี้ช้านัก” ทิมทักคอกาแฟ
ชายหนุ่มไม่อ้วนไม่ผอม ผิวดำจากเลือดลูกครึ่งแอฟริกันฝรั่งเศส-ไทย หอบหายใจ จิบกาแฟเย็น แล้วว่า “ได้ข่าวใหม่เมื่อกี้ เลยต้องอัพเดตข่าวขึ้นบอร์ดก่อน โทษทีที่มาช้า”
ปิ๊ด ปิ๊ด
เสียงบีบีของทุกคนดังขึ้น “นี่ไม่ใช่คำเตือน แต่เป็นข้อบังคับ (หากอยากใช้ชีวิตโดยที่ที่คาดผมยังอยู่บนหัว) ขอให้ซีเนียร์ทุกคนหยุดโหวตให้ยัยป้าทานตะวันเป็นควีนในค่ำคืนนี้ ทางเรารู้ว่าใครโหวตให้ใคร หวังว่าสาวๆ ทุกคนคงไม่ทำให้ชื่อเสียงโรงเรียนเสื่อมเสีย หากใครละเมิดข้อบังคับ ระวังชุดของคุณในค่ำคืนนี้ ทางเราใช้สิทธิมาตรา 246 ยึดชุดทุกคนที่ไม่มีหัวใจรักแฟชั่น และต่อต้านชื่อเสียงด้านการแต่งตัวของฮัลโหล สคูล ความผิดนี้จะติดตัวคุณตลอดชีวิต...ราชินีมีน เกิร์ล”
“แฟนนายเริ่มแผลงฤทธิ์แล้วว่ะภูมิ” ทิมอ่านข้อความจบก็พูดขึ้นมา
“พิงก์โรสคงระบายอารมณ์อิจฉา”
“ทำไมคอกาแฟ” ภูมิถามคอกาแฟ
“นายก็หยิบโทรศัพท์คลิ๊กเข้าไปที่หน้าเวบร้านกาแฟสิ สองกระทู้ล่าสุด”
กระทู้ที่ 108999
ข่าวล่ามาด่วน หลังจากพิธีปัจฉิมนิเทศ ทุกคนสงสัยว่าที่นั่งนักเรียนหญิงชั้นปีสองทำไมหายไปหนึ่งที่ พร้อมๆ กับการหายตัวไปของไอริส หวังว่าราชินีพิงก์โรสคงไม่จ้างวานใครสาดสตรอเบอรี่ใส่ไอริสที่หน้าโรงเรียน
หากว่านายกาแฟหูดีได้ยินครูนาดีนคุยกับครูใหญ่ว่า ไอริสนางแบบขายาววันนี้บินไปถ่ายปกให้ทีนโว้ก อเมริกา คุณภารตี-- แม่ม่ายมรดกพันล้าน โทร. มาขอโทษขอโพยที่ลูกสาวของหล่อนไม่ได้เข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรติ จึงส่งแผงร้านไอศกรีมเกเซ่นดาส เลี้ยงหนุ่มๆ สาวๆ ซีเนียร์ในค่ำคืนนี้ น้ำลายสอ! ขอบคุณหลายๆ คุณภารตี
ดูสิครับว่าคุณแม่ของพิงก์โรสจะยอมอยู่เฉยหรือไม่

ความเห็นที่ 1
น้องไอริสสวยที่สุด ขอบคุณคุณภารตี สำหรับไอศกรีมอร่อยๆ
ผู้ฝากความคิดเห็น OIC
ความเห็นที่ 2
เย้ๆ ในที่สุดทีนโว้คก็ตอบรับเธอ อย่าหนีพวกเราไปอยู่อเมริกาซะก่อนล่ะ
ผู้ฝากความคิดเห็น Jinnie G-B Generation

ภายใน 15 นาที ความยาวของกระทู้นี้มี 106 ความคิดเห็น 107...108 อ้าวนับไม่ทันแล้ว

กระทู้ที่ 109000
คุณรัชนีผู้ไม่ยอมให้ใครสวยและรวยนำหน้า (เหมือนลูกของหล่อน) ส่งของขวัญให้ซีเนียร์ ขณะนี้กองอยู่ที่กองคลังของโรงเรียน แหล่งข่าวบอกว่าข้างในกล่องเป็นชุดเครื่องสำอางนำเข้าจากญี่ปุ่น เหมาะกับทุกสภาพผิว มีทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย พร้อมคูปองแลกซื้อเครื่องประดับจูลี่จูลี่ครึ่งราคาสำหรับผู้หญิง และคูปองแลกซื้อนาฬิกา J-Biond ครึ่งราคา เป็นของทำขวัญให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุกคน เธอย้ำว่านี่ยังเล็กน้อยขนอ่อนที่แขนไม่ร่วง หากเป็นปีหน้า เพื่อนๆ ร่วมรุ่นของลูกสาว เตรียมรถบัสมาขนของกลับบ้านได้...ทราบแล้วเปลี่ยน

ความเห็นที่ 1
คุณรัชนีขา นี่โรงเรียนลูกคนรวยนะคะ ไม่ใช่โรงเรียนขอทาน
ผู้ฝากความคิดเห็น จีซ่า

ความเห็นที่ 2
เกลียดจีซ่า ไม่ชอบราชินีของเราแกก็ไม่ต้องเข้ามาเขียนสิ
ขอบคุณคุณรัชนีค่ะ
ผู้ฝากความคิดเห็น ลาล่า ลูลู่

ความเห็นที่ 3
ของฟรีของดีเทคนิคไม่ต้อง ราชินีและรัชนีจงเจริญ!
ผู้ฝากความคิดเห็น โอนนี่

ความเห็นที่ 4
รักคุณรัชนีที่สุดค่ะ
ผู้ฝากความคิดเห็น ลูกตาล

ความเห็นที่ 5
พิงก์โรสสวย แล้วยังมีคุณแม่ที่ทั้งสวยและใจดี
ผู้ฝากความคิดเห็น ลูกพีซ ผู้ปลื้มพิงก์โรสสุดๆ

ความเห็นที่ 6
ขอบคุณทุกคนค่ะ
ผู้ฝากความคิดเห็น เลขาคุณรัชนี (คุณรัชนียืนกำกับอยู่ข้างๆ ค่ะ)

“ท่าทางงานนี้พิงค์โรสจะเสียคะแนนความนิยมไปไม่น้อย” คอกาแฟประเมินสถานการณ์
“ไอริสเป็นคนแรกในโรงเรียนและนางแบบคนที่สองของประเทศไทยที่ได้ขึ้นปกทีนโว้ก พิงค์โรสไม่อิจฉาก็ขำแล้ว” ทิมพูดด้วยน้ำเสียงชื่มชมไอริส
“ไมไม่พูดอะไรเลยว่ะไอ้ภูมิ” ทิมทักเพื่อนคู่หู
“เปล่า ไม่มีอะไรจะพูด พิงก์โรสก็คือพิงก์โรส เชื่อสิ! สักพักเธอคงได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอะไรสักอย่างเพื่อกลบข่าวไอริส หรือไม่ก็ไปถ่ายแบบที่ญี่ปุ่น พิงก์โรสไปญี่ปุ่นทีไรก็ได้งานถ่ายแบบ แบ๊วคาวาอี้เข้าสู้ และถ้าให้เหนือม่านเมฆสุดๆ พิงค์โรสจะใช้วิธีพุ่งเข้าหาวงบอยแบนด์เกาหลี แหวก แหก แควก แทรกตัวเป็นเกิร์ลคนสำคัญ มีเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์กับพวกนั้น”
“ไหนว่าจะไม่พูด” ทิมขัดจังหวะคำทำนาย
ภูมิส่ายหัวเหมือนคนที่ถูกรู้ทัน “กวนนะนาย ไง แล้วไหน แผนการของนาย คอกาแฟมีเวลาให้แค่ 30 นาที”
“เรื่องนี้เราพูดกันไว้แล้ว นายไม่ต้องรู้หรอกภูมิไว้รู้พร้อมๆ คนอื่น เรื่องประหลาดใจน่ะ”
“ก็ได้”
“แล้วเรียกผมมาทำไมอีก ตกลงไว้เมื่อวานแล้วนี่ ว่าถ้าไอ้เบื้อกนั่นได้ ก็ลงมือตามที่สั่ง” คอกาแฟท้วง
“มีอีกงาน เราต้องการฝ่ายเทคนิค คืนนี้ระหว่างปฏิบัติการ นายต้องยึดห้องสื่อสารให้ได้ หน้าจอมอนิเตอร์หลัวเวทีต้องมีรูปนั้นด้วย”
“ของแค่นี้ คอกาแฟพร้อมบิล”
ใครๆ ก็รู้ว่า การที่คอกาแฟฮึกเหิมและมีอิทธิพลในการสร้างสื่อ บางครั้งก็สร้างกระแสเสียเอง นั่นเพราะมีอิทธิพลจากทิมหนุนหลัง หากภูมิคือว่าที่ประธานนักเรียนภาพลักษณ์ดี ทิมก็เปรียบเป็นเจ้าพ่อในเงามืดควบคุมสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนในโรงเรียน ใครหากล่าวว่าพิงก์โรสร้าย ก็จริงที่หล่อนร้าย เริ่ด เชิ่ด บิชชี่ ใครสวยเกิน เก่งเกินหน้าเกินตาไม่ได้ หากทิมแตกต่าง เอาเป็นว่า อย่ายุ่มย่ามกับเขาหรือทำให้เขาหมั่นไส้ดีที่สุด

ซุ้มประตูกุหลาบสีชมพูหน้างานพรอม โต๊ะยาวปูผ้าลินินสีขาววางกล่องกระดาษสีสวยกองเป็นตับ พิงก์โรสและเพื่อนยืนสาละวนมอบของชำร่วยให้กับนักเรียนรุ่นพี่
“คุ้มไหมล่ะ คุณแม่ใจปล้ำ เรื่องซื้อใจคนแม่ฉันถนัดที่สุด ผลพลอยได้ก็คือ ฉันก็ได้มางานนี้แต่งชุดเริ่ดๆ โดยไม่ต้องปลอมตัว แถมคะแนนนิยมก็เรียกกลับมาท่วมท้น” เด็กซีเนียร์ที่เดินเข้ามารับของขวัญ ยังไม่มีใครแต่งตัวสวยเทียบเท่าพิงก์โรสสักคน
“ฉันจะดูงานไว้ ปีหน้าฉันจะเป็นแม่งานใหญ่เอง” ลูกพลัมพูดเสียงอ้อแอ้แล้วอยู่ๆ ก็นิ่งซะงั้น หนุ่มหล่อที่แอบชอบเดินเข้ามาใกล้ๆ นัยน์ตาดำลูกพลัมเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจสีชมพู
“ยายลูกพลัม เป็นอะไร ทำไมตัวแข็งทื่องี้ล่ะ ลูกพีซรับสถานการณ์ด่วน ฉันไม่อยากพูดด้วย กลัวนายนั่นตามตอแย แค่นี้ก็บริหารเสน่ห์เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” พูดจบพิงก์โรสก็ยิ้มหวานใส่หน้ากากแสนซื่อให้รุ่นพี่คนนั้น
รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก
รัก!
ลูกพลัมกำลังเด็ดดอกกุหลาบที่ประดับโต๊ะ
“ไชโย!!!”
“เป็นอะไรลูกพลัม นายนั่นเดินไปโน่นแล้ว แกยังไม่หายเพี้ยนอีก” พิงก์โรสเขกกะโหลกเพื่อน
ชายคนนั้นฝากเบอร์โทร. ให้พิงก์โรสผ่านมือลูกพีซ
ลูกพีซยื่นกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้พิงก์โรส
เฮ้อออ ฉันไม่สนใจนายหรอกย่ะ โปรไฟล์ไม่ยาวพอ แล้วหัวน่ะไปมุดอยู่ที่ดงอ้อยไหนน่ะ ฉันมีแฟนคนเดียวคนเดิมมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ชื่อ 'ภูมิ' จ้าาา...
แต่ ตะแล๊ด แต๊ด แต่ เสน่ห์ราชินียังอยู่หนาแน่นครบถ้วนทุกอณู

ใช้ได้!!!

สาวแสบป่วนไฮสคูล บทนำ

"คิดถึงทิมและอยากกินไอศกรีมช๊อกโกแล๊ตร๊อกกี้โรดจริงๆ เลย" ไลลาห์ตัดพ้อกับพิงก์โรสที่เอนหลังบนโซฟาสีเทาทึมของฮาบิแทต ปลายเท้าพาดหมอนอิงฮัลโหล คิตตี้ สีชมพู ที่ดูขัดตากับเครื่องเรือนชิ้นอื่นๆ ชอบกล

"มันอ้วนมากเลยนะคะเจ้าหญิง แล้วนี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วด้วย กินขนมหลังหกโมงเย็น ไขมันสะสม บรื๋อ!!!" พูดเสร็จลูกพลัมก็จุ๊ปากเตือน

ลูกพลัมเรียกไลลาห์ว่า "เจ้าหญิง" เพราะว่าหล่อนเป็นเจ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรเซเรียจริงๆ ถึงไม่ใช่เจ้าหญิงรัชทายาทก็เถอะ ยังไงหล่อนก็รวยมหาศาลและสวยมากอยู่ดี ใครก็รู้ว่าประเทศนี้มีเพชรสวยงามไม่แพ้เพชรรัสเซีย ไม่เท่านั้น ยังมีอาหารประจำชาติรสแปลกอย่าง "กรีม" ชื่อเหมือนขนมฝรั่ง ทว่ามันคือซาโมซ่าไส้สาหร่ายทะเล

ไลลาห์มองไปที่นาฬิกาแล้วว่า "เที่ยงคืนแล้วเหรอ ไวมากเลยเนอะ"

วันนี้เป็นวันปาร์ตี้ชุดนอนในช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนชั้นปีที่ 1 ของโรงเรียนมัธยมฮัลโหล สคูล ไลลาห์ พิงก์โรส ลูกพลัม ไอริส สาวๆ ชาวแก๊งค์มีนเกิร์ล โดยมีไลลาห์ดำรงตำแหน่งเจ้าหญิงและเป็นประธานชมรม

"ไม่ล่ะ ฉันจะตะเบ็งเฆี่ยนอิสซาเบลล่าไปซื้อดีกว่า เดี๋ยวมานะ" ไลลาห์เป็นคนปรู๊ดปร๊าด คิดอะไรได้ ทำเลย สงสัยกลัวลืม

อ่ะ อ่ะ...แล้วอิสเบลล่าก็คือเมอร์ซิเดสสีขาว เขยื้อนแล่นออกจากรั้วหน้าบ้าน 3 ชั้น สีขาวสไตล์ฟินแลนด์

ถนนเบื้องหน้าโล่งอย่างที่ไม่เคยเห็นว่ามันจะเคยโล่งเตียนขนาดนี้มาก่อน

ในกรุงเทพฯ เคยมีชั่วโมงแบบนี้ด้วยเหรอ

เอี๊ยด!

รถสีขาวหมุนคว้างกลางถนน สุนัขพันธุ์ทางหน้าตามอมแมมยืนมองรถเหมือนเด็กยืนมองลูกข่าง แล้วรถก็กระแทกให้กับเสาไฟฟ้า

โครม!!!

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

78 ปี ประชาธิปไตย เราเดินไปด้วยความรุนแรง




ขออนุญาตใช้ภาพข่าวจากเนชั่น กรุ๊ป

ขอไว้อาลัยให้กับประชาธิปไตยไทยอีกครั้ง

อย่างสงบ


เราไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย ตราบใดก็ตามที่มีช่องว่าง-กฎ-กติกา-ความชอบธรรม คนที่พร้อมจะเดินตามเส้นทาง...อะไรคือประชาธิปไตย
ไม่ต้องเป็นหมอดูฟันธง
เรากำลังอยู่ในประเทศที่ระบบการปกครองล้มเหลวที่สุด
ขอโทษเถอะ ถ้าจะบอกว่า มันเป็นแผ่นดินที่อยู่อย่างสงบสุขมาช้านาน
หารู้ไม่ มันไม่เคยสงบ เพราะคนไทยไม่พร้อมที่จะใช้มัน

ไว้อาลัยให้กรุงเทพ ไว้อาลัยให้ประชาธิปไตย

เราควรหันมาไตร่ตรองอีกครั้งว่า ระบบอะไรที่จะใช้แล้วได้ผลกับคนทั้งประเทศ

เกาะดับจิตบทที่ 2 เหตุบังเอิญ

“คุณคะ วิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วค่ะ” เสียงพูดรสหวานเชี๊ยบ เนิบช้าร่วงหล่นจากเพดานสูง

“หมายความว่า ผม...ผมตายแล้ว” ผมพูดอย่างคนตระหนกตื่น มองเห็นร่างนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงนอน ตัวผมอีกคนยืนเก้ๆ กังๆ เบื้องหน้ารูปท้องทะเลกว้างสีเขียวมรกต อัดกรอบดำฉาบข้างฝาไม้ไว้ที่ข้างๆ หน้าต่างหัวนอน

“ไม่ใช่ค่ะ แค่วิญญาณหลุดออกจากร่างกายชั่วคราว” ผู้หญิงในชุดกระโปรงสั้นสีขาวค่อยๆ เดินเรื่อยช้าจากประตูห้องน้ำ ย่องลอยตรงมาที่ผม ประกายเส้นผมดำขับที่คาดผมสีขาวโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่เต่า จมูกยาว ปลายจมูกเชิดรั้นแปะไว้กลางวงหน้า ปากกว้างทำให้เครื่องหน้าดูประหลาด กลิ่นดอกมะลิตลบอวลกาย กรุ่นจางบางเบาจากระยะไกล ค่อยๆ อัดแน่นฉุนจัด เมื่อชิดใกล้

ผมถามหล่อนว่าเป็นใคร...“ฉันเป็นวิญญาณลอยวนเวียนอยู่ตรงนี้ คุณกลัวผีหรือไม่” คำตอบพร้อมคำถามชุดใหม่จากหล่อน

“ไม่ใคร่เจอ แต่เห็นแล้วกลับไม่กลัว” ผมหมายถึงหล่อนนั่นแหละ หญิงสาวคายคำพูด “คิดเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงหล่อนเยือกเย็นกว่าเก่าอีก คว้าแขนผมจับไว้มั่น ผ้าคลุมไหล่สีขาวบางจ้อยค่อยๆ ปลิวคลุมตัวเรา ร่างกายเมามายไร้สภาพดูดีบนที่นอน หน้าจืดซีด วูบหายในเงาขาวจ้า ร่างวิญญาณกับร่างกายเดินทางห่างไกลกันและกัน คำตอบว่าผีคืออะไร วิญญาณคืออะไรจากผู้ใหญ่ในตอนเด็กๆ ดูไร้ค่า เมื่อถึงเวลานั้น เหมือนเช่นวัยเด็ก คุณครูถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ผมบอกครูว่า หมอ เพราะคุณตาอยากให้เป็นหมอ แต่ไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่าอาชีพหมอนั่นคืออะไร เคยแต่เห็นคุณตาตรวจไข้ที่ผมป่วยพับ คำตอบด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ ไม่เคยซาบซึ้งเท่าสัมผัสจริง...แน่นอนที่สุด!!!

เสียงคลื่นทะเลและเม็ดทรายละเอียดกล่าวไว้ว่า เราโผล่บริเวณหน้าชายหาดที่ไม่มีป้ายปักว่าคือหาดไหน ทั้งผมก็ไม่เชี่ยวชาญถิ่นที่พอจะบอกได้ “น้ามาทำอะไรที่นี่” เด็กชายตัวเล็กแกร็นถามหญิงชุดขาว ดูท่าอายุอานามไม่น่าเกิน 9 ปี ในริ้วรอยปะชุนบนใบหน้าบอกชี้ว่าตายศพไม่สวย เด็กนับสิบวิ่งตรงมาที่เรา ทว่าต้วมเตี้ยม บางคนวิ่งได้ยากลำบาก ท่าทางพิกลพิการ ขาไปทาง แขนไปทาง หน้าหันไปทาง กว่าจะวิ่งได้ถูกทิศ อาศัยเพื่อนฝูงคอยลากจูง ผมสังเกตว่าเกือบทุกคน...หน้าตาแตกต่างสายชาติพันธุ์ทว่าหน้าเย็บชุนทุกคน

“ที่นี่ที่ไหน” ผมร้องเสียงหลง เด็กชายคนเดิมทำปากบิดไปเบี้ยวมา แล้วชี้นิ้วไปตรงจุดหมายไกลโพ้น “หมู่บ้านเด็กชายสึนามิไร้ญาติ กลุ่มเด็กหญิงอยู่อีกหมู่บ้าน ต้องเข้าในต้นมะพร้าวต้นนั้น” เด็กน้อยบอกทำไมว่ะ ไม่อยากไป แล้วผมก็พูดเบาๆ ว่ามาทำอะไรที่นี่ ทำหน้าตาเอ๋อเหรอประกอบ หญิงชุดขาวคลายสงสัย “อันที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจพาคุณมาเห็นนี่เป็นสิ่งแรก แต่คุณคิดว่าผีไม่น่ากลัวไม่ดูร้าย ผีก็เหมือนคน มีทั้งน่ากลัวและน่ารัก ที่ฉันพาคุณดูนี่คือผีแบบน่ารักนิดๆ น่ากลัวหน่อยๆ เด็กพวกนี้น่าสงสาร หาทางกลับบ้านไม่เจอ พวกเขาพลัดหลงกับพ่อแม่ที่ร่างกายจมลึกไปกับท้องทะเล”

“น้าหาแม่ผมเจอหรือยัง” เด็กชายคนเดิมถาม หญิงสาวให้คำตอบเด็ก “ไม่จ่ะ น้ายังไม่เห็น” แล้วเล่าให้ผมฟังว่าแม่ของเด็กคนนี้เดินเร่ขายเครื่องดื่มอยู่หน้าหาด วันเกิดเหตุเป็นวันหยุดเรียน เด็กชายนอนหลับฝันหวานที่ห้องเช่า ฝ่ายแม่เดินออกจากบ้านมาทำงานไม่ทันไรก็... เด็กที่เหลือวิ่งมาถึง ทุกคนดูกระหืดหอบ ส่งคำถามเดียวกัน พบพ่อแม่ หรือญาติของเขาบ้างไหม หญิงสาวส่ายหน้า แววตาสังเวชเวทนาในลิขิตโชคชะตาฉายฉาน

"ผมไม่อยากไปไหนแล้ว คุณปล่อยผมเถอะ" ผมพูดใส่หน้าหล่อน หยิบผ้าขาวขึ้นมาคลุมตัว ฉับพลันก็หลุดลงไปในโพรงมืด แหกปากร้อง "อย่า อย่า อย่า"



บทที่ 2 ยังไม่จบ ทว่าบทความหายจากที่เก็บไฟล์ ต้นฉบับหลายหน้าจัด สบโอกาสจะพิมพ์มาแปะใหม่

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ของอร่อยในอิตาลี




ในอิตาลี...มีของอร่อยทุกหัวระแหงทั่วเมือง ร้านอาหารอร่อยเพียบ...ตามมาเลย


ตลาด,ลีกูเรีย

ซานเลโม--เมืองที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศ เพสโตอร่อย เห็ดป่า อาหารทะเลมั่งคั่ง ดั่งพระเจ้าประทานให้เป็นรางวัลแห่งธรรมชาติ ผลผลิตมาตรฐานระดับโกลด์ อันเบนก้า-อาร์ติโช้ก โวเปโด้-พีช และเบซิล จากปรา แล้วก็คือว่ามีน้ำมันมะกอกที่ทำจากมะกอพันธุ์แทกเกียสก้า มะกอกพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกขาย ข้ามจากตลาดมาก็เป็น La pigna เมืองซานลาโมยุคกลางและรับประทานอาหารร้านดังที่Il Mulattier หรือไม่ก็ที่ Cantine Sanremesi ที่สุดท้ายมีสแน๊คหร่อยล้ำรออยู่

ลาซานญ่า, เลอมาร์เช่

น้อยคนที่จะรู้ว่า Macerata มีมหาวิทยาลัยยุคกลาง หอระฆัง พิพิธภัณฑ์ ศิลปินเยี่ยมๆ และเทศกาลโอเปร่าฤดูร้อนระดับโลกในสนามกีฬากลางแจ้ง ทั้งหมดอยู่บนพื้นหญ้ากลางหุบเขาในเลอ มาร์เช่ เมืองที่ผู้คนเป็นมิตรและอาหารอร่อย ร้านอาหารเยี่ยมๆ รวมถึงลาซาญ่าที่อร่อยที่สุดในโลก ชื่อวินซีกราส์ซี่ ที่มีส่วนผสมหลักเป็นเนื้อสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ กระต่าย และบางครั้งก็เลือกใช้เนื้อหมูและเนื้อแกะ ผสมกับมัชรูมและทรัฟเฟิล ร้านน่าลอง 1. Trattoria da Ezio มีพาสต้าเส้นสดทุกวัน ตั้งแต่ปี 1959 ร้าน The Sophisticated Da Rosa หรือที่ The Osteria dei Fiori

พาสต้าและซีฟู๊ดที่ปูเกลีย

เมือง Lecce ในปูเกลีย ถูกเรียกว่า ฟอร์เรนซ์ใต้ เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยดัง เป็นเมืองรากแห่งวัฒนธรรมดนตรี สถาปัตยกรรมสวยงาม ผู้คนมีมารยาท และอาหารอร่อยเหมือนเมืองฟอร์เรนซ์ พาสต้า ผัก (ถั่วชิกพีบดและสตูถั่วลันเตาขึ้นชื่อ) อาหารซีฟู๊ด โดยเฉพาะ หอยแมลงภู่รสอร่อยหาทานได้ยาก สถานที่แนะนำ Osteria degli Spiriti, Cucina Casareeia หรือ Alle Due Corti เรียนทำอาหารท้องถิ่นเพิ่มเติมได้ที่ The Awaiting Table

ข้าว, เปียด์มงต์

คาซาน่า ใกล้ๆ กับเวอร์เซลลีในเปียด์มงต์ คือสถานที่ที่มอบประสบการณ์และความหมายของข้าวและรีซอตโต้ได้อย่างทุกอณู Tenuta Castello คือหนึ่งในที่ที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวออร์แกนิก เก็บเกี่ยวผลผลิตแบบดั้งเดิม คุณสามารถเยี่ยมชมนาข้าวและเรียนรู้วิธีการปลูก ให้น้ำ เก็บเกี่ยวและห่อหีบ มีโรงแรมแบบ B&B (Bed&Breakfast) รายชื่อห้องพักเป็นชื่อพันธุ์ข้าวหลากหลายสายพุนธุ์ Oryza Restaurant มีอาหารที่ทำจากข้าว จานเริ่ดๆ หลากหลาย รวมทั้งอาหารจานปลาและเนื้อสัตว์ (จานคลาสสิก ได้แก่ ปานิสส่าทำจากไส้กรอกหมู) ผักและไวน์ (บาร์เบอร่า รีซอตโต้ก็น่าสนใจ) ราคาไม่แพง

ไอศกรีม, ซิซิลี่

เมืองโนโตในซิซิลี่ แวดล้อมด้วยสถาปัตยกรรมบาร็อก ใกล้เมืองสวยงามอย่าง Siracusa ที่ที่มีไอศกรีมอร่อยที่สุดในโลก ขายเป็นถ้วยคล้ายน้ำแข็งไสละเอียด แต่ละรสหร่อยเลิศ เช่น ส้มแทงเจอรีน มะลิ กุหลาบ ชิมรสชาติความอร่อยได้ที่ คาฟเฟ่ ซิซิเลีย หรือที่ คอร์ราโด้ คอสตาณซ่า ดินเนอร์ที่ Ristorante al Barocco ที่ I Sapori del Val di Noto มีจานอร่อยที่ทำจากผลซีตรัส ฟรุ๊ต กลิ่นหอม--กลิ่นรส แสงสีเสียงเต็มที่

กาแฟ, ฟลุยลี-วีเนอเซีย กุยเลีย

เมืองทริส (Trieste) เคยเป็นท่าเรือในช่วงอาณาจักรออสเตรียน จากปี 1371 ถึง 1918 ซึ่งเป็นจุดถ่ายเปลี่ยนสินค้าจายุโรปกลาง และเป็นศูนย์กลางกาแฟนำเข้าจากอิตาลี ที่นี่คือบ้านของแบรนด์กาแฟชื่อก้องโลกอย่าง Illy และ Hausbrandt ร้านแบบคาเฟ่เป็นร้านที่น่าค้นชิม ลองเค้กพื้นถิ่นอย่าง putizza, pinza หรือ gubana เติมถั่ว ลูกเกด เหล้าลิเคียว คาเฟ่เยี่ยมๆ มีหลายที่ ที่ที่นักเขียนอย่างเจมส์ จอยซ์ชื่นชอบ--Piron, San Marco, Tommasco และร้าเบเกอรี่ La Bomboniera ที่ที่คอกาแฟใฝ่ฝันหา...Illy's University of coffee มีคอร์สเรียนเกี่ยวกับกาแฟหลายคอร์สสอนเป็นภาษาอังกฤษ

เรียบเรียงจาก Italy's regional specialities for the gourmet traveller by Fred Plotkin

God of Slow Food II

บางคำถามในบทสัมภาษณ์ที่ Nick Wyke เคยสัมภาษณ์ Carlo Petrini ใน TIMEONLINE

ในครัวของคุณมีอะไรบ้าง?

แล้วแต่นะ--ของสำคัญๆ ที่คู่ครัว เช่น พาสต้า ข้าว เมล็ดถั่ว มะกอกในโหล ผักดอง บ้านของผมซื้อของทุกวัน ผลไม้สดๆ ผัก ไข่สดๆ นม ปลาสดใหม่ ขนมปังเพิ่งอบ ที่สโลว์ ฟู๊ด พวกเราติดต่อเครือข่ายเกษตรกรรายย่อย ดังนั้น ผมโชคดีที่สามารถเข้าถึงผลผลิตดีๆ ในถิ่นที่ผมอาศัย เซาธ์ เปียด์มงต์

คุณสรุปปรัชญาอาหารว่าอย่างไร?

อาหารควรดี สะอาดและยุติธรรม "ดี" ในความหมายว่า รสชาติดี สร้างเสริมสุขภาพ และประสาทสัมผัสทั้งห้าพึงพอใจ

"สะอาด" ในความหมายที่ว่า กินเข้าไปแล้วสุขภาพดีขึ้น ผลิตบนดิน ตามระบอบธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม

"ยุติธรรม" ในความหมายที่ว่า เคารพความถูกต้องตามกฎหมาย หมายถึงค่าแรงไม่ต่ำเกินไป คนงานทำงานในสถานที่แวดล้อมดี รวมถึงส่งเสริมระบบลูกโซ่อาหาร ผู้ผลิตส่งถึงผู้บริโภค อาหารไม่ควรเดินทางไกลนักเมื่อมาอยู่บนโต๊ะ

คุณชอบรับประทานอาหารนอกบ้านหรือเปล่า?

ขึ้นอยู่กับโอกาสครับ บางวาระเวลา บางอารมณ์ แล้วแต่คนที่ไปทานด้วย สลัดธรรมดาทำกินเองที่บ้านหรืออาหารที่มีรายละเอียดในร้านอาหาร ทั้งคู่ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าพึงใจ ผมชอบรับประทานอาหารนอกบ้านจริงๆ นะ ไม่สามารถบอกได้ว่าที่ไหน ไม่เคยรวบรวมรายชื่อร้านที่ชอบไปสักครั้ง... ผมมีเพื่อนเป็นกุ๊กชั้นเยี่ยมเยอะ แต่ไม่รู้ว่าใครยังทำอยู่บ้าง!!!

อะไรคือกระแสอาหารอันแท้จริงในอนาคต?

ผมหวังว่าจะมีผู้ที่ตระหนักถึงการบริโภคมากขึ้น แม้ว่าที่สโลว์ ฟู๊ด พวกเราไม่ค่อยพูดเกี่ยวกับผู้บริโภคเลย ได้แต่บอกให้พวกเขานึกว่าตัวเองเป็นผู้ร่วมผลิต ดังนั้น กลายเป็นว่าพวกเขาเองคือส่วนหนึ่งของกระบวนการไปในตัว

เทรนด์อาหารกำลังจะกลับมาใช้ระบบชีวภาพ ทั้งการเลี้ยงสัตว์และการปลูกผักพืชผล จะมีการกล่าวอ้างสถานที่ แหล่งที่เลือกซื้อ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จากสิ่งที่คนลืม-ละเลยไปแล้ว หรือไม่ก็ตัดขาดความทันสมัย เพื่อโลกที่เราอาศัย นั่นเป็นสิ่งที่เราควรทำตั้งแต่วันนี้

God of Slow Food


ผลพวงจากการรณรงค์ลดโลกร้อนจึงเกิดกระแส "Ecogastronomy" อาหารเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
Carlo Petrini แค่พูดคำว่า "Slow" และ "Food" เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก็กลายเป็นกระแสโด่งดังจวบจนวันนี้
หนังสือของเขา Slow Food : Nation--why our food should be good, clean and fair อธิบายทุกเรื่องราวเกี่ยวกับความคิดและอาหารสโลว์ ฟู๊ด ด้วยภาษาที่ตลก อบอุ่น เต็มไปด้วยความรู้สึกรักอาหาร งดงามดั่งเช่นบทกวี

เปทรินีเกิดในเปียด์มงต์--อิตาลีตอนเหนือ ในครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่าง เรียนรู้เรื่องอาหารจากคุณยายในช่วงหลังสงครามออสเตรีย (ช่วงต้นศตวรรษที่ 70) และเคยเป็นนักเรียนทหารมาก่อน

ไอเดียอีโคแกสโทรนอมี่ เกิดขึ้นระหว่างเป็นทหารโดยบังเอิญ--ตกใจที่พบว่าที่ใกล้ๆ เอสทรี (Asti) มีพื้นที่ปลูกพริกหลายพันไมล์ เป็นพันธุ์ที่ปลูกแพร่หลายในเนเธอร์แลนด์ (พริกที่นั่นรสชาติอร่อย) แต่เมื่อปลูกเป็นอุตสาหกรรม พริกที่ผลิตจากที่ถูกเลี้ยงในถิ่นพื้นที่ไม่เหมาะไม่ควร รสชาติพริกจึงแย่

แล้วใครรู้บ้างว่าชาวไร่ที่แอสทรี ปลูกหัวทิวลิปส่งออกไปยังฮอลแลนด์

เขายอมรับไม่ได้ ที่เห็นพืชผลทางการเกษตรปลูกในที่หลายพันธุ์ไมล์เพื่อรองรับตลาดมากมาย อาหารไม่ควรผลิตด้วยวิธีการเช่นนี้

เปทรินีเชื่อในอีโคเกสโทรนอมี ในความหมายที่ว่า อาหารดี...ปลูกในท้องถิ่นที่เหมาะสม หารับประทานได้ง่ายและต่อต้านวัฒนธรรมองค์กรอาหารฟาสต์ฟู๊ด อาหารที่ทลายสุขภาพ ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบตัดต่อสายพันธุ์ อาหาร-พืชผลเร่งกำเนิด... เขาให้ความเห็นว่ายุคการบริโภคอย่างห่ำหั่นกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์จบลงแล้ว คนพวกนั้นคืออาชญากรทำลายโลกชัดๆ ผู้บริโภคเองต้องคิดว่าตัวเองเป็นผู้ร่วมผลิตด้วย

ด้วยลักษณะท่าทางที่ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้อื่นมากนัก ที่ Natural kitchen, ถ้าเขาพบใครสักคนก่อน 09.30น. จะอารมณ์เสียพร้อมปูดบ่น ทั้งยังปฏิเสธการถ่ายรูปอาหารพร้อมเขียนคำบรรยายอย่างไร้สาระ เขาย้ำว่า "ไม่มีเวลา" ที่จะใช้อาหารปั่นหัวจิตหัวใจผู้คน เหมือนเช่นการชมภาพโป๊ๆ วอบแวม แล้วตั้งข้อสังเกตว่าเชฟชื่อดังในอังกฤษกำลังป่วย

แน่นอนที่สุด, เขาไม่เอาด้วยถ้าให้ซื้อของที่เทสโก้ ด้วยเหตุเพราะ มันไม่มี "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" ในที่นี่หมายถึงอาหารตามหลักการ "ดี สะอาดและยุติธรรม"

ดังนั้น การรณรงค์จึงมีจุดประสงค์บนพื้นฐานความเชื่ออันแรงกล้า

"เทคโนโลยีล้ำหน้า ทว่าเราก็ไม่สามารถรับประทานคอมพิวเตอร์และข้อมูล ต้องมีบางคนปลูกมะเขือเทศ บางคนปลูกมะเขือม่วง พวกเราต้องสร้างและส่งเสริมให้ชนชั้นเกษตรกรภูมิใจกับงานของตนไม่ต่างอะไรกับที่พวกทนายความนับถือตัวเอง" เขากล่าวไว้อย่างโดนใจ...ในยุคที่อะไรๆ ก็ทันสมัย ล้ำยุค ถึงจะเรียกว่าของดี

Tortillitas



ภาพ Evan Sung

Tortillitas
(แพนเค้กไม่ใส่ไข่)


สูตรนี้ของดั้งเดิมมาจาก Andalusia ในสเปน มีส่วนผสมคือ แป้งที่มีถั่วชิกพีเป็นส่วนประกอบหลัก กุ้ง หรือของทะเลอื่นๆ หัวหอม สมุนไพรหลายชนิด และน้ำมันมะกอก ถูกเสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย หรือของกินเล่นมื้อเล็กๆ ระหว่างวัน ทำง่ายและรวดเร็ว

ถ้าจะให้แป้งหนาต้องใช้ถั่วชิกพีครึ่ง แป้งแพนเค้กตามปกติครึ่ง ถ้าใช้แป้งถั่วชิกพีทั้งหมด มันไม่มีกรูเตน เนื้อแป้งจะกรอบและหักง่าย และกลิ่นถั่วก็แรงเกินไป ถ้าผสมแป้ง มันจะเคี้ยวง่าย ดึ๋งๆ

ในสเปน...กุ้งที่ใช้ตัวเล็ก ของท้องถิ่นและสด (ใช้กุ้งตามปกติ หอยเชลล์ และปลาค็อดเค็มแทนได้) แต่ไม่แนะนำใส่ปลาหลายชนิด
ขั้นตอนสุดท้าย ใส่ตู้เย็นไว้สักหนึ่งขั่วโมงแล้วนำมาจี่ทอด เพราะส่วนผสมคลายรสชาติผสมรวมกับแป้ง รสกลมกล่อมมากขึ้น

จาก The Minimalist The New York Times

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The boy done food


The boy done food

the boy done food เรื่องอาหารที่เขียนโดยผู้ชายคนหนึ่ง

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องลาวๆ 1


Laos…diet
อาหารลาวสิจ๊ะ!


แซ่บเด้ออีนาง!
ทักทายด้วยคำชมภาษาลาว ผู้บ่าวว่าวยกฝีไม้ลายมือคั่ว นึ่ง จี่ ต้ม ให้แม่หญิง

ครั้นจะเขียนเปิดเหมือนบทเรียนก็น่าเบื่อหน่าย ในตำราฝรั่งเขียนเรื่องอาหารลาวไว้ด้วยภาษาเถรตรง แข็งโป๊ก เหมือนเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติยังไงยังงั้น
อาทิ อาหารลาวเป็นอาหารของคนลาวที่มีถึง 56 ชนเผ่า ส่วนมากกระจายกันอยู่เป็นชุมชน คนลาวรับประทานอาหารแปลกๆ เช่น กินแมลงเพื่อได้สารอาหารจากโปรตีน
เฮ้อ!!!

แต่ก็แอบปลื้มนะ ที่ขนาดตำราอ๊อกฟอร์ด ยังกล่าวชมคนลาวว่า ชาวลาวงดงามที่สุดในโลก อารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้ม และอยู่อาศัยแบบสบายๆ ฝรั่งเขาว่า เมืองลาวคือสรวงสวรรค์ ป่าไม้งาม ทิวทัศน์ ธรรมชาติน่าอภิรมย์ สัตว์ป่าสมบูรณ์ แหล่งอาหารเพียงพอต่อจำนวนประชากร ทำให้ผู้คนสุขภาพแข็งแรง

มื้ออาหารสบายๆ คนลาวทำอาหารกินเมื่อหิว หรือไม่ก็แล้วแต่ว่ามีแขกมาเยี่ยมมาเยือนหรือเปล่า คนมีฝีมือทำกับข้าวจะเตรียมใส่สำรับไว้ให้ตักรับประทาน

มีด ส้อม ตะเกียบ ไม่จำเป็นต้องใช้!!!

มือเปิบง่ายที่สุด

หยิบไก่ (เนื้อ หมู หรือปลาย่างก็ได้) ห่อผัก เข้าปาก เปิดกระติ๊บข้าวเหนียว ปั้นเป็นก้อนกลมๆ เข้าปาก...หลับตาพริ้ม

อาจมีน้ำแกงไข่มดแดงซดตาม

เปิบพิสดาร โฮ่ก!!!

ทว่าทุกหมู่บ้านทุกครัวเรือนกินข้าวเหนียวนึ่งเป็นอาหารหลักจริงๆ เหมือนคนไทยกินข้าวสวย

กับข้าวกับปลาที่รับประทานเพื่อโปรตีนที่นิยมกินไม่พ้นปลาในแม่น้ำ แหล่งหาปลาในลาวสมบูรณ์ เนื้อปลาหวาน ต้ม ผัด แกง ทอด ก็อร่อย

ที่ขาดไม่ได้ในสำรับคือ ปลาแดก ข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าเปล่าๆ คนลาวก็มีชีวิตอยู่ได้ เอาปลาร้ามาทำน้ำพริกก็กินได้กินดี ปลาแดกแปลงรูปได้ ฯลฯ

เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น เป็ด ไก่ หมู โดยเฉพาะ เนื้อวัว (มีขายน้อยมาก) ทว่า เนื้อสัตว์ในลาวรสอร่อย เพราะไม่มีสารเคมีเร่งอัดให้โตใหญ่

เนื้อสัตว์ป่า กบ เขียด ปลาไหล นกกระทุ่ม งู (นี่ยังเบสิก) มีขายในตลาดเซ๊าละลานตา

ผักหญ้าก็จำชื่อไม่หมด รสอร่อย หวานกรอบ ใครชอบถ่ายรูป แนะนำให้ไปตลาดในลาว ภาพสวย สีสวย เพราะนางแบบนายแบบสวย
ผลไม้สดๆ เพียบ กองพะเนินเทินทึ้ก

เสียดายกล้องที่ถ่ายรูปตอนไปเที่ยวลาวเสีย ไม่อย่างนั้นน่ะ มีรูปสวยๆ พร้อมเรื่องอวดมากมาย
โปรดติดตามตอนต่อไป

***หนังสือน่าอ่านเกี่ยวกับอาหารลาว Ant Egg Soup : the Adventures of a Food Tourist in Laos โดย Natacha Du Pont De Bie

Hor d’oeuvres & Zakuski


รูปภาพ zakuski

Hor d’oeuvres

ศตวรรษที่ 17 ชาวฝรั่งเศสให้นิยามอาหารขนาดเล็ก ปรกติเป็นอาหารจานเย็น มีหลายชนิดในหนึ่งจาน เสิร์ฟในช่วงเริ่มมื้ออาหาร (ในอังกฤษใช้คำนี้เมื่อศตวรรษที่ 18 สังเกตได้ว่าเรื่องอาหารการกิน อังกฤษตามหลังฝรั่งเศสอยู่)

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ใช้ถาดเสิร์ฟออเดิร์ฟคล้ายปัจจุบัน อาหารในถาดอาจมีมากถึง 12 ชนิด ชิ้นเล็กๆ อร่อยๆ

ของหลักๆ จะมี แอนโชวี ซาดีน ปลารมควันสไลด์ มะกอก ราดิช มะเขือเทศฝาน (บางครั้งใช้สลัดผักไปเลย ไส้กรอกหลายชนิด หรือผลิตภัณฑ์ชากุสเตอคี (เนื้อสัตว์หรืออวัยวะสัตว์ยัดไส้)

ออเดิร์ฟร้อน...ยกตัวอย่างขนมหวานชิ้นเล็กๆ ของทอด ทว่าออร์เดิร์ฟในเฟรนช์กุยซีนไม่ค่อยนิยมเสิร์ฟสักเท่าไหร่ เนื่องจากอาหารฝรั่งเศสรูปแบบใหม่รับประทานเป็นคอร์ส ออร์เดิร์ฟถูกแทนที่โดยอองเท่ (อาหารเริ่มมือ)


Zakuski

แปลตามความหมายได้ว่า “คำเล็กๆ” แรกเริ่มใช้คำนี้ในเวลาจบมื้ออาหาร คนรัสเซียเสิร์ฟพายและของหวานชิ้นเล็กๆ ตบท้ายมื้อ ในปัจจุบันคำนี้ใช้ได้ 2 ความหมาย ความหมายแรกคือความหมายเดิม ความหมายที่สองคือ อาหารเบาท้องเมื่อเริ่มมื้ออาหารพร้อมว็อดก้า ใช้สแน๊คแทนได้บางครั้ง เสิร์ฟแบบบุฟเฟ่ต์ที่ zakusochnaya หมายถง สแตนอัพบาร์ (ที่วางอาหารสำหรับยืนรับประทาน)

เดิมทีจะเป็นอาหารจานร้อนหรือจานเย็นก็ได้ถ้าเป็นอาหารจานเย็นนิยมเสิร์ฟคาเวียร์ จานร้อนก็เป็น ‘pirozhki’ หมายถึงขนมกรอบๆ ชิ้นเล็กๆ รวมถึงพาย ในโปแลนด์พายชนิดนี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

ศตวรรษที่ 19 zakuski ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะที่จัดมุมใดมุมหนึ่งไว้โดยเฉพาะ บนโต๊ะกลมจะมี ขนมปังปิ้ง (Toasts) แก้วแชมเปญ แก้วว็อดก้า ปลาแฮร์ริ่งคำเล็กๆ ไม่ก็คานาเป้คาเวียร์ ใช้ว็อดก้าเรียกน้ำย่อยให้กระหายอาหารจานต่อๆ ไป

ข้อมูลจาก The Oxford Caompanion To food
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง Zakuski ได้ที่ http://food.gather.com/viewArticle.action?articleId=281474976744930

Smörgåsbord



Smörgåsbord

อาหารขึ้นชื่อของสวีเดน เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ธรรมเนียมเดิมจัดใส่จานวางให้แจกเลือกหยิบกิน ปัจจุบัน กลายเป็นอาหารเริ่มมื้อและอาหารที่จัดไว้ในบุฟเฟ่ต์แบบเต็มรูปแบบ ส่วนมากทำเป็นอาหารจานเย็นหลายๆ ชนิด ชิ้นเล็กๆ บางครั้งมีของร้อนเพิ่มเติม

ส่วนตีความตามตัวอักษรหมายถึง โต๊ะอาหารที่มีขนมปังทาเนย ซึ่งอาจหมายถึงแถวของแซนด์วิชแยกชิ้นส่วน ซึ่งนั่นหมายถึงของอร่อยหลายๆ ชนิด (ปลาแฮร์ริ่งหลากหลายรูปแบบ อาหารซีฟู๊ดจานอร่อย อาหารประเภทเนื้อสัตว์จานเย็น สลัดหลากชนิด และชีส) เสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบสวีดิช และอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งมันก็คล้ายแซนด์วิชที่แยกเป็นชิ้นๆ

ถ้าสมอร์กัสบอร์ดอยู่ในมื้อบุฟเฟ่ต์ ปกติแล้วจะเสิร์ฟ แฮร์ริ่งเป็นอันดับแรก บางครั้งก็อาจเป็นอาหารซีฟู๊ดที่เรียกว่า (gravlaks) หมายถึงจานเล็กๆ อุ่นๆ บางครั้งก็เป็นอาหารจากเนื้อสัตว์ (cold meats) หรือชีส/ผลไม้/ของหวานไม่หนักเกินไปหนัก
Smorbrod ของคนนอร์เวย์ Smörrebord ในเดนมาร์ก มีความหมายเหมือน Smörgåsbord

ในฟินแลนด์ใช้ได้สองคำคือ Smörgåsbord และ Voileipäpöyta

ข้อมูลจาก The Oxford Caompanion To food

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Man, Politic, Museum and Blogs



Clementine Paddle Ford (1898-1967)
คอลัมนิสต์อาหารในหนังสือพิมพ์และแมกกาซีน)
ชาวแคนซันที่ย้ายรกรากมาอยู่ในนิวยอร์ก เขียนบทความให้ New York Herald Tribune (1936-1966)ในคอลัมน์จับจ่ายตลาดและปรุงอาหาร และเขียนให้ Gourmet (1941-1953) โด่งดังเรื่องแพชชั่นการเขียนบรรยายอาหาร อธิบายขั้นตอนการปรุงได้ตามลำดับความ ละเอียดลออ น่าตื่นเต้น โดยที่ไม่พยายามจนน่าเกลียด ไมว่าจะเป็นอาหารชั้นสูงหรืออาหารชาวบ้านร้านตลาด แต่ละข้อเขียนได้รับการยกย่องว่าเหมือนอ่านบทกวี ละเลียด ล้ำลึก สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ให้ผู้อ่านอิ่มเอิบไปกับอาหารและความคิดสร้างของเธอ

ข้อมูลจากนิตยสาร Gourmet

Food, Inc.,

สารคดีที่สนุกไม่แพ้ Super size me ว่าด้วยเรื่องระบบอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา เรื่องราวเกิดขึ้นในนิวยอร์ก ลอสแองเจิลลิส และซานฟรานซิสโก ทุกๆ วันศุกร์

เจ๋ง!!! ก็เพราะวันศุกร์ ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกาเขาเติมของใหม่เข้าตู้เย็นล่ะสิ

...

Food, Inc., เป็นภาพยนตร์อาหารยุคใหม่ที่เข้มข้นด้วยเรื่องราวการเมืองในแวดวงอาหาร เช่น

-เร่งสัตว์ให้โตวันโตคืนกว่าเวลาที่ควรจะเป็น (ลดไลฟ์ไทม์เหลือแค่ครึ่ง) เพื่อส่งร้านอาหารให้ตรงตามกำหนด

-แล้วอาหารที่คุณซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ต แน่ใจเหรอว่าไม่ใช่ซากอาหาร

หึ!!!

มันจะทำให้คุณไม่อยากกินอะไรในอเมริกาอีกเลย

Gourmet Museum and Library

พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์อาหาร ตั้งอยู่ที่แคว้น Liège ในเบลเยี่ยม

ส่วนงานห้องสมุด

รวบรวมหนังสืออาหารและเครื่องดื่มในเบลเยี่ยมและในยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 20 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนมากเป็นหนังสือเก่า อาหารหายาก ศิลปะบนโต๊ะอาหาร เลยรวมถึงเครื่องสูบ—บุหรี่ ซิการ์ที่ผลิตในยุโรป

ที่นี่แบ่งประเภทหมวดหมู่หนังสือเป็น ประวัติบุคคล ประวัติศาสตร์ สูตรอาหาร อาหารประจำศาสนา อาหารสำหรับเด็ก ข้อมูลทางโภชนาการ มังสวิรัติ อาหารเจ (ไม่เนื้อ ไม่นม ไม่ไข่) เศรษฐศาสตร์ในครัวเรือน สังคมวิทยา วิทยาศาสตร์อาหาร ดนตรี วรรณกรรม ฯลฯ

ผู้ที่เข้าใช้ควรเขียนจดหมายนัดทีมงานเพื่อให้อาสาสมัครหรือเจ้าหน้าที่ห้องสมุดแนะนำและนำชม

ส่วนพิพิธภัณฑ์

รวบรวมภาพวาด เฟอร์นิเจอร์ งานชิ้นเอก อาหารและอุปกรณ์ทำอาหาร ถูกจัดวางให้ชมตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ผู้เข้าชมจะได้รับคำแนะนำและคำอธิบายจากมัคคุเทศก์

Food Blogs (around the world)

1. Chocolate and zucchini—เฟรนช์ ฟู๊ด บล็อก ดำเนินงานโดยสำนักพิมพ์ที่เชี่ยวชาญเรื่องช้อปปิ้งและหาที่หาทางหาอาหารกินในปารีส

2. Eating Asia—เจ้าของบล็อก Robyn Eckhardt ผู้รู้เรื่องอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอาหารฟิลิปปินส์ บล็อกสีสันสวยงามจากภาพถ่ายอาหารเอเชียตามตลาดและท้องถนนจากช่างภาพมืออาชีพ

3. Grab your fork--Helen Yee และสหายบล็อกเกอร์ในซิดนีย์ ถกเถียงเรื่องอาหารจากทั่วทุกมุมโลก

4. The boy done food—รวบรวมข้อเขียนจากนักหนังสือพิมพ์ที่เขียนเรื่องอาหารโดยเฉพาะอย่าง William Leigh บล็อกอัพเดตสม่ำเสมอ แต่ละบทความน่าอ่านยิ่ง

5. Wine anorak—เปิดโลกมนตร์ขลังแห่งงไวน์ ผ่านเรื่องเล่าจากการท่องเที่ยวเสาะหาไวน์ขวดที่ดีที่สุด สนุกสนาน ภาษาฮิฮะเป็นกันเอง

6. refined palate—คู่สามีภรรยาที่สอดส่ายรับประทานอาหารหรูตามร้านไฟน์ ไดนนิ่ง วิเคราะห์กันคำต่อคำ

7. Cheese and biscuits—Chris Pople พัฒนางานเขียนอาหาด้วยสไตล์รื่นรมย์ มองโลกในแง่ดี สนุก ตื่นเช้ามางัวเงียเปิดคอม ดื่มกาแฟสักถ้วย ท่องบล็อกนี้ อิ่มๆๆ

8. Eat like a girl—เหมาะสำหรับคนไม่ชอบกินอาหารนอกบ้าน ในบล็อกมีสูตรอาหารอร่อย ทำเองได้...เพียบ เหมาะกับสาวร่นงบน้อยเบี้ยน้อยแต่ยังติดของอร่อย มีรายละเอียด

9. Mexico cooks—เหมาะสำหรับผู้เริ่มเรียนรู้อาหารหลากหลายของเม็กซิโก บล็อกนี้สูตรละเอียด มีสูตรง่ายๆ ทำกินเองที่บ้านได้ (ถ้าเครื่องปรุง เครื่องเทศครบ)

10. Silverbrow on food--บล็อกที่เขียนขึ้นโดยคนเคร่งครัดการรับประทานอาหารตามหลักศาสนายิว

ขนมไทยโบราณ


<
คราไปเที่ยวอัมพวา ถิ่นขนมหวานรสอร่อยเมื่อนานมาแล้ว พี่ๆ คนทำขนมใจดี อธิบายความหมายขนมไทยโบราณ (แต่ไม่ยอมบอกสูตร แสดงว่าใจดีไม่หมด) แจ่มแจ๋ว

เอิงเปอเดอเลยปัดฝุ่น รัดเข็มขัดข้อความให้กระชับ แล้วก็จับยัดลงบล็อกให้สนิทซะเลย

เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีอะไรไทย...ไทย

นี่ล่ะ!!! ไทยพอไหม


ขนมชั้น


เป็นขนมพื้นบ้านที่ชาวอัมพวาทำเป็นเกือบทุกบ้าน ในสมัยก่อน เวลาเทศกาลปีใหม่ หรืองานบุญ นิยมทำขนมชั้นเป็นหลัก เพราะความหมายดี ส่วนผสมมีแป้ง กะทิ น้ำตาล สีธรรมชาติอย่าง ใบเตย ดอกอัญชัน ตัวชั้นนิยมทำ 9 ชั้น จุดเด่นที่สำคัญของขนมชั้นคือ สีสวย มันเป็นเงางามจากกะทิ แต่ละชั้นที่รวมกันหมายถึงความเป็นปึกแผ่น ฐานะมั่นคงในหน้าที่การงาน เลื่อนชั้นสูงขึ้นทุกๆ ปี รูปแบบขนมชั้นสมัยใหม่หลากหลาย เช่นพับเป็นดอกกุหลาบ บ่งบอกถึงความสุข สดชื่น สมหวังในสิ่งที่ต้องการ

ขนมขี้หนู

ขนมไทยพื้นบ้าน มีส่วนผสมหลักจาแป้งข้าวจ้าวโม่ นำไปซอยตากแดด แป้งจึงเนื้อสาก ส่วนสีที่ใช้ผสมอาหารมาจากอัญชันคั้น ใบเตยคั้น เวลาจะรับประทานก็โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดฝอยอีกที

ขนมจ่ามงกุฎสูตร ๑

ตำรับเดิมของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๒ เป็นขมไทยโบราณ ส่วนผสมจาก แป้ง กะทิ น้ำตาล ห่อด้วยใบตองตานี นำไปย่างและผึ่งแดด 2 วัน จึงนำใบตองมาเจียน แล้วค่อยนำไปห่อขนมที่กวนเสร็จแล้ว กลัดด้วยไม่กลัดไผ่ จากนั้นตากแดดหนึ่งแดด เพื่อให้ขนมกรอบนอกนุ่มใน ขนมจะเก็บไว้ได้นานวัน

ขนมจ่ามงกุฎสูตร ๒

รูปลักษณ์สวยงาม คล้ายมงกุฎสีทอง มีเม็ดแตงกวาดด้วยน้ำตาลประดับรอบมงกุฎ ส่วนผสมหลักจากแป้ง กะทิ น้ำตาล ไข่แดงไข่ไก่ แต่เดิมขนมชนิดนี้มีชื่อว่า ‘ทองเอกกระจัง’ หรือดาราทอง ใช้เป็นขนมในพิธีการต่างๆ เป็นของขวัญ ของฝากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ชื่อขนมหมายถึงการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง

ขนมเทียนสลัดงา

วิธีทำกวนแป้งให้สุกแล้วหุ้มไสที่ทำจากมะพร้าว แล้วคลุกงาคั่ว จากนั้นจึงห่อด้วยใบตองสด ห่อเล็กๆ พอดีคำ จัดใส่กระเช้าที่สานจากใบมะพร้าว ก็สวยน่ารัก เก็บไว้ได้นานถึง 7 วัน

มื้ออาหารจาก “ตำรากับข้าวฝรั่ง”



มื้ออาหารจาก “ตำรากับข้าวฝรั่ง”
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ (ทรงแปล) ตอนที่ 1

พลิกตำราอาหารต่างประเทศในเมืองไทยเล่มไหนก็ไม่ถูกใจเท่าเล่มนี้
“ตำราทำกับข้าวฝรั่ง” เป็นผลพวงจากการศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตะวันตกผ่านการเสด็จประพาสยุโรป ถือเป็นช่วงแรกที่อาหารยุโรปเริ่มเข้ามาในสังคมไทย ซึ่งใช้อาหารฝรั่งต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของพระองค์
ภาษาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลชวนหัวชวนคิด ทรงแปลจากภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส “โดยทรงบอกให้จด ถ้อยคำที่จดอาจเพี้ยนคำฝรั่งไปบ้าง” (มหาเสวกโท พระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี)
เอิงเปอเดอจึงใคร่นึกสนุก และมีความสนใจในด้านอาหารและด้านวรรณกรรมเป็นทุนเดิม จึงขอหยิบยกพระปรีชาสามารถในด้านโภชนาการและการปรุงอาหารอย่างล้ำลึกของพระองค์ท่าน (ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์) ชักข้อความสั้นๆ ที่ทรงแปลรวบรวมเป็นมื้ออาหารสักมื้อ

อาลาคาร์ต
ซุป--คอนโซเมกับผัก
สลัด--สลัดชาวรุสเซีย
เห็ด—สติวมัสรูม
เนื้อวัว—สมองวัวทอด
เนื้อแกะ—เนื้อแกะย่างไม่ต้องต้ม
เรื่องไก่—เดสไกท์ เป็นกับข้าวยิ้ว
เรื่องเป็ดและนก—เป็ดทับและนกเคอลกับถั่วสติว
กุ้งต่างๆ---กุ้งปลอกต้มอย่างถ่อมทรง
แซลวิช—แซลวิชที่ทำด้วยพิเลดของปลาซอลมอนหรือพิเลดกุ้งก้ามกราม พิเลดซอลมัน
ขนมต่างๆ—นี่คือกล้วยแขกฝรั่ง ฟริตเตอร์กล้วย และแอบเปอลเนย

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Fish and chips


ฟิชแอนด์ชิปส์ฝีมือจิมมี่ โอลิเวอร์

พจนานุกรมลองแมนในมือให้ความหมายฟิช แอนด์ ชิปส์ ว่า มื้ออาหารที่ใช้ปลาคลุกแป้งและนม ทอดในน้ำมันไม่ร้อนจัดเกินไปเป็นเวลานาน กินคู่กับมันฝรั่งทอด

ฟิช แอนด์ ชิปส์

เกือบเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นอาหารประจำชาติของอังกฤษและสก็อตแลนด์ ทว่าประวัติก็ไม่ยาวนานสักเท่าไหร่ ย้อนเวลากลับไปในศตวรรษที่ 19 ช่วงทศวรรษ 1860s ในแลนคาเชียหรือในลอนดอน

ระยะแรก (1840s) ไม่มีมันฝรั่งทอดขายคู่ เป็นแค่ปลาทอดขายเป็นชิ้นๆ

ในโอลิเวอร์ ทวิสต์ วรรณกรรมชิ้นเอกชาร์ล ดิกเคน กล่าวถึงร้านขายของ (warehouse) มีปลาทอดขาย ซึ่งในขณะที่นิยายตีพิมพ์ครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่ปลาทอดขายคู่กับขนมปังไร้รูปทรงก้อนโต

ธรรมเนียมชาวยิวยึดแน่นกับการกินปลาทอดเย็นๆ

โธมัส เจฟเฟอร์สัน ค้นพบเมื่อเขามาลอนดอนว่า ‘ปลาทอด’ เป็นอาหารที่มาจากชาวยิว ถูกรวบรวมในตำราอาหารของชาวยิวที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเล่มแรก

ร้าน Malin’s Bow in London’s East End เป็นร้านฟิช แอนด์ ชิปส์ ร้านแรก ขายปลาทอดและมันฝรั่งเพื่อใช้เป็นภาพแสดงของผู้ที่เข้ามาอยู่ในลอนดอน ซึ่งก็คือ ผู้อพยพชาวยุโรปเชื้อสายยิว และชาวไอริชอพยพผู้กินมันฝรั่งเป็นอาหารหลัก

สำหรับมันทอดเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ตาม มันฝรั่งถูกนำมาขายข้างถนนเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 ระยะแรกขายแบบอบ ปรุงรสนิดหน่อย

หลังจากนั้น ฟิช แอนด์ ชิปส์ ก็ขายดี และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ขยายไปถึงไอร์แลนด์ ชาวอิตาเลียนอพยพนำฟิช แอนด์ ชิปส์ จากไอร์แลนด์ เผยแพร่ในสกอตแลนด์ จากนั้นจำนวนร้านฟิช แอนด์ ชิปส์ ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการใช้เทคนิคต่างๆ ปรุงให้อร่อย แต่หลักๆ แล้ว ยังใช้ ปลาค็อด ปลาแฮดด็อก ปลาสเก็ต และค็อกฟิช ผสมน้ำส้มมอลต์ เกลือ อาจจะมีชิ้นเลมอนแซมปรากฏ แรกเริ่มที่ขาย ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ หลังจากทศวรรษที่หกสิบ (1960s) มีการเปลี่ยนกระดาษที่ห่อคลุมเพื่อสุขภาพอนามัย

*** Fish and chips เรียกอีกชื่อว่า Chippy

5 ร้านชิปปี้อร่อยเหาะในสหราชอาณาจักร

The Towhead Café (Biggar, Scotland)
185 High street, Biggar ML 12 6DJ (www.townheadbiggar.com)


รู้กันว่าเป็นร้านชิปปี้อันดับหนึ่งของสก็อตแลนด์ ธุรกิจครอบครัวหาปลาแฮดด็อกจากแหล่งน้ำนอก Shetland จึงมีปลาคุณภาพดีทำชิปปี้

Taylor’s Fish & Chips (Pennygraig, Wales)
66 Tylacelyn Road, Pennygraig, Tonypandy, Mid Glamorgan, CF40 1JU (www.tatlorsfish.co.uk)


ขึ้นชื่อเรื่องปลาที่ใช้ทำชิปปี้มีคุณภาพสูง มาจากแหล่งน้ำที่ดี ใช้ประเภทปลาทำชิปปี้มากถึง 4 ชนิด ได้แก่ ปลาค็อด ไพร์ซ แฮดค็อก และสแคมปี้

Tommy’s Fish&Chips (Ballykelly, Northern Ireland)
40 Main Street, Ballykelly, London derry, Northern Ireland, BT 49 9HS


ร้านเปิดบริการยาวนานถึง 40 ปี มีทหารผู้ซึ่งประจำสำนักงานในบาลลี่แคลลี่ผูกปิ่นโต แขกเหรื่อประทับใจการบริการอย่างอบอุ่นและบรรยากาศแบบครอบครัวขนคนมารับประทาน

Colman’s of South Shields (Tyne&Wear)
182-186 Ocean road, South Shield, Tyne&Wear, NE33 2JQ (www.colmansfishandchips.com)


ขายชิปปี้เป็นธุรกิจครอบครัว สั่งสมประสบการณ์ระดับอุตสาหกรรมมากว่า 100 ปี เจ้าของร้าน Richard Ord ผู้ขึ้นชื่อเรื่องการทอดเป็นอันดับหนึ่ง ชิปปี้ที่นี่ใช้ปลาค็อดและแฮดค็อกเป็นหลัก ยกเว้นโอกาสพิเศษ

Seniors (Thornton Cleveleys, Lancashire)
91 Fleetwood Road North, Thornton Cleveleys, FY5 4AB (www.thinkseniors.com)


เจ้าของ Alastair Horabin ขายชิปปี้ในร้านอาหารแบบโมเดิร์น สะดวกที่สามารถสั่งกลับบ้านได้ด้วย ทั้งยังเพิ่มความเจ๋งตรงที่ลูกค้ามีโอกาสเลือกชนิดปลาที่ใช้ทำชิปปี้ กว่า 13 ชนิดเชียว ว้าว!!! อาทิ พอลแลค, จอห์น ดอรี่, โคลี่ และแฮ๊ก

ข้อมูลส่วนร้านชิปส์ แอนด์ ฟิชจาก Times Real Food Directory

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Paris Bistro


Les Papilles

L’Epigramme

ย้อนเวลากลับไปเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ในฝรั่งเศสและต้นศตวรรษที่ 20 ในอังกฤษ นิยามสถานที่ที่มีอาหารไม่มากชนิดให้รับประทาน รวมถึงเครื่องดื่ม พื้นที่ร้านขนาดย่อม อาหารแต่ละจานปรุงง่ายๆ สูตรดั้งเดิม ราคาไม่แพง พวกเขาเรียกร้านอาหารประเภทนี้ว่า “บิสโทร”

“บิสโทร” เป็นคำภาษารัสเซียนแปลว่า เร็วๆ ซึ่งเหมาะเจาะและตรงประเด็นที่ใช้เรียกที่ที่หาอาหารรับประทานอย่างเร็วอย่างไว

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไอเดียนี้ใช้อย่างแพร่หลายในฝรั่งเศส บรรยากาศแบบนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ทั่วทุกหัวเมือง โดยเฉพาะในปารีส นั่นทำให้ปลายศตวรรษที่ 20 เริ่มมีการเซ๊งร้านค้าเล็กๆ ตึกห้องขนาดไม่ใหญ่ไม่โตให้บริการ เพิ่มขึ้นนักต่อนัก ยิ่งทำให้ร้านอาหารแบบบิสโทรเป็นที่นิยม
(อ้างอิงจาก Alan Davidson ในหนังสือ The OXFORD COMPANION TO FOOD)

ชีวิตและพัฒนาการของบิสโทรในปารีส

ในปารีส, บิสโทรคือร้านอาหารที่คุณจะไม่พบผ้าเช็ดปากผืนสีขาวสะอาดห่อพับบนจาน ไม่มีรายการไวน์ให้เลือกเยอะแยะ ส่วนมากก็เสิร์ฟแต่โบโชเล่ (Beaujolais) ทุกวันอังคารก็หมุนเวียนมาพบรายการเนื้อลูกวัวอบไวต์ซอส เท่านั้นไม่พอ ยังไม่มีคนผูกหูกระต่ายคอยรินน้ำเติมไวน์เปลี่ยนซิการ์ให้ที่มุมโต๊ะ

แต่ถ้าในมื้อนั้น เสาะหาร้านเล็กๆ แบบที่เหมือนมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน สะดวกสบาย ราคาสมเหตุสมผล และอาหารก็น่าเชื่อใจได้ว่าอร่อย ก็ตบเท้าเข้าบิสโทรซะก็หมดเรื่อง เพราะเดี๋ยวนี้อาหารในบิสโทรในปารีสสร้างสรรค์น้อยเสียเมื่อไหร่ แม้ว่าจะเป็นอาหารแบบดั้งเดิม ทว่ามีพัฒนาการไม่หยุดยั้ง ฝรั่งเขาเรียกว่า “deconstruct” คือการรื้อสร้างสูตรเก่าฉายใหม่ไฉไลกว่า ทำนองนั้น

บรรยากาศก็ไม่ถึงขั้นนั่งไหล่ชิดไหล่ใกล้เพื่อนบ้านอย่างบิสโทรแบบดั้งเดิม ภาพลักษณ์ดูเหมือนจะคลี่คลาย ขยับขยายให้ดูไม่อึดอัดมากจนเกินไปนัก ทว่าก็ยังได้ยินเสียงผู้คนเล่าขานเรื่องราวเล่าสู่กันฟังจากคนโต๊ะข้างๆ อยู่ดี

เรื่องการบริการก็เป็นกันเองเหมือนบรรยากาศพาไป ราคาก็ตกอยู่ที่หนึ่งมื้อประมาณ 30 ยูโร ซึ่งคนยุโรปถือว่าเป็นการจ่ายเงินเพื่ออาหารการกินนอกบ้านที่รัดเข็มขัดใช้ได้

ร้านบิสโทรชื่อดังในปารีส

Le Gaigne
(12, rue Pecquay, Fourth Arrondissement, 33-1-4459-8672, restaurantlegaigne.fr)


บิสโทรที่นับว่ามีเสน่ห์มากที่สุดแห่งหนึ่งในปารีส ดำเนินงานบริหารร้านโดยคู่สามีภรรยา (ภรรยาคอยต้อนรับแขกเหรื่อ สามีอยู่ในครัว—เขาเคยทำงานกับเชฟติดดาวอย่าง Pierre Gagnaire) อาหารเสิร์ฟตรงเวลา กำลังร้อน เยี่ยม หน้าตาน่าสนใจ ไวน์รสชาติค่อนข้างดี

ช่วยไม่ได้ที่ของดีมีที่นั่งจำกัดเพียง 20 ที่นั่ง แต่งร้านอย่างเรียบง่าย โลเคชั่นไม่ชิคเก๋ เพราะตั้งอยู่ข้างถนน ใกล้ๆ กับย่าน Marais และ Beaubourg เมนูกระชับ อาหาร 5 คอร์ส ราคา 39 ยูโร แถมชิ้นใหญ่เบ้งๆ (ยิ่งถ้าสั่งแบบอาลาคาร์ต)

มาถึงเมนูที่พลาดแล้วจะเสียใจ จานแรก—เทอรีนชิ้นส่วนหมู ทำจากอุ้งเท้า หู และแก้ม เสิร์ฟพร้อมผักนานาชนิด หน้าตาจัดว่าสไตล์เดิมๆ มีเครื่องเคียงเป็นดอกกะหล่ำรูปหัวใจ แฮมรูปสามเหลี่ยม ซาลามีย่าง ราดน้ำสลัด (vinaigrette)

คอนฟิตที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้ แล้วแต่ว่าวันไหนเขาจะทำคอนฟิตอะไร
(คอนฟิตคือ การใช้เนื้อสัตว์ปรุงในไขมันของสัตว์ชนิดนั้น ถนอมไว้ให้เนื้อนุ่มอร่อย)

ฝ่ายอาหารจานหลักที่พลาดไม่ได้--เนื้อลูกวัวย่างเสิร์ฟพร้อมเห็ดผัดเนย มันฝรั่ง หัวหอม แม้จะดูเป็นอาหารง่ายๆ ทว่าอร่อยโดดเด่น เพราะเครื่องปรุงในซอสนั้นเหนียวข้นเหมือนสตูที่เคี่ยวมานาน

ท้ายที่สุด, ขนมหวานของร้านอร่อย ทว่าไม่มีชิ้นไหนที่โดดเด่น ถ้าจะให้ดี ชีสสักชิ้นก็เพียงพอ

L’Epigramme
(9, rue de l’Eperon, Sixth Arrondissement; 33-1-4441-0009)


พิกัดตั้งในโลเคชั่นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านอาหารขายแข่งขันเพียบ แน่นอนที่สุด ร้านนี้ถูกที่สุด 30 ยูโร สำหรับอาหาร 3 คอร์ส เชฟหลังร้านก็เคยทำงานกับอแลง ดูกาส์ นั่นใช่จุดขายหรือเปล่า???

เพราะร้านเล็กๆ 30 ที่นั่ง แต่งแบบไม่แต่งอะไรเลย หาใช่ว่าไม่น่าสนใจ เพราะดำเนินงานเที่ยงตรงเป๊ะ! เหมือนร้านอาหารมาตรฐานทั่วไป จริงจังกับการเสิร์ฟอาหาร ร้อนได้ที่ หน้าตาสวย วางอยู่ในครัวอย่างไร เสิร์ฟบนโต๊ะให้ลูกค้าหน้าตาต้องเป็นอย่างนั้น

แหม่ะ! ถูกด้วยดีด้วย

อยากให้ลอง!!!

1. ฟอร์มาจขาว (ชีสที่หมักไม่นาน กลิ่นจึงไม่แรงจัด เนื้อสัมผัสนุ่ม เข้มข้น และมีไขมันอยู่มาก) ชิ้นเล็กๆ กับสมุนไพรและกระเทียม มาพร้อมแครอต หัวไชเท้า (แรดิชไม่ใช่ดราก้อนในซุปของคนจีน) ส่วนซุปดอกกะหล่ำบดรสชาติเลิศ มีเบคอนโรยหน้าด้วยน้อยๆ
2. เนื้อระหว่างกระดูกแกะที่โคตะระนุ่มลิ้น ชุ่มรส เสิร์ฟพร้อมสตูผักและคูส์คูส
3. คาราเมลเค็ม ข้างบนมีพุดดิ้งข้าว ขนมล้างปากที่อร่อยแบบมีความลับซ่อนอยู่ในนั้น

Itinéraires
(5, rue de Pontoise, Fifth Arrondissement 33-1-4633-6011)


ในขนาดร้านใหญ่โตถึง 60 ที่นั่ง ดีไซน์เท่ๆ อาหารหน้าตาเลิศ ราคายุติธรรม ที่นี่มีเชฟหนุ่มหล่อผู้มีความตั้งใจบริการลูกค้าเป็นที่สุด (ภายใต้การควบคุมจากภรรยาของเขา แป่ว!!!) ดังนั้น การบริการจึงจัดว่าอยู่ในระดับน่าประทับใจ

อาหารจานหลักที่น่าซัดน่ากินที่สุดกลับเป็นอาหารจานเด็ดของอิตาเลียนอย่างรีซอตโต โรยขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ สันนิษฐานว่าน่าจะทำจากเค้กปรุงรสด้วยเครื่องเทศ

ไฮไลต์ของร้านอยู่ที่ขนมหวาน กู้ชาติกลับคืนด้วยมิลเฟยล์รสเอร็ด และขนมหวานเมนูสตรอว์เบอร์รี่ อย่างมาการองเสิร์ฟพร้อมถั่วพาทิสชิโอและสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต

Les Papilles
(30, rue Gay Lussac, Fifth Arrondissement 33-1-4325-2079 www.lespapillespanis.fr)


ที่นี่เป็นร้านขายไวน์คุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล และขายอาหารสำเร็จรูปไปในที (หาซื้อคอนฟิตเป็ดถนอมใส่โหลได้) ดังนั้น ร้านจึงพลุกพล่าน เสียงดัง ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้หายใจหายคอ ที่สำคัญ ไม่หรูสักนิด ก็เล่นเป็นร้านที่ขายอาหารในร้านโชว์ห่วยซะงี้ ทว่าคุณภาพอาหารระดับมิชลินสตาร์ แม้ว่าไม่มีเมนูให้เลือกเลย ทุกคนได้กินซุปเหมือนกัน อาหารจานหลัก สลัด และของหวานเหมือนกัน ตราบใดที่คุณไม่ใช่มังสวิรัติผู้เลือกกิน อาหารรสอร่อยสร้างความพึงพอใจติดมือผู้มาเยือนกลับไปได้เต็มที่เต็มเหนี่ยว

เรียบเรียงจาก Alive and Evolving : the Paris Bistro By Mark Bittman

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อยากกินมันฝรั่งโฮ๊ะ!!!




ขุด ขุด ขุด...

อยากกินของขุด

อยู่เมืองไทยก็โหยหาหัวเผือกผัวมัน สัมผัสวิถีชาวบ้านอีกนิด ลงมือถือจอบถือเสียมขุดหาหน่อไม้ในกอไผ่ คุ้ยๆ เขี่ยๆ เจอแล้วก็นำมาหมก ทำแกงส้ม แกงคั่ว ใส่ปิ๊บดอง เห็นเขาใส่ในแกงโฮ๊ะ—อาหารเหนือในตลาดก็แยะ

ในขณะที่ชาวตะวันตกขุดแครอต หัวบีต หัวมันฝรั่ง

ถ้าจะพูดว่า “วันนี้จะไปขุดมันฝรั่ง ขุดแครอตในสวนกินเสียหน่อย” ฟังๆ ดูแล้วก็เว่อร์เกิ้น ก็ของพวกนี้ไม่ค่อยอยู่ในอาหารไทยสักเท่าไหร่ ยกเว้นแครอตที่เดี๋ยวนี้หาเห็นได้ในยำสารพัดยำ ใครเอ่ยเป็นคนรินำแครอตมาใส่ยำน้า...อยากรู้จริง

ทว่ามันธรรมดามาก ถ้าฟ้าหรั่งเรียกหาอยากกินมันฝรั่ง ก็รู้อยู่แก่ใจว่า พวกเขากินมันแทนข้าว

คนอเมริกาใต้ขุด Oca อ่านว่า โอก้า โอข้า โอก่ะ เรียกไงก็ได้ตามแต่ภาษาแม่อำนวย
ว่ากันว่า เปลือกมันสีเหลืองๆ ไล่เฉดสีไปยันสีแดงถึงแดงอมม่วงหรือม่วงอมแดง ในผลทั้งน้ำทั้งเนื้ออย่างเยอะ คนนิยมนำไปทำทาร์ต
ในเปรูและโบลีเวีย เขาเอาพวกมันใส่ลงในหม้อสตู หม้อซุป ซดกันให้พรวดพร่าด...สู๊ดดดด

รากบัวนี่ก็ใช่พืชตระกูล Tuber (พืชที่เป็นหัวกลมๆ โตในใต้ดินใต้โคลน) เหมือนกันนะเออ

ว่าไปนั่น...

กลับมาที่มันฝรั่งดีฝ่า

ในที่นี้ขอละเว้นบอกเล่าประวัติมันฝรั่ง เพราะสามารถหาอ่านได้ทั่วไป ในเว็บไซต์อาหารก็มีอย่างแยะ
วันไหนนึกครึ้มอกครึ้มใจ ไว้จะรวบรวมลิงค์โพสแปะให้ดู คลิ๊กเดียว เข้าไปชม...ละเอียดกว่ามาก

ครานี้ตั้งใจจะโฮ๊ะมันฝรั่ง

คริกคริ...ชอบที่สุดเลย เวลาเขียนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ซีเครียด

พร้อมโฮ๊ะแล้วยัง?

-ชนชาติที่กินมันฝรั่งกันได้กันดี ก็เห็นจะมีอินตะละเดีย บังคลาเทศ พวกเติร์ก (คนตุรกี) คนอเมริกัน คนยุโรป (โดยเฉพาะสเปนนิชและคนอังกฤษ)

-ย่าง บด ต้ม อบ ทอด นึ่ง คือกริยาที่มันฝรั่งถูกกระทำเป็นอาหาร

-Niger Slater นักเขียนอาหารชาวอังกฤษ กล่าวว่า อาหารจะไม่เป็นอาหาร ถ้าในจานนั้นไม่มีมันฝรั่งเคียง อึ่ม! เห็นด้วยมั่กๆ

-ไข่เจียวสเปนใช้มันฝรั่งเหลืองหัวเล็กๆ สไลด์บางๆ เติมหัวหอมหวาน เคล็ดลับสูตรอร่อย

-คนอังกฤษช๊อบชอบมันฝรั่งย่าง ใส่แค่เกลือและพริกไทยดำ ในขณะที่คนอินเดียกินมันฝรั่งย่างเจือพริก ใส่ขมิ้น ใส่ผงกะหรี่

-ซาโมซ่า (กะหรี่ปั๊บ) ไส้ในก็ใส่มันฝรั่งนี่คะ

-อะไรอีกล่ะ โมร็อกกันมีสตู คนฝรั่งเศสใส่มันฝรั่งในการ์แตง คนอเมริกันกินฮาช...ในร้านฟาสต์ฟู๊ดขายแฟรนช์ฟรายด์—มันฝรั่งหั่นแท่งยาวทอดกรอบๆ

-พ่อครัวอาหารฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Guy Savoy จดจำสูตรอาหารจากมันฝรั่งในวัยเด็ก และนำมาปรับสูตรให้เป็นสูตรลับเฉพาะจนโด่งดัง จานนั้นชื่อว่า “Pommes Dauphine” ซึ่งมันก็คือพัฟมันฝรั่งกรอบๆ (อิฉันไม่เคยกินหรอก อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะอร่อยทะลุฟ้าขนาดไหนนั่น)


สำหรับมันฝรั่งโฮ๊ะ (กริยาโฮ๊ะแปลว่านำของกินหลายๆ ที่เหลือๆ แล้ว หรือไม่ใช่ของเหลือก็ได้มาใส่รวมกันให้ได้รสชาติอูมามิ)
ขอนำเสนอ นี่เลย แถมสูตรให้ด้วย (สูตรนี้ได้มาจากนิวยอร์ ไทมส์เช่นเคย)

Purée de Pommes de Terre à la Truffe (ปรับสูตรจากต้นตำรับของ กี ซาวอย)


เสิร์ฟ 4-6 ที่

ส่วนผสมเพื่อการโฮ๊ะ!
มันฝรั่งย่าง 1 ปอนด์
เกลือครอส (Coarse) 1 ช้อนชา
นม 1/3 ถ้วย
เนยจืดหั่นลูกเต๋า ½ ถ้วย
นำทรัฟเฟิลดำคั้น ½ ถ้วย
ทรัฟเฟิลดำหั่นเป็นแว่นๆ 2 ช้อนชา
เกลือทะเล
พริกไทยดำ

ลงมือ!!!
1. ใส่มันฝรั่งและเกลือลงในกระทะ (saucepan) เติมน้ำเย็นให้ท่วมประมาณ 1 นิ้ว
2. ต้มให้เดือดปุดๆ ด้วยไฟที่ร้อนกลางๆ ไม่ต้องปิดฟา มันฝรั่งจะนุ่มโดยปริยาย (ถ้าอยากรู้ว่านุ่มใช้ได้ยัง ก็ใช้มีดจิ้มๆๆ ทดสอบ)
3. ถ้าใช้ได้แล้วก็กรองน้ำออก ทิ้งไว้ให้เย็น ปอกเปลือกเสร็จ ก็ใส่เข้าเครื่องบด ก็จะได้มันฝรั่งบดเละเทะ 2 ถ้วย
4. ตั้งกระทะใบไม่ใหญ่ไม่โตด้วยไฟอ่อนๆ อุ่นนมและเนยสัก 2 ช้อนโต๊ะ รอจนกว่าเนยจะละลาย
5. เพิ่มไฟให้ร้อนขึ้นอีกนิด ใส่มันฝรั่งบด น้ำทรัฟเฟิล 1/4 ถ้วย เนยที่เหลือ 3 ช้อนโต๊ะ กวนจนกว่ามันจะเปล่งเป็นประกาย เนียนเป็นเนื้อเดียว
6. เติมน้ำทรัฟเฟิลที่เหลือ เนยที่เหลือ และทรัฟเฟิลดำหั่นแว่น
7. เพิ่มรสชาติด้วยเกลือและพริกไทย
8. คนต่อไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเข้าเนื้อเข้ารสเดียวทั้งกระทะ
9. ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้อุ่นสัก 30 นาที
10. หยอดเนยลงไปเป็นจุดๆ น้อยๆ เพื่อคงผิวด้านบนให้เข้ารูป แล้วใช้พลาสติกแร๊บบางๆ คลุมหน้ามันบดอีกที ลอยกระทะไว้ในน้ำอุ่น
11. ทีนี้ก็แล้วแต่จะกินเมื่อไหร่ ก็ตักเสิร์ฟ

อ้างอิงจากนิวยอร์กไทมส์และเดอะ การ์เดียน

ไอซ์ที


อากาศร้อนตับแตก ไอซ์ทีสักแก้วเถิดค่ะ
อย่างง่าย, เดินตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อ บนชั้นวางเครื่องดื่ม มีน้ำชาขายเป็นขวดอย่าง Tea Break วางหรา ก็ฉวยคว้าซะซี่ ซื้อกลับบ้านซะ รินใส่แก้ว โยนน้ำแข็งลงไป เยี่ยม! หร่อยเหาะ
ที่เมืองนอก ยี่ห้อ TEAS’ TEA และ ZEN จากค่ายซันทอรี่ก็เลิศรส (ยี่ห้อหลังขวดสวยเชียว ขนาดก็เหมาะมือ)
อ้อ!!! ยี่ห้อที่ยกๆ มา คอชาทั้งหลายกล่าวกันว่ารสดี ส่วนคอชาขาร๊อกแนะให้ซื้อแบบยกแพ๊ค 6 ขวด บางยี่ห้อก็ขายเป็นขวดขนาดใหญ่เบ้ง 2 ลิตร ดื่มให้จุกอืดกันไปข้าง
ไอ้ที่กระแสแรงมาน้านนาน ก็ต้องยกให้ชาเย็นมีกลิ่นรสที่มาจากน้ำเชื่อม
กุหลาบ
ไวโอเลต
ป๊อปปี้
มิโมซ่า
เมล่อน
เลือกแต่กลิ่นเลิศๆ มาค่ะคู้ณ
ก็เห็นโรงแรมหรูเก๋แกรนด์อย่างโฟร์ซีซั่น บริการชาเย็นกับน้ำเชื่อมมาเนิ่นนาน หลังๆ ในสาขาบางประเทศก็เพิ่มน้ำเชื่อมกลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ ตามกระแส...เอากับเขาสิ!
ในที่นี้ดิฉันนึกอยากชิมชาราดน้ำเชื่อมกลิ่นน้อยหน่าบ้าง (อ้างอิงจากชื่อเล่นของตัวเอง) คงหวานกลิ่นพิลึก คิดอีกที...ไม่มีวันนั้นน่ะดีแล้ว
ที่ไบโอ (BIO) บิสโทรของฟิลลิป สต๊าร์ก ในปารีส น้ำเชื่อมเขาใช้แต่น้ำตาลทรายแดง เพื่อสุขภาพ เก๋ๆ
ส่วนคนที่อยากชงชาดื่มเองที่บ้าน อ่ะ! ลองทำตามสูตรนี้ดูน้าคะ
1. เลือกชามาสักยี่ห้อ
2. ใส่น้ำร้อนลงในถ้วยชาสัก 8 ออนซ์
3. เติมน้ำเชื่อมรสใดก็ได้ที่มี ที่ชอบ หรือที่ใกล้มือ สักช็อต
4. กรุณาเลยนะคะ อย่าเติมน้ำผลไม้ มันไม่เข้ากันสุดๆ และน้ำจะดูเยอะแยะเฉอะแฉะเกินความจำเป็น ผลไม้บางชนิดไม่มีวันเข้ากับชาได๋ค่ะ
5. ถ้าน้ำเชื่อมไม่มีรส เติมกลีบกุหลาบล้างสะอาดเกลี้ยงเกลาสัก 8 กลีบ ก็เก๋กู๊ด...อีกแบบ
6. สุดท้าย...น้ำแข็งอยู่ไหนคร้า เคาะจากพิมพ์จากช่องฟรีซใส่แก้วซะ ไม่งั้นเขาไม่เรียกว่า ‘ชาเย็น’ หรอกน่ะปึ้ด
ชาสักแก้วไหมค่ะ

บางส่วนที่ไม่มีโอกาสไปเยือนเองก็อ้างอิงจาก นิว ยอร์ก ไทม์คร้า

เวลาชา


กาลครั้งหนึ่งนานแล้วนะ ในหมู่บ้านห่างไกลฝูงชน ชื่อว่าหมู่บ้านปลาคาร์ฟ ที่ชื่อน่ารักน่าเกลียดอย่างนั้นนั่นน่ะ ก็เพราะปลูกดอกทานตะวันพันธุ์แปลกสีเหมือนปลาคาร์ฟเต็มลานหมู่บ้าน เหตุผลก็มีเท่านี้
หมู่บ้านขนาด 12 ครัวเรือน จัดว่าเล็กมากๆ สุดปลายท้ายซอย ที่กระท่อมทรงคล้ายดอกเห็ดริมแม่น้ำ เป็ดเชอร์รี่และไก่ต๊อกเดินเพ้นพล่าน พลางจิกรำข้าว หัวเหอก้มๆ เงยๆ ขึ้น-ลงจากพื้นดินเป็นจังหวะ ดังก่อก...ก๊อก...ก่อก...ก๊อก ช่างดูเหมือนเป็ดไก่เห็นแก่กินเห็นๆ
ในบ้านหลังนั้น คุณยายผมขาวโพลนนอนยืดขายาว ปลายเท้าตั้งตรงดิ่งเหมือนคนยืนเคารพธงชาติอยู่บนเตียงไม้โอ๊ก เด็กหญิงกระโปรงบานสีชมพูช็อกกี้ พิงก์ วนเวียนทำอะไรอยู่นั่น
อ่า-ฮ้า หนูน้อยยืนตัวตรงดิ่ง มือไม้ป่วนชงชาให้คุณยายในมุมน้ำชา...มุมที่ละเมียดตบแต่งได้สวยที่สุด เก่าแก่ที่สุด ให้จินตนาการถึงเครื่องเรือนในเวลาน้ำชาสมัยพระเจ้าชาร์ลที่สอง ยุคที่หญิงสาวใส่กระโปรงสุ่มผ้าแวววาว ทั้งยังดูฟูฟ่อง ถือร่มลายลูกไม้ ล้อมวงจิบน้ำชา อืม...ประมาณอย่างนั้นนั่นแหละ
“รินน้ำร้อนจากกาน้ำร้อนเหล็กวิคตอเรียนแสนเก๋ ทิ้งไว้สักครู่ห้ามคน ชักถุงชาผ้าไหมออก เติมน้ำผึ้งนิดหน่อย ใส่เลมอน 1 แว่น เสร็จแล้วค่ะ น้ำชาสูตรคุณยาย”
หนูน้อยส่งถ้วยน้ำชาที่ประมูลจากพิพิธภัณฑ์ในปารีสให้ยายเฒ่าที่นอนราบแหงอยู่
“อ่า...อื่มมม รสดีจริงๆ วันนี้หนูชงชาอะไรให้ยายจ๊ะ” ยายจ้องน้ำชาสีเหลืองคล้ายดอกแดฟโฟดิลล์ เลมอนฝานจมหายใต้ก้นถ้วย เวลายายอิ่มเอิบ สีหน้าจะเปล่งประกายระยิบระยับ แม้ในยามร่างกายซูบเซียว อ่อนแอแบเบลอไร้กำลัง
หลานสาวใช้นิ้วชี้ม้วนผมเล่น ตอบคุณยายอย่างอายๆ “แฮริสัน ครอสฟิลด์ เอ็กซ์โซติก ไวต์ ที ออเร้นจ์ แอนด์ แมงโก้ คุณยายขาแล้วนี่มาการองสีชมพู้...ชมพูของคุณยายค่ะ หรือคุณยายจะรับช๊อกโกแล๊ต ทรัฟเฟิล” หนูน้อยยิ้มหวานจับใจ
“ทั้งสองอย่างก็ได้จ้ะ หนูชงมารียาจ ดาร์จีลิง เพิ่มให้ยายอีกสักถ้วยนะจ๊ะ”
“ได้เลยค่ะ ทำไมคุณยายจึงชอบน้ำชาจังเลยเล่าค่ะ” หลานสาวชักสีหน้าสงสัย พยายามม้วนเครื่องหน้าบนใบหน้าให้หยิกกว่าผมเป็นลอนของหล่อน
เง็งๆ
ใบหน้าคุณยายเอียงอาย พยายามจะให้เลือกฉีดสีหน้าแดงดูสุขภาพดี แต่ทำได้ที่ไหน ยายอายุปาเข้าไปเกือบร้อยแล้ว “หลานก้อ เรื่องยาวนะจ๊ะ หนูอยากฟังเหรอ” ยายถามหลานด้วยทีท่าอมพะนำอย่างไม่ค่อยอยากบอกอะไรเท่าไหร่
“หืมมม อยากฟังมากๆ ค่ะ” หล่อนเบิกตาโต ดวงตากลมแป๋วแหววทำยายใจอ่อน
“เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อก่อนเมื่อไร จำไม่ได้นะจ๊ะ ยายเด็กมาก แล้วไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น ความที่ยายพูดน้อย และคุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงยายให้อยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่เสมอมา ยายจึงไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งยังไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อย่างคนอื่น ครั้นพอมีงานเลี้ยงน้ำชาที่โรงแรมเปิดใหม่ยุคนั้น น่าจะเก่าแก่ในยุคนี้ ยายได้รับบัตรเชิญสม่ำเสมอ เป็นหญิงสาวคนแรกๆ ที่ถอดผ้าถุงไว้ที่ตะกร้าที่บ้าน ใส่กระโปรงบาน เสื้อเบร๊าส์ รองเท้าคัชชู นั่งจิบชากับกลุ่มเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียว และหนุ่มๆ จากโรงเรียนพลทหารบ้างบางครั้ง ยายได้พบท่านตาของหลานก็ที่นั่นแหละ จิบชานม จุ่มสโคนครั้งแรกก็ตาของหลานแหละที่สอนให้ยายทำ หลังๆ ยายก็มีโอกาสติดสอยห้อยตามเจ้านายไปเรียนเมืองนอกเมืองนา เรียนทำขนม ชงชา แล้วกลับมาเปิดร้านที่บ้าน ตาเขาเป็นลูกค้าประจำ มาถึงก็เดินเข้าร้านสั่งชาเย็น ปากก็พร่ำบอกว่าน้ำเชื่อมในน้ำชายังไม่หวานเท่าหน้ายาย
ยายทำหน้าเขินอีกแล้ว ไม่มีเลือดฝาดเช่นเดิม
“อยู่ๆ วันหนึ่งตาแกก็ใส่ดอกไม้ในกาน้ำชา คุกเข่าขอแต่งงานกลางร้าน คนก็เยอะแยะ อายก็อาย เขินก็เขิน เอาไงเอากัน ก็ตอบตกลงไป สมัยนี้เขาเรียกว่า เซย์ เยส ใช่ไหมจ๊ะ”
“ใช่คร้า”
“”พอถึงงานเลี้ยงแต่งงาน ทางครอบครัวยายก็เลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่วันหนึ่ง อีกวันก็เลี้ยงน้ำชาเพื่อนฝูงของยายกับของตา หลังจากแต่งงานร้านน้ำชาก็ยิ่งขายดิบขายดี ไม่เคยขาดทุน ถือเป็นร้านอันดับหนึ่งในยุคนั้น ยายจึงผูกพันกับชามากที่สุด ให้ยายหลับตาดมกลิ่น ยายยังรู้เลยว่ามันเป็นชาอะไร แต่ตอบยี่ห้อไม่ได้นะ สมัยนี้อะไรต่ออะไรออกมาใหม่ก็แยะ ชาสายพันธุ์แปลกๆ ก็แยะ
“ยิ่งหลานเกิดเวลาบ่ายแก่ๆ ตรงกับเวลาไฮที เพราะงี้แหละจ่ะ ยายจึงตั้งชื่อหลานรักของยายว่า ‘น้ำชา’ ไว้ให้หลานมาชงชาให้ยายดื่มตอนแก่งอมไงล่ะ” ยายเฉลย
ในขณะลมเพพัดเอื่อยๆ ลอดจากชองหน้าต่างที่เปิดแง้ม ยายมองทอดสายตายาวออกไปก็เห็นต้นกก ต้นอ้อ แทงยอดสูงปลิวล้อลม ลำต้นเสียดสี
“ปิดหน้าต่างทีสิลูก ประเดี๋ยวละอองหญ้าคันๆ เข้ามา” ยายบอกพลางวางถ้วยน้ำชาลงบนถาดกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม
ยายหลานกอดกันกลมเกลียว เห็นแล้วเหมือนเพรสเซลของป้าแอน อร่อยดีเหมือนกัน เวลากินคู่กับอิงลิชเบรกฟาส์ต ที
ไออานุภาพของความรัก
รสชาติที่แสดงอานุภาพความอบอุ่น
จากเครื่องดื่มที่สุดแสนคลาสซี่ ทันสมัย ไฮแอนด์ ไม่เคยล้ายุค
ที่เรียกว่า “น้ำชา”

บอกฉันบอกเธอ
สิ่งใดๆ ก็มีความทรงจำ มีความหมายซ่อนอยู่ในสิ่งนั้น

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลิงก์ผลงานบทความท่องเที่ยว

รวบรวมลิงค์ผลงานบทความท่องเที่ยว

http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/6/108/เที่ยวรสแซ่บที่ขอนแก่นดินแดนอีสาน__2_วัน_1_คืน_งบประมาณ_8000_บาทต่อคน.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว/1/9/ชลบุรี.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว/2/224/พัทยา.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว/2/187/บางแสน.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/9/117/เติมความรื่นเริงให้ชีวิตกับทริปพัทยาที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน__พัทยา_2_วัน_1_คืน_งบประมาณ_11500_บาท_ต่อคน.html


http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/9/120/วันเดียวเที่ยวทั่วบางแสนไปเช้าเย็นกลับ_งบประมาณ_1500_บาท.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/ผลการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว/1/1/3-p/65/สุโขทัย.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว/2/212/เปิดตำนานสุโขทัย_และศรีสัชนาลัย_เมืองคู่บ้านคู่เมืองแต่ครั้งอดีตกาล.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/32/80/นั่งตุ๊กๆ_ไหว้พระขอพรรอบกรุงเก่า_พระนครศรีอยุธยา_ไปเช้าเย็นกลับ__1_วัน_1000_บาท_ต่อคน.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/32/81/ชมวัดดูวัง_ซึมซับประวัติศาสตร์แสนงามแห่งราชธานีไทยในอดีตพระนครศรีอยุธยา__2_วัน_1_คืน_งบประมาณ_5200_บาทต่อคน.html

http://www.kbeautifullife.com/travel/ท่องเที่ยวตามงบประมาณ/1/60/123/ฉันรักอัมพวา__2_วัน_1_คืน_งบประมาณ_1900_บาทต่อคน.html