วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี บทที่ 3

อ่อนหวาน

พันธุ์ไม้ สมุนไพร พืชล้มลุกเบียดเสียดไม่เรียงยอด ไม่จัดหมู่และไม่เรียงลำดับความสูงรายรอบบึงใหญ่กลางวัด แหล่งเรียนรู้ทางชีววิทยาและการเกษตรสำหรับเด็กๆ รวมถึงฉัน


พระรุ่นหนุ่มหลายรูปนอกจากหมั่นเพียรในการกิจสงฆ์ แล้วยังขมีขมันปฏิบัติงาน งานซ่อมบำรุง งานช่างหลายแขนงเท่าที่ชำนาญทำงานได้ รวมถึงงานเรือกสวน เป็นที่น่าชื่นใจแก่ผู้พบเห็นและพระผู้ใหญ่ รวมถึงฉัน

พืชสมุนไพรแทงยอดผลัดชนิดตามฤดูกาล พอเหลือกินเหลือไว้ใช้สอยตลอดปี อ้อยดำก็ใช้เป็นยาสมุนไพรขับเลือดลม ขมิ้นใช้กิน ทาผิวหนังก็แก้พิษได้สารพัน พักอยู่ที่นี่ การทำงานก็ไม่ต่างจากการปฏิบัติธรรม ผลของการทำงานผลิดอกออกผล ผลของการปฏิบัติธรรมเพิ่มบุญอันเป็นปัจจัตตัง ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่รู้ได้ เข้าใจได้ ประจักษ์จริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่อย่างเกื้อกูลกัน รวมถึงฉัน

ไหนๆ ก็แต่งกลอนตามฉันทลักษณ์ไม่ได้ ฉันจึงหัดเขียนกลอนเปล่าตามประสาคนที่มีจิตใจอ่อนไหว แล้วก็แต่งต่อได้ว่า

ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ผิวน้ำระยิบในบึงบัว ดอกบัวคือดอกไม้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพประจำศาสนา เผยกลีบบานแย้มน้อยๆ น่าชมดุจภาพวาดของจิตรกร ใบบอน ใบบัวน้ำกลิ้งริกๆ ดูอ่อนไหว แมงมุมน้ำคืบไต่ผืนแก้วเหลวๆ ปลาตอดอาหารจากธรรมชาติ ผิวน้ำเป็นจ้ำกลม ขยายวงกลมเล็กๆ ใหญ่ขึ้นๆ

ในความเป็นจริง ฉันกำลังนั่งมึนๆ ที่ศาลากลางน้ำ เพื่อรับพลังจากแสงอาทิตย์ยามเช้าตามธรรมชาติประทานให้ พลังงานจากจักรวาลที่ฉันผลิตขึ้นเองไม่ได้ ตั้งสมมติฐานได้ว่า ฉันไม่ต่างอะไรจากดาวเคราะห์น้อยที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สมมติฐานนี้ทำให้ฉันเศร้าเหลือเกิน

แม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ขนอาสนะด้วยมือเปล่าและกำลังแขนและขาทั้งสองข้าง มาผึ่งแดดผึ่งลมเป็นปรกติของช่วงวัน พวกทานคงสังเกตเห็นพลังบางอย่างจากตัวฉันที่ทั้ง มืด คล้ำ ดำ บอด ภายหลังจากปฏิบัติงานเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาระหว่างฉัน แม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามก็เริ่มขึ้น

แม่ชีกล้วย--หนูเป็นอะไรหรือจ๊ะ ใบหน้าคล้ำหมองราวกับคนสิ้นหวังในชีวิต อากาศก็ดี แดดเช้าอย่างนี้ น่าจะเรียกพลังชีวิตให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

ฉัน--หนูพบว่าตัวเองเหมือนดาวเคราะห์น้อย ที่ไม่มีแสงสว่างและพลังงานมากมายเช่นดวงอาทิตย์

แม่ชีนินทรีย์--นั่นทำให้หนูเศร้า

ฉัน--ค่ะ

แม่ชีกล้วย--เศร้าเพระหนูไม่มีแสงให้เปล่งประกาย

ฉัน--ค่ะ มันทำให้หนูไม่ต่างอะไรจากยุง สัตว์อื่นๆ สิ่งของ ตัวเม่ายังมีค่ามากเสียกว่า

แม่ชีนินทรีย์--ทุกชีวิตมีหน้าที่ต่างกันนะจ๊ะ

แม่ชีกล้วย--งั้น แม่ชีถามหนูหน่อยว่า ตัวเม่ากับผีเสื้อ หนูว่าตัวไหนสวยกว่ากัน แมลงเม่าสร้างสมดุลย์ให้ธรรมชาติและช่วยให้วิกาลทัศนะแจ่มชัดขึ้น แม้เป็นจุดเล็กๆ ก็ตาม ผีเสื้อใช้เป็นตัวแทนความหมายสากลของความรู้ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าผีเสื้อใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งวิญญาณ หรือจิตวิญญาณที่รอคำพิพากษา ผีเสื้อนั้นอาจหมายถึงผู้หญิง ความรักที่ไม่สมหวัง และอีกหลายชาติก็มีอีกหลายความเชื่อ

ฉัน--มันเป็นคำถามเชิงสุนทรียะที่หนูคงตอบได้ยากมาก เพราะไม่ชอบสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ ความสวยสำหรับหนูมีพลังและนิ่งสงบกว่านั้นมาก เพราะฉะนั้น หนูจึงให้ความเห็ว่า สิงโตสวย โดยเฉพาะสิงโตตัวผู้ที่มีแผงขนงามล้อมรอบกรอบใบหน้า

แม่ชีนินทรีย์--แล้วดอกไม้ล่ะจ๊ะ สวยหรือเปล่า

ฉัน--สวยและเป็นฝ่ายรับมากเกินไป ดอกไม้เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ป้องกันตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ดอกไม้ทำได้คือมอบตนให้แก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หนูอยู่ร่วมกับดอกไม้ได้ หนูจะไม่เก็บและไม่ทำร้าย และก็จะรดน้ำอย่างถนอมด้วย เพราะความอ่อนหวานของดอกไม้แท้ที่ทำให้หนูอ่อนหวานขึ้น

แม่ชีกล้วยยิ้มและพูดต่ออีกว่า--สมมตินะจ๊ะ สมมติว่าพระอาทิตย์ก็คิดเหมือนหนู คืออยู่ร่วมกับหนูได้ โดยที่ไม่เผาหนูเนื้อเกรียม ถ้าไม่ซุกซนออกมาตากแดดจัดๆ ทั้งวัน แม่ชีมองอีกมุมหนึ่ง แม่ชีคิดว่า บางครั้งพระอาทิตย์ก็น่าเห็นใจ ด้วยอำนาจความร้อนที่มากมายทำให้พระอาทิตย์นั้นไม่มีเพื่อน เพราะเข้าใกล้รัศมีไม่ได้ กระนั้น พวกเราก็ต้องการแสงสว่างและความร้อนของพระอาทิตย์เท่าที่จำเป็น สรรพสิ่งดำรงหน้าที่อยู่อย่างแข็งขัน แม่ชีว่า ตอนนี้หนูจงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ใช้ความสามารถของหนูให้เต็มที่ นั่นแหน่ะ แม่ชีนิดเตรียมมัดข้าวต้มมัดไว้เลี้ยงพวกเราชาววัด รอผู้ช่วยที่หนึ่งที่มานั่งหงอยๆ อยู่

ฉัน--แม่ชีอนุมานซะหนูป้องกันตัวเองไม่ได้เหมือนดอกไม้ หนูก็ว่าบางครั้งตัวเองก็คล้ายดอกไม้เดินได้ งั้นหนูเป็นมนุษย์นี่แหละดีที่สุด ค่ะ หนูจะทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบเช่นเดิม เพิ่มความอ่อนหวาน

ข้าวต้มมัด

ข้าวเหนียวเขี้ยวงู
กล้วยน้ำว้าสุกงอม
ถั่วลิสง
ใบตอง
ตอก

อันที่จริง ตำรับข้าวต้มมัดของพวกเราชาววัดแตกต่างจากสูตรภาคกลาง ที่ใช้ข้าวเหนียวผัดกับน้ำตาลทรายและกะทิสด คนที่นี่เขาอ่อนหวานนะจ๊ะ แค่ความหวานจากกล้วยสุกก็เพียงพอแล้ว

วิธีทำ

ขั้นตอนแรก ล้างมือให้สะอาดและเตรียมอุปกรณ์ เช่น มีด ถาด ตอก เช็ดและเตรียมใบตองให้เรียบร้อย ข้าวต้มมัดของชาววัดทำคนเดียวไม่ได้หรอกจ่ะ คนละไม้คนละมือช่วยกันเป็นคณะ

ขั้นตอนที่สอง นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูและถั่วลิสงที่แช่น้ำทิ้งไว้แต่เช้ามืด กรอง แยกเนื้ออกจากน้ำ พักทิ้งไว้ให้หมาดน้ำ ถั่วลิสงแยกไว้ ใส่ในชามสังกะสี ข้าวเหนียวเขี้ยวงูใส่กะละมังใบย่อม

ขั้นตอนที่สาม ใช้ช้อนตักข้าวเหนียว โรยและเกลี่ยไว้กลางใบตอง เพิ่มกล้วยสักครึ่งใบ วางไว้จุดศูนย์กลางของข้าวเหนียวที่เกลี่ยไว้แล้ว กลบทับด้วยข้าวเหนียวอีกครั้ง ไม่ให้เห็นเนื้อกล้วย เพิ่มถั่วลิสงเม็ดโตๆ สัก 6-7 เม็ด แล้วห่อเข้ากลีบ จับกลีบเข้าคู่ จากนั้นมัดด้วยก้านตอกให้เรียบร้อย

ขั้นตอนที่สี่ ฉันนำข้าวต้มมัดเรียงไว้บนซึ้งอย่างเป็นระเบียบ เรียงจากวงนอกเข้าสู่วงในเหมือนก้นหอยถาก

ขั้นตอนที่ห้า ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่จะเห็นความขยัน ความประณีตเรียบร้อยของทุกคน ใครทำดี ควรเอาเยี่ยงอย่างคนคนนั้น

ขั้นตอนที่หก แม่ชีผู้คุมครัวเป็นคนนำไปนึ่งบนเตาอั้งโล่สักหนึ่งชัวโมงครึ่ง แล้วฉันก็จัดการเก็บกวาด เก็บล้างอุปกรณ์กระทั้งสะอาด หมดจด

ขั้นตอนที่หก ฉันยิ้มให้กับตัวเองและหมู่คณะด้วยความอ่อนหวานและภาคภูมิ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี บทที่ 2

บทที่สอง ผสมผสาน

เนื้อที่ไร่นาชาวบ้านรอบบริเวณวัด ปลูกข้าวแซมด้วยผักแปลงยาวลิบตา มะเขือเทศเปราะหอมเลาะลำคลอง แตงกวาออกลูกอ่อนระเรี่ยดิน

ฉันพยายามแต่งคำกลอนให้สละสลวย แต่อย่างไรฉันก็แต่งได้ไม่ดี นั่นเพราะคงไม่ถนัดจริงๆ นั่นแหละ

เช้านี้แม่ชีกล้วยตำหนิฉันชุดใหญ่ เพิ่มเป๊ปซี่ ในความผิดฐานลัดแถวอาหารเช้า ฉันยกคำพูดของแม่ชีกล้วยมาเล่าให้ฟังดังนี้

"อยู่วัดมาหลายปี สิ่งที่ควรเรียนรู้ไว้มากๆ คือ 'กฎ' และ 'ความรอบคอบ' สองสิ่งนี้จะทำให้หนูเป็นคนดี เป็นมนุษย์ มีวินัยและเคารพผู้อื่น การลัดแถวผู้อื่น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แม้กฎเกณฑ์ของวัดไม่ปรากฎอย่างชัดแจ้ง แต่เป็นเรื่องที่หนูควรเรียนรู้ได้ด้วยสำนึกที่ดี สำนึกที่ดีคือมีความตั้งใจทำสิ่งที่ดี เป็นการเคารพตัวเองและผู้อื่น หนูจะภาคภูมิใจในการกระทำดี และคนอื่นจะภาคภูมิใจในตัวหนู และสิ่งดีๆ จะติดตัวตลอดไป เพราะฉะนั้น คราวหน้าคราวหลัง จงอย่าลัดแถวอาหารของผู้เฒ่ารู้ไหม"แม่ชีกล้วยกล่าวด้วยสีหน้าเจือความสุข แม้ว่าท่านกำลังดุฉันก็ตาม

ฉันถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้มที่สุกมากๆ ไม่ใช่เพราะความกลัวแม่ชีกล้วย แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ เพียงแค่เกรงว่า บรรดาแม่เฒ่าแม่แก่จะแย่งผักที่ฉันเล็งไว้หมดน่ะซี่ เรื่องเห็นแก่กินผัก ฉันขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเช้านี้แท้ๆ ที่ฉันติดตามหลวงพ่อเดินบิณฑบาต จึงขาดคนช่วยจัดผัก หน้าที่สำคัญแท้ๆ

งานจัดผักเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ 'กฏ' และ 'ความรอบคอบ'อื่นๆ เพราะงานจัดผักเป็นต้องใช้หลักการนี้เหมือนกัน ฉันถือเป็นต้นตอหัวคิดนี้เชียว แต่ก็ไม่กล้าออกกฎระเบียบให้แม่ชีท่านอื่นใช้ นั่นเพราะขัดกับ 'กฎว่าด้วยความอาวุโส' ที่ฉันมีติดตัวน้อยนิดนั่นเอง จึงได้แต่สรรใช้กฎนี้แต่เพียงผู้เดียว

กฎที่ว่ามีดังนี้
ข้อแรก เช็ดถาดให้สะอาดด้วยความรอบคอบ
ข้อสอง เก็บผักจิ้มน้ำพริกในตอนเช้าเท่านั้น ไม่เก็บทิ้งไว้ข้ามคืน เพราะผักจะไม่สด เผลอๆ อาจพบสัตว์เล็ก-พาหะนำโรคที่ไม่ได้รับเชิญแทะเล็ม
ข้อสาม ถ้าแม่ชีผู้ใหญ่ลงมาจัดผัก ให้ท่านเลือกผักจัดก่อน ส่วนฉันจะจัดผักที่เหลือ
ข้อสี่ ล้างผักด้วยด่างทับทิมเพื่อความสะอาดและคงความกรอบไว้ เพราะฉันสังเกตเห็นว่า ผักที่ชาวบ้านนำมาถวาย ส่วนมากเกษตกรจะใช้ยาฆ่าแมลงอย่างเยอะ ดูจากร่องรอยผิวผักที่นวลเกินกว่าเหตุ
ข้อห้า จัดเรียงผักให้เป็นระเบียบสวยงาม ในเมื่อมนุษย์ยังต้องมีระเบียบ ผักก็ต้องการเช่นกัน เพราะมันคือการกระทำที่บ่งบอกว่าเป็นคนที่ประณีต มนุษย์ต่างจากพืชและสัตว์ตรงที่ มีจิตสำนึกที่ดีได้ต่อเมื่อใช้มัน แม้ว่าผลลัพทธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม
ข้อหก คลุมผักด้วยผ้าขาวบางสะอาดเพื่อกันแมลง

ขณะที่กินข้าวเช้าแบบรวมหมู่ พระสงฆ์นั่งบนอาสนะ เสื่อบนพื้นซีเมนต์ปูลาดเรียบร้อย แม่ชีและญาติโยมนั่งเรียงตามลำดับอาวุโส ฉันนึกเมนูอาหารมื้อเพลอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นผู้ใจบุญผู้เดินทางมาจากตัวจังหวัดนำปลากระป๋องมาถวายหลวงพ่อมากมาย หลวงพ่อปันไว้ให้ฉันกินยามที่นึกกินเนื้อสัตว์อีกครั้ง ฉันรับไว้เพราะถือว่า เป็นความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านห่วงใยเด็กสาวแว่นตาสีแดง***ผู้ผอมกะหร่องเหมือนเสาไฟฟ้าเดินได้คนนี้ จึงตอบแทนความปรารถนาดีด้วยการลุยครัว ตำน้ำพริกปลากระป๋องสูตรที่ชาวบ้านละแวกใกล้วัดสอนไว้ ยามที่พวกเขามาช่วยงานในครัววัด พร้อมกับจัดผักจานใหญ่ด้วยเจตนาที่ดีและมีความรอบคอบ เพื่อหลวงพ่อและหลวงพี่รูปอื่น

น้ำพริกปลากระป๋อง

ส่วนผสม
ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ 2 กระป๋อง
หอมแดงเผา 7 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
พริกสดสีแดงเผา 5 เม็ด
พริกชี้ฟ้าสีเหลืองเผา 10 เม็ด
ถั่วักยาวนึ่งหรือต้ม 6 ฝักสวยๆ
เม็ดมะเขือเหลือง 3 ช้อนโต๊ะ
มะนาวหน้าแล้ง 1 ลูกใหญ่
เกลือนิดหน่อย
พริกป่นใส่หรือไม่ใส่ก็ได้

วิธีทำ

1. ด้วยความเป็นอยู่อย่างง่ายของหลวงพ่อ ทำให้ฉันลงมือทำสูตรอาหารสูตรง่ายๆ ถวายสม่ำเสมอ แทนที่จะทำอะไรยากๆ ประดิดประดอยเป็นเวลานาน อย่างว่าของง่ายใช่จะไม่ประณีต ก็บอกแล้วไงว่า ทำอะไรก็ตามก็ต้องมี 'ความรอบคอบ' เป็นหลักการพื้นฐานเสมอ
2. ฉันขออนุญาตแม่ชีผู้ดูแลครัว ใช้ครก ใช้เตาและเครื่องปรุงบางส่วน ฉันหยิบใช้อย่างคล่องมือ หลังจากที่ท่านตอบรับ
3. นำถั่วฝักยาวไปนึ่งหรือลวกในน้ำเดือดปุดๆ ให้สุดเนื้อนิ่ม
4. ปิ้งหอมแดง กระเทียม พริกสดสีแดง พริกชี้ฟ้าสีเหลือง ให้เหลืองเกรียม ส่งกลิ่นหอมๆ ปิ้งด้วยความตั้งใจว่า ฉันจะปิ้งให้ดีที่สุด
5. ฝานเปลือกมะเขือเหลือง เลือกใช้เฉพาะเมล็ด ฝานสักสามลูก ใส่ถ้วยพักไว้กอ่น
6. เมื่อหอมแดงและพริกสุกได้ที่ ก็นำมาปอกเปลือก ไม่ต้องปอกให้เกลี้ยงเกลาก็ได้
7. ใส่เกลือลงไปสักหยิบมือ เพราะปลากระป๋องที่ชาวบ้านถวายปรุงรสออกรสอ่อนๆ แล้ว โขลกเกลือพร้อมด้วยกระเทียม พริกทั้งสองสีและหอมย่างอย่างหยาบๆ
8. จากนั้นใส่ปลากระป๋องลงครก ใช้ทั้งเนื้อปลาและน้ำซอสมะเขือเทศ บี้ให้พอแหลก โรยด้วยเม็ดมะเขือเหลือง เพื่อเนื้อสัมผัสและรสอร่อยจากเม็ดมะเขือ
9. ฝานถั่วฝักยาวนึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในน้ำพริก ถั่วฝักยาวที่ฉันปลูกไว้ในแปลงผัก ร่วมกับแม่ชีและคนสวนที่เจ้าอาวาสจ้างไว้ คราวหลังฉันจะพาคุณไปเยี่ยมชม
10. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว (สำหรับคนชอบรสจัด ฉันอนุญาตให้ใส่พริกป่นได้จ้ะ ไม่ห้าม)
11. ฉันแอบใส่เกลือเพิ่ม อาหารจะอร่อยก็เพราะรสมือนี่แหละ
12. อย่าลืมเก็บอุปกรณ์ล้างให้สะอาด เมื่อแห้งแล้วก็เก็บไว้ที่เดิม

การจัดจาน

เตรียมชามสังกะสีไว้ (ล้างไว้-ผึ่งลมไว้) เป็นอย่างดี เทน้ำพริกใส่ชาม งานนี้มีลูกสมุนสังกะสีรายอื่นคือ ถาดสังกะสีที่จัดเรียงถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อนๆ ใบอ่อมแซ่บล้างสะอาด มะเขือเปราะหรือเปราะหอมฝานขั้ว หรือจะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ก็ได้จ้ะ ไม่ว่ากัน แตงกวาปอเปลือกเฉือนพอคำ

ฉันเจียดน้ำพริกใส่ชามสังกะสีไว้สักน้อย โรยบนข้าว ตั้งใจกินแกล้มแตงกวา หลังจากนั้น ฉันจะได้มีแรงทำงานและเก็บพลังไว้ปฏิบัติภาวนาที่ถือเป็นหน้าที่หลักของชาววัด ฉันมีความตั้งใจว่า ฝึกอานาปานสติสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย ถ้ามีงานแรงงานก็อาจลดชั่วโมง ถ้าไม่มีงานออกแรงก็เพิ่มชั่วโมงภาวนา

พลบค่ำ ฉันนั่งหน้าสลอน อยู่หลังแถวแม่ชี ท่านเจ้าอาวาสก็เทศนาว่าด้วยเรื่องกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก คำสอนโดนใจฉันอย่างจัง จึงนำมาเล่าสู่กันฟังว่า

"การที่คนเรากินน้อย ใช้น้อย อยู่อย่างเรียบง่าย บ้านไม่มีวิทยุ อยู่ในที่ไกลจากเสียงรบกวน การอยู่ในสถานที่วิเวก ยิ่งเอื้อต่อสมาธิทางจิตมากขึ้น ถ้าถึงขั้นสุดท้าย อุปธิวิเวก ไม่มีกิเลสมาทำให้ขุ่นมัว โกรธหรือเร่าร้อน ก็เป็นความสุขที่เรียกว่า ความสุขที่เกิดจากการสงัดจากกิเลส

"รสชาติอร่อย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่พอใจ เรียกว่า กามคุณห้า มันมีโทษแฝงอยู่ มีคุณคือให้ความสุข กามคุณห้ามีโทษมากกว่าคุณ ใหม่ๆ ก็ดึงเราไปอยู่กับรสอร่อยของมัน โทษนั้นคือความไม่เที่ยง ของอร่อย ของดี มันก็ไม่อยู่กับเราได้นาน ดอกไม้ในที่สุดก็ร่วงโรยไป ก็พรากจากเรา เพราะมันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของเรา หรือแม้จะไม่มีคนเอาไป แต่อยู่ๆ บางทีเราก็เบื่อ อาหารที่อร่อย อยู่ไปกินไปทั้งเช้า-เย็นๆ ก็เบื่อ เพราะวัตถุนี่แหละที่ทำให้เราเบื่อง่าย แต่ความทุกข์จริง ไม่ได้อยู่ที่ตัววัตถุกาม อยู่ที่ตัวเรามากกว่า ใจที่เราเห็นว่า สิ่งนี้น่าพอใจ จึงเกิดเป็นอุปาทานขึ้นมา"

ฉันเห็นด้วยกับท่านเจ้าอาวาสเป็นอย่างยิ่งว่า อาหารอร่อยให้คุณไม่นาน ไม่เที่ยง ย่อยแล้วก็ถ่ายออก เหลือเพียงแต่ประสบการณ์ที่เก็บไว้ในแว่นตาของเรา ฉันล่ะทั้งรักและเจ็บใจแม่จริงๆ ที่สอนให้รู้จักอาหารอร่อยๆ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันทำให้ฉันฝืนแรงโน้มใจที่รับอิทธิพลมาจากอาหารถูกปากอย่างยากลำบาก และขอบคุณหลวงพ่อที่พร่ำสอนวิธีทำจิตให้ว่าง ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่คิดบวก ไม่คิดลบ ไม่อะไรกับอะไร

***เชื่อมโยงกับทฤษฎีแว่นตาสีแดงหรือโครงสร้างของจิตทำให้เรารับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบผัสสะของเราว่า เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ (space) และเวลา (time) ส่วนในความเป็นจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะอยู่ในพื้นที่และเวลาหรือไม่นั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลย นอกจากนี้โครงสร้างของจิตยังให้มโนทัศน์ต่างๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจประสบการณ์ของเรา เช่นมโนทัศน์เรื่องสาเหตุ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี

อารัมภบท

เรื่องสั้นขนาดยาว นิยายขนาดย่อยไม่ติดเรต อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สสส. ททท. นิตยสารอาหารหลายเล่ม พุทธทาสภิกขุ พุทธศาสนานิกายมหายาน หนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่องหนุ่มชาวนา นิมิตร ภูมิถาวร เป็นผู้เรียบเรียง และจริยศาสตร์ตามขนบของเอ็มมานูเอล ค้านท์ นอกจากนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจแต่งเรื่องโดยใช้กลวิธีกระแสสำนึก เล่าถึงจิตใจหญิงสาววัย 16 ปี ผู้มีพระสงฆ์วัดป่าเป็นบิดาและมารดาประกอบอาชีพนักเขียนอาหาร โลกสองขั้วระหว่างบริโภคนิยมและธรรมมิกสังคมนิยมบรรจบกันที่หญิงสาวผู้นี้

บทที่ 1 ฉันคือโลก

ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
ปลูกอื่นใดปลูกไมตรีดีกว่าพาล

คัดลอกจากอิศริญาณภาษิต

ฉันกำลังเลิกกินเนื้อสัตว์เพราะอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เพิ่มบาปติดตัวฉัน ลองจินตนาการว่า ตัวเราเป็นสัตว์ดูสิ เราอยากให้สุนัขขอแขนข้างหนึ่งของเราไปทำต้มยำไหม? ทั้งๆ ที่สุนัขก็กินอาหารที่เหลือจากมนุษย์ ก็ดูเวทนาเหลือพอ แล้วเท้าของเราล่ะ ถ้ามีกระบือตัวหนึ่งอยากกินต้มยำเท้าคน กระทั่งใช้ให้ลิงแสมถืออีโต้ฟันฉับมาที่เท้าเรา เลือดพุ่งกระฉูด เหมือนท่อประปาแตกที่ข้างถนน น้ำเสียไหลตลอดเวลา ภาพสยดสยองจะติดตาไม่จางหายจากความทรงจำ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดในระดับที่ไม่มีใครอื่นเจ็บแทนเราได้ เจ็บมากถึงมากที่สุด

ฉันถึงมีความคิดว่า จะเป็น "มังสวิรัติ" ที่ดี เพื่อที่จะไม่เพิ่มบาป และถือเป็นการสร้างบุญต่ออายุให้สัตว์ทั้งหลายที่ฉันจะกินในอนาคต (ถ้าฉันไม่ได้เป็นมังสวิรัติ)
น้ำเต้าหู้
ข้าวผัดถั่วนานาชนิด
ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี
ลำพังถ้าฉันเอ่ยชื่ออาหารจำพวกที่ว่ามาให้คนรักอาหารในเมืองผู้ลุ่มหลงหลงใหลบริโภครสเอร็ดฟัง คงเป็นรายการอาหารอันแสนจืดชืดสำหรับพวกเขา แต่สำหรับฉัน ฉันอยู่วัดตั้งแต่เล็กแต่น้อย เติบโตขึ้นมาพร้อบกับการเจริญทางชีวะของบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ในวัด อาหารที่ฉันกล่าวมาแล้ว ฉันถือว่าเป็นอาหารที่หรูหราเกินไป เกินกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ รอบบริเวณวัดจะได้กิน ชาวบ้านชาวอิสานตามท้องไร่ท้องนา แค่ข้าวเหนียวกับน้ำพริกปลาร้า พวกเขาก็อยู่กินกันตามประสาที่พวกเขามี ที่พวกเขาหาเลี้ยงชีพได้ พวกเขาไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์อาหาร ว่าจะสวยงาม เป็นอาหารสายตาได้หรือเปล่า พวกเขาไม่ได้สนใจอาหารเพราะรสชาติว่าจะกลมกล่อม มีรสอุมามิ ครบรส พวกเราอยู่ด้วยกันเพราะมีพระธรรมนำทาง "กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง" อย่างที่ท่านพุทธทาส ปรมาจารย์ทางด้านปฏิบัติกรรมฐาน ผู้นำความคิด 'ธรรมมิกสังคมนิยม' กล่าวไว้

แต่ฉันก็คือฉัน ฉันคือคนที่ลุ่มหลงอาหารรสอร่อยผู้บังเอิญเติบโตในวัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน บ้านของฉันอยู่ในวัด เป็นบ้านที่หลวงพ่อสร้างให้ก่อนที่ท่านจะละชีวิตทางโลก มุ่งสู่โลกแห่งอารยะ เข้าสู่เพศบรรพชิตชั่วชีวิตดั่งที่ท่านตั้งปณิธานไว้ แม่ของฉันอยู่ที่กรุงเทพฯ ภาคภูมิใจกับการเป็นซิงเกิ้ล มัม และผู้หญิงทำงาน แม่ไม่ใคร่ใส่ใจฉันเท่าที่ควร ฉันจึงไม่ผูกพันกับแม่เท่าไหร่นัก

ตอนเล็กๆ ฉันพักพิงที่วัดสม่ำเสมอ ในช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุด ได้อยู่กับแม่ชีหลายคน โดยเฉพาะแม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ ฉันรักแม่ชีทั้งสองคนมากกว่าแม่แท้ๆ ของฉัน ฉันมักร้องไห้กระจองอแงไม่ยอมกลับบ้านทุกครั้งที่โรงเรียนใกล้จะเปิด

ตั้งแต่อายุแปดขวบแม่ชีทั้งสองคนพร่ำสอนทั้งเรื่องจริยธรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงวิชางานครัว จนบัดนี้ฉันเลิกเรียนหนังสือแล้วหันมาอยู่วัด เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อและองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นานๆ ครั้ง ถึงกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้ฉันกลับไปกินอาหารเพื่อรสลิ้นแบบเดียวกับที่แม่ของฉันนิยม แม่ของฉันเป็นนักวิจารณ์อาหารผู้มีมานะในการรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารบนโลกกลมๆ ที่แสนจะบิดเบี้ยวใบนี้ ผู้คนแย่งชิงกินโลกราวกับว่าโลกนี้คือมะม่วงสุกอันหอมหวาน พร้อมให้คนทั้งโลกวัตถุกัดกินอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเนื้อมะม่วงมันมีหมดมีสิ้น เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วฉันก็คิดถึงบทกลอนที่ครูภาษาไทยสอนไว้ ก่อนลงครัว

อันความเมตตาปรารถนาดี
ดุจดั่งมีน้ำทิพย์ชะโลมหล้า
สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างพึงหา
เวทนาชีวิตที่ทุกข์ทน

ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี

ฉันจำสูตรบางส่วนมาจากแม่ชีนิดที่ดำเนินชีวิตตามรอยมังสวิเรี่ยนที่ดีเป็นเวลาสิบปี ฉันจึงทำเลียนแบบแม่ชีนิดได้ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะแม่ชีนิดรับประทานอาหารรสจืดมาก ส่วนฉันถนัดทางรสเค็มนิดหน่อยเพื่อการประหยัดกับข้าว เน้นกินข้าวเยอะๆ แต่ข้าวต้องเป็นข้าวกล้องหุงสุกใหม่ เมล็ดเรียวยาวหอมนุ่มเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ส่วนผสม

เต้าหู้ขาวยี่ห้อใดก็ได้ แต่ฉันชอบใช้ตราเกษตร 1 หลอด
แครอตหั่นลูกเต๋า 1 อุ้งมือ
กะหล่ำปลีดาว 1 ถ้วยตวง
เห็ดหูหนู 10 ดอกเล็ก
น้ำฝนจากธรรมชาติ 1 ลิตร
เกลือนิดหน่อย
พริกไทยนิดหน่อย
ซีอิ๊วขาวนิดหน่อย
หอมเจียวนิดหน่อย

ฉันตั้งหม้อขนาดย่อมบนเตาอั้งโล่ซึ่งมีอยู่ 4 ตัว ในครัววัด เตาถ่านถูกวางไว้บนชั้นซีเมนต์ เชื่อมติดกับกำแพงเหนือพื้นขึ้นไปสองไม้บรรทัด รินน้ำฝนที่รองไว้ในช่วงหน้าฝนลงในหม้อ ที่วัด น้ำถูกกักเก็บในแท๊งก์น้ำเพื่อใช้สอยตลอดปี ดูไฟบนรังผึ้งว่าลุกลามกระทั่งตัวถ่านเป็นสีแดงหรือยัง ถ้ายัง ก็อย่าเพิ่งตั้งหม้อ เพราะก้นหม้อจะดำ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำกับข้าว เหมือนกับก้นหม้อดำทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่ทำให้คู่รักหลายคู่เลิกรา ทั้งๆ ที่ตอนรักกันก็รักกันปานจะกลืนกิน

น้ำเดือดแล้วก็ใจเย็นไว้ ฉันโยนแครอตหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก้อนใหญ่หลายก้อนเชียว ลงไปในหม้อ ด้วยอารมณ์ไม่ประสาโลก เพราะกำลังตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ฝึกอานาปานสติพร้อมๆ กับ ทำกับข้าว ชั่วครู่ฉันก็โยนกะหล่ำปลีดาวลงไปอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสตินั้นไม่เพ่งและไม่เผลอ ฉันคือกะหล่ำปลีเหล่านั้น ฉันหันไปปิ้งปลาให้แม่ชีท่านอื่นสักพัก ส่วนประกอบทั้งสองสุกและยังไม่เละ เติมเห็ดหูหนูและเต้าหู้ขาวที่หั่นเป็นชิ้นพอคำลงไปด้วย ท้ายที่สุดปรุงรสด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว เคล็ดลับคือ ใส่เครื่องปรุงแล้วรอน้ำเดือดชั่วอึดใจก็ยกลงจากเตาอั้งโล่ เพื่อไม่ให้น้ำซุปขุ่น ขั้นตอนสุดท้ายคือโรยหอมเจียวลงบนต้มจึดจะหอมมาก

ฉันเสิร์ฟเมนูนี้ในชามอ่างสังกะสีคล้ายๆ กะละมัง เพื่อถวายหลวงพ่อมื้อเพล หลวงพ่อชอบอาหารของฉันหรือเปล่า ฉันไม่มีทางรู้ เพราะท่านไม่เคยบอก แม้ว่าท่านจะฉันน้ำเต้าหู้และต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลีเสียเกลี้ยงชาม ทว่าฉันไม่อาจทึกทักได้ว่า ท่านชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะฉันจะลงมือทำอะไร ท่านก็ชอบทั้งนั้น ฉันเก็บจานชามและปิ่นโต พลางนึกเสียดายถ่านที่ทิ้งไว้ในครัว น่าจะปิ้งกล้วยไว้กินยามหิว ฉันคิดขณะมีสติ

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

ซีรีส์ปริศนาลับเจ้าชาย Ukhow

ตัวละคร
เท็ดดี้—หนุ่มนักเรียนนอก ลูกครึ่งไทย-อมริกัน-จีน ทายาทเศรษฐีธุรกิจน้ำมันในเมืองจีน ผู้เรียนเก่งที่สุดในภาควิชาปรัชญาและวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน นอกจากนี้ยังหน้าตาดี ขาว-หล่อ-ตี๋ แถมยังเป็นเพลย์บอยที่เดตกับสาวๆ คนดังทั่วรัฐนิวยอร์ก พักการเรียนหนึ่งปีเพื่อเดินทางมาเมืองไทย ลงทุนทำธุรกิจการเกษตรกับเพื่อนสมัยไฮสคูล พร้อมทั้งเป็นนายแบบให้นิตยสารชื่อดัง จนจิลล์คิดว่าเขาเป็นพวกสมองกลวง แต่ที่จริงแล้ว เขาคือUknow ชายในฝันที่จิลล์ฝันหา

จิลล์—สาวโบฮีเมียนที่เฉิ่ม เชย หน้าตาพื้นๆ ฐานะทางบ้านจนสุดๆ แถมยังกู้เงินจากรัฐบาลเรียนวิชาปรัชญาและวรรณคดีในมหาวิทยาลัยรัฐบาลไทย แทนที่จะเรียนวิชาบริหารธุรกิจเพื่อสร้างความร่ำรวยแก่เธอ จิลล์ทำงานที่ร้านขายขนมเค้กใต้ตึกที่เท็ดดี้ทำงาน พร้อมๆ กับเรียนไปด้วย เธอปฏิญาณว่าจะไม่รักใครจนกว่าจะพบคนที่หล่อ ฉลาด นิสัยเอื้ออารี และที่สำคัญต้องรักเธออย่างที่เธอเป็น ถ้าเธอไม่พบคนนั้น เธอจะตัดสินใจบวชตลอดชีวิต

คริสตี้—เจ้าของร้านขนมเค้กวัย 18 ปี นักเรียนไฮสคูลโรงเรียนอินเตอร์ชั้นปีสุดท้าย กำลังเปิดธุรกิจความงามจากเกาหลี และส่งคนไปศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลี อยากเป็นแฟนเท็ดดี้ตั้งแต่ที่ยังไม่รู้ว่าเท็ดดี้รวย จึงกลั่นแกล้งจิลล์ต่างๆ นานา เพื่อที่จะไม่ให้เท็ดดี้จีบจิลล์สำเร็จ

อาจารย์กุ๊กกู๋—อาจารย์ที่ปรึกษาของจิลล์และเป็นรุ่นพี่ของเท็ดดี้ที่พรินซ์ตัน เป็นคนเชื่อมโยงหัวใจให้จิลล์กับเท็ดดี้รักกันอย่างลับๆ
อเคมิส—เพื่อนสนิทจิลล์ที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายที่พาจิลล์เข้าวัดยามที่จิลล์มีปัญหา เป็นเพื่อนแท้ของจิลล์

ธุลี—เพื่อนสมัยไฮสคูลของเท็ดดี้ ดำ ร่างใหญ่และไม่หล่อ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคริสตี้ แต่สุดท้ายก็รักกัน เขาเลิกเรียนหนังสือหลังจากจบไฮสคูลจากอเมริกา กลับบ้านมาช่วยพ่อแม่ทำฟาร์มวัวฟาร์มควายที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมๆ กับพัฒนาพืชผลทางการเกษตรไทยร่วมกับเท็ดดี้เพื่อส่งออกทั่วโลก

เรื่องย่อ

ระหว่างที่เท็ดดี้เดินทางมามหาวิทยาลัยที่จิลล์เรียน เพื่อมาหาอาจารย์กุ๊กกู๋ เขาเผลอขับรถชนจิลล์ที่ลานจอดรถ ทำให้เสื้อผ้าสไตล์โบฮีเมียนที่เก่าแสนเก่าขาดจนเห็นร่องอก ทำให้เธออับอายและร้องแรกแหกกระเชอให้เท็ดดี้รับผิดชอบโดยการจ่ายเงินค่าสินไหมให้ แต่เท็ดดี้กลับไม่สนใจ โยนเสื้อมียี่ห้อที่เก็บไว้ในรถให้เธอใส่แทน แล้วก็เดินจากไป สร้างความคับแค้นใจให้กับจิลล์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งเธอไปที่ศาลหลวงปู่เง็งตี๊ง เพื่อขอพรให้เจอเท็ดดี้อีกครั้ง เพื่อจะได้แก้แค้น ที่นั่น จิลล์ก็ได้พบกับคริสตี้ที่มาไหว้พระขอพรขอให้กิจการร้านขนมเค้กเจริญรุ่งเรือง และมาขอฤกษ์ดีเปิดกิจการความงามกับหลวงพ่อ คริสตี้เห็นจิลล์ร้องไห้ฟูมฟาย ดูจนๆ อย่างกับคนจรหมอนหมิ่น จึงหยิบยื่นน้ำใจให้เศษเงินสองร้อยบาท แต่จิลล์กลับไม่รับ บอกว่าตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่รับเงินจากเด็กมัธยมฯ แม้จะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรี ทำให้คริสตี้เห็นคุณค่าในตัวจิลล์ อยากให้มาดูแลร้านเค้กที่อีกหน่อยหล่อนจะไม่ค่อยได้ดูแล เพราะกำลังจะเปิดธุรกิจใหม่ คริสตี้เสนองานให้จิลล์ จิลล์ขอบคุณและรับไว้อย่างซึ้งใจ ที่ร้านของคริสตี้ จิลล์ได้รู้จักกับธุลีที่มาเป็นลูกค้าประจำ พร้อมกับเท็ดดี้ที่มาพร้อมกันสม่ำเสมอ จิลล์จึงนึกถึงคำอธิษฐาน และพยายามแก้แค้นเท็ดดี้คืน ด้วยการชงกาแฟไม่อร่อยและเสิร์ฟเค้กที่ชิ้นเล็กกว่าปรกติให้ทุกๆ วัน จนกว่าจะหายแค้นใจ แต่แล้วกลับเกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานาและทุกครั้งจิลล์คือผู้ผิด คริสตี้ก็จะคอยกลั่นแกล้ง และทุกครั้งเช่นกันที่จะมีมือที่มองไม่เห็นจากคนที่ชื่อ Uknow คอยช่วยเหลือ จิลล์จึงกลับไปไหว้ศาลหลวงปู่เง็งตึ๊งอีกครั้ง เพื่อขอพรให้พบกับUknow จิลล์เสี่ยงเซียมซี คำทำนายบนเซียมซีบอกเล่าอนาคตไว้อย่างแม่นยำและเป็นปริศนา แล้วทุกๆ อย่างในคำทำนายต้องใช้ความรักคลายปมปริศนา

บทนำ

“I know you are not busy, let’s take a break. How long we have ever met. Four year!!!”
ให้เสียงซับไตเติ้ลไทยได้ว่า ผมรู้ว่าคุณไม่ยุ่งหรอก พักสักครู่เถอะ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ตั้งสี่ปีแน่ะ!!!
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงไทยตอบกลับมาว่า “มาที่ร้านกาแฟใต้คณะฉัน มีมุมม้าหินอ่อนน่านั่งเล่นรอคุณอยู่” แล้วสายก็ตัดไป
เอี๊ยด!!! ปึ๊ก!!!
เหมือนมีก้อนกลมๆ อะไรสักอย่างโดนไฟหน้ารถ เท็ดดี้ลงจากรถดูเหตุการณ์
“โฮ่ะ! นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นพวกคนรวยๆ ตัวขาวๆ ขับรถไม่ระมัดระวังคนเดินเท้า เนื้อคนนะคู้ณ ไม่ใช่เหล็กจะได้มีกันชนไว้กันพวกคนไม่ระมัดระวังขับรถชุ่ยๆ ชนได้เล่นๆ ถือว่าอ็อปชั่นเยอะ แล้วจะคิดว่าตัวดีกว่าทุกคนหรือไง ฉันมีสิทธิบนถนนเหมือนกัน ไม่ใช่ถือว่ามีรถแล้วจะไม่รอบคอบ ขับรถไป คุยโทรศัพท์ไป ใจลอยล่ะสิ ถ้าโลกนี้มีแต่พวกไม่รับผิดชอบอย่างคุณ จะมีกฎเกณฑ์ กฎหมายไว้ทำม๊าย” จิลล์นั่งจ้ำเบ้าบ่นอีกฝ่ายกลางพื้นถนนลานจอดรถ
เท็ดดี้หรี่ตาที่ตี่อยู่แล้ว มองที่กลางอกของอีกฝ่าย
‘อีตานี่บ้าแน่ๆ ฉันด่าเป็นชุดแล้วยังมองอยู่ได้ ไม่บ้าก็ซื่อบื้อ เอ้า!!! เชื่อแกงไก่ร้านอาหารปักษ์ใต้ใต้คณะกินได้เลย แต่ตอนนี้ฉันแอ๊บเจ็บอยู่ แอบเอาขาถูกับพื้นให้ถลอกๆ ดีกว่า’
“โอ๊ย เจ็บขาจัง” จิลล์บ่นพร้อมทำหน้าตาเจ็บกว่าเจ็บจริงยี่สิบเท่า
‘เจ็บก็แล้ว ทำตาขุ่นขนาดนี้ก็แล้ว (ให้จินตนาการถึงสายตาที่แม่ดุคุณเวลาสอบตก) เขายังทอดสายตากระลิ้มกระเหลี่ยอยู่ได้ หน้าตาฉันก็เหมือนคนขายตั๋วหนังที่หาได้ถมเถตามโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ กระโปรงก็ยาวเชยสะบัด ไม่เห็นขาขาวๆ ของฉันหรอกจะ มองอะไรย๊ะ’
เท็ดดี้เพิ่งนึกได้ว่าต้องอาย จึงหันหน้ามองไปทางอื่น เขาเดินกลับไปที่รถแวนสีบลอนด์ หยิบเสื้อยืดผ้าเนื้อดีจากท้ายรถให้จิลล์ แล้วเดินจากไป
“โว้ย! หยุดก่อน นายน่ะ จะไม่รับผิดชอบฉันใช่ไหม” จิลล์ตะโกนและกำลังจะวิ่งตามไปแต่ก็พบว่า ในมือมีเสื้อของเขาอยู่ เขาจะให้มาทำไมนะ ในเมื่อก็ใส่เสื้อที่แม่ซื้อให้เมื่อสิบปีที่แล้วอยู่นี่นา
“เธอ ทำไมไม่ใส่เสื้อซะล่ะ นี่มันในมหาวิทยาลัยนะ” ใครไม่รู้ที่กำลังเดินผ่านสะกิดบอกจิลล์
‘ฉันพบว่าเสื้อติดกระดุมหน้าของฉัน เม็ดกระดุมร่วงระนาว เห็นร่องอกขาวๆ และนมใหญ่เบิ้มที่ฉันต้องใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ อำพรางไว้เสมอ เพราะความเชื่อที่แม่ฉันปลูกฝังว่า คนนมใหญ่จะไม่ฉลาด คนนมเล็กสิ ถึงมีมันสมองเหมือนผู้ชาย ฉันไม่อยากเหมือนผู้ชาย และก็ไม่อยากโง่ด้วย ก็เลยใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ไว้จะได้ไม่มีใครรู้ไซส์รอบอก 36 คับซีของฉัน แต่แล้วกลับเป็นไอ้หนุ่มหน้าแมวที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นอกขาวๆ ที่ใหญ่เกินพิกัดจนได้ แงๆๆๆๆ’
พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วย!!!!

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้นแอ็บเสิร์ด

เรื่องสั้นแอ็บเสิร์ด
“เรือด”

มันเป็นชีวิตของสามีภรรยาสามัญคู่หนึ่ง และมันจะดำเนินเช่นนั้นตามกระแสธารชีวิตเปี่ยมสีสันเรื่อยๆ หากว่าใครสักคนไม่เขียน และใครอีกคนลืมลอบอ่านสมุดบันทึก “เรือด” ที่ชอนไชไปทั่วอณูเนื้อเตียง
...


สำหรับผมการแต่งงาน เหมือนบทพิสูจน์อะไรบางอย่างให้กับชีวิตอย่างสามัญเพิ่มเกร็ดรอย เป็นการทดลองที่ไม่มีข้อแม้สมมติฐาน เพียงแต่หวังว่ามันจะดีขึ้น เติมเต็มชีวิตให้ดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจเขียนบันทึกชิ้นนี้เพื่อย้อนรำลึกความสัมพันธ์ที่ฝังแน่นจนผมคิดว่าชีวิตนี้คงตัดไม่ขาดใย โดยไม่รู้มาก่อนว่า...
ผมค่อยๆ พลิกนิ้วที่ขอบบนกระดาษ อ่านข้ามบทตอนที่ไม่สลักสำคัญ เลือกอ่านเฉพาะบทอันว่า...

คำถามเชยๆ รักคืออะไร? รักของผมและพิมพิศเป็นแบบไหน... ผมว่ามันคละเคล้า ผมรักพิมพิศด้วยเสน่หา พรั่งพร้อมที่จะสานสัมพันธ์ทางเรือนกายด้วยอารมณ์เร่าร้อน รักที่พร้อมแสดงออกด้วยความใคร่ผ่านสายตา สัมผัส และบอกกล่าวความรู้สึก คุณจำได้ไหมเราพัฒนาความสัมพันธ์รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มเพียงใด ผมจะบอกคุณให้ มันแค่ไม่ทันข้ามคืนที่เราแปรความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานมาเป็นคู่รัก แล้วมันก็แค่ไม่กี่วันที่เรามีอะไรกันแล้วคุณก็ขนข้าวขนขนของย้ายมาอยู่กับผม เพียงชั่วแล่น แล้วเราตัดสินใจจดทะเบียนสมรส อยู่กินฉันท์สามีภรรยา ผมไม่เชื่อว่าคุณไม่ใคร่หาร่างกายที่คุ้นเคยและหลงเสน่ห์มันตั้งแต่ครั้งแรก คุณแสดงออกอย่างไม่มีขีดจำกัดเมื่อคุณต้องการมัน

ภายนอกเราเหมือนไร้ซึ่งความหึงหวง ผมทำงานที่หนึ่ง คุณทำงานของคุณ เรารู้จักคนมากมายที่ทั้งชื่นชมและเกลียดชังคุณรู้ไหมผมอดรนทนรอมีอะไรกับคุณไม่ไหวทุกครั้งที่ผมเห็นชายคนใดจับจ้องด้วยสายตาห่ามดิบกลืนกินร่างกายที่ผมคุ้นเคย แม้ผมเคยมองร่างคุณเปลือยมาหลายร้อยหลายพันครั้ง...คุณก็เช่นกัน ทำไมผมจะไม่รู้ไม่เห็นว่าคุณหยิบเสื้อผ้าของผมในตะกร้ามาดอมดมกลิ่นพิสูจน์ความซื่อสัตย์ คืนไหนที่ผมกลับดึกดื่น วันไหนที่มีกลิ่นน้ำหอมแปลกกลิ่น กลิ่นสบู่ที่ติดเสื้อไม่ใช่กลิ่นที่ใช้ประจำ จมูกเล็กๆ ของคุณทำหน้าที่สืบราชการลับในช่วงที่ผมยังไม่ตื่นนอนได้ไม่บกพร่อง ใครหรือคุณจะรู้ว่า ผมแอบหรี่ตาน้อยๆ ลอบสังเกตอยู่ แม้เราจะตั้งกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกพันมากมายเพื่อรักษาอิสรภาพและความรักของเราไว้ หากภาคปฏิบัติ เราทำมันอย่างเคร่งครัดได้เพียงบางข้อเท่านั้น เราทะเลาะกันเสียงดังถึงขีดสุดเพื่อล้วงลึกความนัยใจของอีกฝ่าย ไม่มีใครยอมรับผิด มีแต่เงียบจาง แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่องคุย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าวันสองวันก่อน...เกิดอะไรขึ้นบ้าง
...

ตู้เหล็กดูใหญ่ขึ้นๆ เมื่อผมเข้าใกล้ สภาพไร้ความสงบคำรามเป็นท่วงทำนองเพลงฟังก์กี้ ทันทีที่ผมออกมายืนจังก้านอกรถยนต์บุโรทั่ง เผลอจำรถศัตรูได้แม่นยำ คัตเตอร์ใบมีดเหล็กกรีดกรานทั่วถ้วนอวัยวะม้าเหล็กที่ชิงชัง ขว้างมีดและถุงมือยางลงในหนองน้ำกลางท้องนาโพ้นบ้านเพื่อทำลายรอยนิ้วมือเป็นหลักฐาน ไม่ช้าไม่นาน มือที่กำแน่นด้วยความแค้นเคืองคลายหมัดออกข้างหนึ่งเพื่อเดินไปเปิดเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดาล
“โธ่โว้ย!” เหล็กแหลมที่วางไว้ไม่รอบคอบเกี่ยวขากางเกงเข้า และนั่น นั่นมัน...
ชุดแฟนซีสุดจะคาดเดาได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหนและใครเป็นใครยั้วเยี้ยจนผมแทบสำรอก จากลาดเลาทั้งหมดจำได้แค่เพื่อนสนิทของพิมพิศผู้อยู่ในคราบนางแมวยวนสวาท ทว่าใช้กางเกงในซูเปอร์แมนสีแดงรัดรึงคลุมเป้า เมื่อเข้าใกล้ก๊วนแก๊งค์คนไร้สติมากขึ้น มือที่กำเอาไว้ก็พุ่งตรงเล็งที่แก้มซ้ายของมนุษย์กล้วยหอม คิมคชิตหงายท้องล้มผึ่ง ผมไม่ประหวั่นกระทืบซ้ำ คนที่เหลือรี่เข้ามารวบแล้วล็อกตัวผมไว้ให้อยู่นิ่ง สร้อยคอมุกของกระเทยสโนว์ไวท์รัดคอแน่น มัดลมหายใจให้ติดๆ ขัดๆ ตรงลำคอ ผมสะบัดแขนสะบัดขาอยู่นาน กว่าฤทธิ์บ้าเลือดเหือดสลาย คิมคชิตพยุงตัวลุกขึ้น ใบหน้าขาวๆ เปื้อนเลือด แสดงอาการคับแค้น นัยน์ตาเหลือกแทบถลน หาทางต่อยคืนหมัด หากว่าชาลี แชปลินร่างเล็กใช้ทั้งตัวและไม้เท้ากันท่าไว้ทัน
“พิมพิศกลับบ้าน” ผมตวาด ผมตะคอกตะโกนใส่ผู้อื่นในเวลาแสดงความเป็นเจ้าของและปรามความชั่วร้ายของฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นภัยแก่ตัว
“คุณผิดนะธรณ์ คุณเข้ามาทำลายปาร์ตี้” หล่อนกล้ามากที่ว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่า ผมไปเพราะทั้งรักทั้งหวง
ผมถลนตาขึง กำราบนิสัยช่างแย้งช่างเถียงที่ผมเกลียดทว่าไม่วายพบ
ในขณะนั้น ดูเหมือนม็อบแฟนซีจะเคลื่อนที่ออกไปชุมนุมที่หน้าบ้าน คิมคชิตลังเลเก้กังจะไม่ยอมตามขบวนงานแตกไปท่าเดียว “เราต้องคุยกันก่อน ขอเวลาหน่อยคิม” พิมพิศสบตาวิงวอนมนุษย์กล้วยหอมราดของเหลวสีแดงคล้ายแยมสตรอว์เบอร์รี่ตรงมุมปาก เขาถึงยอมขยับตัวเดิน
ผมฟังแล้วราวกับตนเองเป็นคนนอก ทั้งๆ ที่เป็นผัว
คิมคชิตเดินถัดไม่ไกลนัก ปากที่ปิดเอาไว้อึ้งทั้งๆ ที่ทนดูเรื่องราวที่สลับขั้วความถูกความผิด โลกที่บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ชวนให้พูดออกไปว่า “ไหนว่าไปนอนบ้าน”
ผมยืนแยกขาพอดี มือกอดอกเพื่อตั้งหลักมั่นเริ่มถกกระทู้คำโกหกคำโต
พิมพิศก้าวร้าวไม่แพ้ เชิดหน้า จมูกที่รั้นอยู่แล้วก็ยิ่งรั้น สีหน้าแววตาไร้ซึ่งความดูดำดูดีเหมือนทุกครั้งที่เราทะเลาะถึงพริกถึงขิง จึงว่า “ถ้าฉันบอกว่ามาปาร์ตี้บ้านคิม คุณจะยอมให้ฉันมาหรือเปล่าล่ะ แล้วถึงคุณยอม คุณจะรู้สึกดีไหม คุณทำฉันขายหน้าเพื่อนฝูง และคุณก็ทำร้ายคิม เขาไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย...” พิมพิศอ้าปากค้างคำพูดพรั่งพรูหลุดหล่น
ผมหน้าแดงโกรธจัด ทนคำลวงกัดกินสติไว้ไม่ไหว “แน่ใจนะพิมพิศว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วที่ตรวจครรภ์ในถังขยะนั่นล่ะ หรือจะบอกว่ามันเป็นลูกผม คุณก็รู้ว่าหลายเดือนมานี้ความสัมพันธ์เราคับตึงถึงขีดสุด ผมป้องกันทุกครั้งรวมทั้งคุณ มันมีเหตุเดียวที่พลาดก็ตอนคุณเมาไร้สติเหมือนตอนนี้” แล้วผมก็สงบสติอารมณ์ อันเป็นสิ่งที่ผู้ชายพึงทำเมื่อทะเลาะกับผู้หญิง มองไปที่ชาลี แชปลิน แต่งหน้าทำผมเป็นเซเลอร์ มูน พิมพิศหน้าเปลี่ยนสี ปากบุบบี้ ผิวหน้านิ่มสั่นไหวราวเจลลีกระพือเพรื่อม ผมจูงข้อแขนหล่อน ว่าตามจริง...กึ่งจูงกึ่งลาก ผลักบานประตูออก สัตว์ประหลาดหน้าประตูวี๊ดว๊ายล้มพับระเนนเทนเท่
“พิม คุณไม่ต้องไปกับเขาหรอก” เสียงคิมคชิตยื้อน่าหมั่นไส้ ความเหลือกลั้นเร่งให้ผมซัดหน้าคิมคชิตเข้าอีกครั้ง คราวนี้อ้าวงแขนส่งแรงสุดกำลัง “ไอ้สัตว์ ! ไอ้ชั่ว!” ผมสำทับอารมณ์สัตว์ป่าลงในกำปั้นเต็มกำลัง พิมพิศเข้าโอบรัดตัวผมไว้ถนัด เสียงเล็กๆ ขอร้องต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าให้โปรดอย่าได้มีเหตุร้ายแรงอันใดเกิดขึ้น ผมพยายามแกะมือออก แล้วยัดพิมพิศเข้าในรถ ขับห้อตะบึงออกไปอย่างที่ไม่เคยคิดกล้าทำ
เราหอบเหนื่อยจากการถูลูกถูกังทะเลาะตบตีกลางลานจอดรถ พิมพิศตั้งท่าจะกระโดดตึก ผมวิ่งรวบตัวไว้ทัน เวลาเธอหลุดบ้าขึ้นมาก็มีเหมือนลมบ้าหมูเข้าสิง ชักดิ้นชักงอตามอารมณ์สั่งดีๆ นี่เอง จำเลยฤทธิ์เยอะ ลูกตบลูกข่วน ฮึบ! กระโดดกัดไหล่ กระบวนท่าทำร้ายร่างกายสารพัดประเดประดังถาโถมเข้าใส่โจทก์ ผมควบคุมสถานการณ์ด้วยการเรียกรักษาความปลอดภัยของลานจอดรถผู้เฝ้าระวังเหตุการณ์ตลอดมา ให้เขาเคลียร์ทางที่มุ่งขึ้นห้องพัก เปิด-ปิดประตู พาขึ้นลิฟต์จนกระทั่งช่วยกันอุ้มเธอมาเย้ยหน้าห้อง จำไม่ได้แล้วว่าทิปเขาเท่าไหร่
เวลา 02.00 น. เมื่อวันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เรื่องจึงมีอยู่ว่า
พิมพิศกรี๊ดดังลั่น ไม่ได้เกรงอกเกรงใจผู้ร่วมตึกอาศัย
“ฉันไม่ได้ท้อง คุณเอาอะไรมาพูด” พิมพิศผลักไหล่ผมแรงพอให้ร่างโซซัดโซเซชนขอบโซฟา
“คุณทำลายหลักฐานไม่เนียน ท้องกี่เดือนแล้ว จะทำอย่างไรต่อ หรือว่า?” ผมพยุงตัวให้ตั้งหลักได้ แล้วเข้ามาจับไหล่เธอเขย่าให้รู้สึกตัวบ้าง
“ฉันจะเก็บเด็กไว้ ฉันมีปัญญาส่งเสีย คุณจะเลิกกับฉันก็ได้ เด็กนั่นไม่ใช่ลูกของคุณเหมือนอย่างที่คุณบอก” เธอบอกด้วยหน้าตาและโทนเสียงไม่ใยดี
“คุณเลิกกับผมง่ายๆ ทั้งที่คุณเป็นคนผิด คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณนั่นแหละเจ้ากี้เจ้าการทุกสิ่ง สั่งห้ามนอกใจ ให้คบคุณคนเดียว แต่คุณก็ทำมันทั้งหมดอย่างไม่ละอาย เห็นผมเป็นตัวตลกให้คุณขัน หรือว่าสัตว์เลี้ยงที่จะให้ทำอะไรตามใจนายอย่างสัตว์โลกที่คิดเองไม่ได้ คุณมีอะไรจะสารภาพผิดกับผมไหม?” ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สีแดงฉานเจือสีเนื้อกรำแดด ดูกล้ำกลืน
“มี” พิมพิศพยักหน้า แววตาขึงเข้มอย่างคนเอาจริงเอาจังกับชีวิต “ฉันอ่านในสมุดปกดำ แกนอกใจฉันก่อน พูดอย่างกับคนไม่เคยล้ำเส้น ดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะอ้วก ใจคุณก็เหมือนหมาจรจัดเที่ยวหาบ้านสิง ฉันก็อดทนกับคุณเหมือนกัน คุณด่าฉันสารพัดสารเพในสมุดนั่น เห็นฉันเป็นแม่กระรอกน้อยทำตัวน่ารักไปวันๆ หรือไง ใช่! ฉันมันงูพิษ” เธอว่า
ฝ่ายผมก็ได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ
ผมพยักหน้าแบบคนที่เข้าใจโลก แล้วกล่าวว่า “ผมรู้และอดทนกับวิชามารงูพิษขั้นสูงมาเยอะ แต่คราวนี้คุณเอาจริงกับคิม มากเกินไป มากกว่าผมประพฤติด้วยซ้ำ ผมไม่เคยคิดจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้น ผมรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่ตามมาอย่างไร แล้วคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไร คุณทำในสิ่งที่สักวันคุณจะไม่ให้อภัยตัวเอง คุณจะสำนึกผิดในสิ่งที่ทำกับผม เข้าหน้าผมไม่ติด เพราะถ้าเทียบความลวงโลกแล้ว คุณมีมากกว่าผมเยอะ” ผมท้าทายไว้เผื่ออีกหลายๆ วันในอนาคต
“ฉันทำอะไร?” ยิ่งพิมพิศลอยหน้าลอยตาถามหน้าซื่อๆ มันทำให้ความพิโรธบังคับบัญชาสถานการณ์ทุกสิ่ง ผมเดินเข้าไปหยิบซองสีน้ำตาลในห้องนอน ยื่นให้เธอง่ายๆ พิมพิศไม่รีรอตรวจสอบหลักฐาน ใช้เวลานานนับ แล้วบันดาลสีหน้าโกรธแค้น ใบหน้าที่พยายามเก็บความรู้สึกทว่ามันปิดไม่สนิท น้ำในตาไหลถั่งโถม ริมฝีปากสั่นระริก กรี๊ดลั่นเสียงดังลั่นห้องอีกครั้ง ผมใช้มือปิดปากเธอไว้ พิมพิศฉีกภาพทุกภาพ ทำลายเทปหลักฐาน ทึ้งข้าวของกระจุย
ผมว่า “ผมยังมีอีกหลายชุด”
มือที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกอดอกก็คลายทิ้ง ผมกระหยิ่มยิ้มอย่างคนมีชัยชนะ
“คุณทำไปเพื่ออะไร ฉันทนคุณต่อไปไม่ไหวแล้ว โรคจิตหรือเปล่า ตอนนั้นเราแค่เที่ยวกัน สนุกตามวิสัยคนรักสนุก ฉันกับคิมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี เราสนิทกันมันก็เรื่องธรรมดา ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพิ่งเกิดขึ้นเดือนสองเดือน แต่คุณตามดูฉันมานานเท่าไหร่แล้ว คุณตีสีหน้าซื่อได้แนบเนียนมาก ฉันว่านักเขียนอย่างแกไปเล่นละครดีกว่า ความชั่วช้าสามานย์ของฉันไม่เทียบทันเทียบเท่าคุณ ใช่สิ! นักเขียนใหญ่ โกหกปดเป็นว่าเล่นได้ โธ่โว้ย!!!”
“เพิ่งสัมพันธ์กับไอ้นั่นเดือนสองเดือน ตอแหล! ผมเห็นกล้องถ่ายรูปนั่น ภาพนู้ด ภาพกอดจูบ สารพัด ดีนะที่ไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ แล้วมันก็นานแล้ว นั่นแหละชนวนของทุกอย่าง แกยังกล้าโกหกทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่ก็ทรยศมานาน ใจคอทำด้วยอะไร เศษหินเศษกรวดยังไม่กระด้าง ไร้ความซื่อสัตย์เท่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้โง่ แต่ก็โกหกแล้ว โกหกอีก...” น้ำตาผมไหล น้ำมูกก็สั่งมาจากหนใดไม่ทราบ
พิมพิศเท้าสะเอว น้ำตาไหลพราก น้ำเสียงหยัดยืนว่าต้องเอาชนะ ทัดทานความหยาบคายของฝ่ายชายทนไม่ไหว “อยากฟังความจริงทั้งหมดแน่นะ! ได้! ก็ได้! กูจะคายทุกอย่างให้ฟัง” พิมพิศเดินวนเป็นวงกลมไปรอบๆ เหมือนคนสติหลุด ผมก็เดินเพื่อตามจ้องหน้า เรากำลังค้นลึกในตากันอย่างคนเล่นหมากรุกที่พร้อมวางหมาก
“คิมรักฉันก่อนหน้าที่ฉันพบมึงเสียอีก แต่ฉันก็ไม่รับรัก วางเขาไว้ฐานะเพื่อน ไม่อยากรักคนที่ทำงานด้วยกัน มันมีผลกระทบถึงงาน”
พิมพิศเรียกผมว่า “มึง” ผมยิ่งทวีความเกลียดชังหล่อน พอๆ กับชังคิมคชิต--ชายหน้าขาวที่ก้อล่อก้อติกตั้งแต่หล่อนเป็นแค่แฟน
“แล้วไง พูดซะคุณดูเป็นคนดี ดูเป็นนางเอก…อีตอแหล” คราวนี้น้ำตาที่พรั่งพรูบอกกล่าวกล่าวว่าอารมณ์ข้างในย่ำแย่กว่าคำพูด
“ใช่แล้ว! สักวันมึงจะได้รู้ว่ากูเป็นของมีค่าในสายตาเขา
“กูปฏิเสธเขามาตลอด เราสนิทกันมานานแต่สัมพันธ์เกินเพื่อนเมื่อไหร่ฉันไม่ได้จดบันทึกไว้เหมือนแก ไอ้ชั่ว รู้แต่ว่าเขารักฉัน หลายครั้งหลายคราที่ชีวิตฉันต้องพึ่งเขา เพราะมึงมันห่วย ฉันทนความรักความซื่อสัตย์อดรนทนรอฉันดั่งผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงอัญมณีเพียงชิ้นเดียวในโลกไม่ได้” พิมพิศชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แขนอีกข้างกางผายมืออย่างคนตั้งใจพูดเปิดอก นิสัยนางเอกสวยเลือกได้นี้คือหนึ่งในองค์ประกอบนิสัยงูพิษ นั่นแหละหล่อน
“แต่มึงเป็นเมียกูแล้วนะ” ผมถึงกับตะโกน
อีกฝ่ายไม่ยอมหยุดเหตุผลของตัวเองเช่นกัน และไม่ฟังเหตุผลของใคร “มันไม่ใช่วันที่ฉันเมาอย่างที่คุณสงสัยหรอก ทำนบความรักที่มีต่อแกมันทลายหลังจากที่ฉันอ่านบันทึกเลวๆ นั่น จะมาอ้างว่า แต่งงานแล้ว เอาเปรียบผู้หญิงได้ กูผู้หญิงธรรมดาที่ไหน ถ้าธรรมดาแบกับดินก็ว่าไปอย่าง แล้วมันก็ทำให้ซึ้งภาพลักษณ์มารร้ายที่เคลือบมาดสุภาพบุรุษไว้ กูเริ่มแขยงมึงตั้งแต่วันนั้น รู้ไว้ซะด้วย กูก็เก่งเหมือนกันใช่ไหมที่ทำให้จับความรู้สึกแท้จริงไม่ได้ อยากรู้อะไรไหม วันที่แกไปมิลาน กูก็พาคิมมานอนที่โซฟาตัวโปรดของแก รู้ทั้งหมดแล้วพอใจหรือยัง”
ชั่ววูบแล่นที่พิมพิศใช้สรรพนามสลับไปสลับมาเป็นเพราะอารมณ์แกว่งไกว ไร้ศีลธรรมยึดเหนี่ยว
ผมตบหน้าเธอฉาดใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ผมทำร้ายผู้หญิงและพูดจาเหมือนแมงดาข้างถนน ผมร้องไห้หนักขึ้นๆ กำปั้นทุบกำแพงจนเนื้อช้ำเลือดห้อ คุกเข่าร้องไห้เหมือนเด็กๆ “คุณบอกผมสิว่าคุณรักเขาไหม” พูดไปน้ำมูกก็ไหลเข้าปาก
“รัก” พิมพิศนิ่งแล้วตอบเสียงเรียบ จ้องมองผมอย่างผู้เหนือกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้น
ผมพยุงร่างกายที่พังพาบขึ้นมา เพื่อพยายามซ่อนความอ่อนแอ ทว่าก็พลั้งปากออกไปว่า“คุณต้องทำอะไรสักอย่าง” ผมพูดทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจในคำตอบ
“เราเลิกกัน”

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารค่ำท้ายคืน : การผจญภัยค้นพบอาหารสเปน




ผู้เขียน พอล ริชาร์ดสัน
สำนักพิมพ์ บลูมส์บูรี่

ลองแปล--นงนภัส

บทนำ

จริงแล้วที่ว่า การเดินทางท่องเที่ยวช่วยขยายขอบเขตจิตใจ ทว่าการเที่ยวเช่นกลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่จอดรถให้เดินชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนบินลัดฟ้าด้วยสายการบินงบประมาณน้อย นั่น...ไม่มีทางเปิดขอบเขตจิตใจให้กว้างได้มากเท่าไรนัก

การเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับประเทศและวัฒนธรรมนั้นๆ ทลายเวลาเกือบทั้งชีวิต ปีแล้วปีเล่าล่วงผ่าน ถึงกำเนิดอายุแห่งช่วงเวลา โดยใช้สิ่งที่ปฏิบัติสม่ำเสมอเป็นเกณฑ์วัด

ภาพที่ปรากฎผิวเผินสร้างความประทับใจอันดับแรก ด้วยความสวยงามน่าอภิรมย์ น่าจับจ้องค้นหา สวยสะดุดตา หรืออย่างน้อยที่สุด สภาพนั้นก็ไม่ได้น่าเกลียดน่าชังแต่อย่างใด ทั้งยังยืนยันความรู้สึกนึกคิดจากสายตาที่ทอดมอง หรือไม่ก็ผุดถามคำถามที่ใหญ่ขึ้น เขย่าสมองให้ครุ่นคิดค้นหา ดังนั้น พวกเราจึงดึงมุมต่างๆ ของสถานที่ บอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวด้วยถ้อยคำซึ่งแก่นแท้แล้วก็มีกลิ่นรสเช่นเดียวกัน

บางสิ่งรับประกันว่า เป็นผลกระทบตามธรรมชาตินับพันปีของความแปลก เราเคยต่อต้านรสชาติผิดธรรมดานั้น ทว่า พวกเราก็ยอมรับรสชาตินั้นทีละน้อย นั่นเป็นวลีที่จริงและลึกซึ้งแท้ บอกเป็นนัยเลาๆ ว่า ประสบการณ์ว่าด้วยอาหารการกิน เป็นมากกว่าภาพประทับใจหรือวัตถุภายนอก ทว่าที่สุดแล้ว ยังกำซาบและครอบงำเรา อาหารเผยว่า เราเป็นใคร มานูเอล วินเซนต์--นักเขียนนวนิยายชาวสเปน กล่าวไว้ว่า การกินเป็นพฤติกรรมลี้ลับเหลือเชื่อ สะท้อนจากสิ่งที่บริโภค

เมื่อยังเป็นหนุ่มรุ่น ผมข้ามชายแดนที่พอต โบ บนรถไฟเที่ยวกลางคืนจากปารีส เวลาล่วงผ่าน ผมก็ยังไม่เคยไปเที่ยวสเปนสักครั้ง แม้ว่าจะมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง จากเมืองมีอันจะกินทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ โดยปรกติ พวกเราท่องเที่ยวพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ในอิตาลีหรือไม่ก็ฝรั่งเศส ดูเหมือนว่าสเปนยังไม่มีกลิ่นรสยั่วใจมากพอสำหรับวงสังคมของเรา ในขณะที่ประเทศอิตาลีและประเทศฝรั่งเศสมีสังคมชั้นกระฎุมพีมั่นคงปักหลักอยู่ ทั้งยังฝังรากลึกแข็งแรง ประเทศสเปนดูเหมือนยังผุพังเสื่อมโทรม โรงแรมห้องพักราคาถูกทอดตัวยาวตามแนวชายฝั่ง ตกแต่งภายในได้น่าสะพรึงกลัว เหมือนอยู่ในทวีปอัฟฟริกาอย่างไรอย่างนั้น ว่ากันสั้นๆ ชื่อเสียงของสเปนก่อร่างไว้อย่างไม่น่าไว้วางใจเลย หากว่า นั่นเป็นสิ่งที่ดึงผมเข้ามาหามันก็เป็นได้

แรกเริ่มเดิมทีประสบการณ์การเดินทางมาสเปน วิถีการอยู่และการกินเป็นไปด้วยความรอบคอบและระมัดระวังยิ่ง มันเป็นช่วงฤดูร้อนยาวนานสองเดือนที่ผมต้องอยู่อย่างมัธยัสถ์ ด้วยการเดินทางด้วยรถไฟข้ามประเทศ กระนั้น ก็เป็นประสบการณ์ยอดเยี่ยม รถไฟข้ามประเทศถือเป็นการเดินทางราคาประหยัด ในยามที่ไม่มีเงินหนาพอจับจ่ายซื้อตั๋วเครื่องบินได้ ไม่มีแม้โทรศัพท์มือถือ และไม่มีอีเมล์เพื่อติดต่อกับทางบ้าน จัดเป็นชีวิตที่รัดเข็มขัดด้านการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าขาดเงินสดก็มีปัญหา เพราะเครื่องเบิกเงินยังไม่มีความสลักสำคัญนักในชีวิตของชาวยุโรปตอนใต้ ในฐานะหนุ่มรุ่นกระทงวัย 19 ปี ในวัยนั้น ผมก็ยังไม่มีความน่าเชื่อถือพอจะใช้บัตรเครดิตได้ บ่อยครั้งที่เอาชีวิตรอดด้วยอาหารจากบาร์ราคาถูก เช่น ทอร์ตทิลล่า เดอ ปาตาตาส์ มีตบอลกระป๋อง ปาตาตาส์ บราว่าส์แกล้มซ้อสเผ็ดๆ (ที่นักเรียนรองท้อง) และสิ่งที่ผมเรียกว่า “การขนส่งสาธารณะ” หรือโบคาดิลลอส—ขนมปังก้อนหนาสอดไส้ เช่น ชีส แฮมหรือโชริโซ (ผลิตภัณฑ์เนื้อหมูนานาชนิด) อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีน้ำมันมะกอก ไม่มีมะเขือเทศหรือของแห้งรสเลิศ

เมื่อยังวัยรุ่น สิ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารสเปน เป็นข้อคิดของนักท่องเที่ยวสามัญธรรมดา เช่น เพลล่าและกาซปาโช หรือ กาซปาโชและเพลล่า ความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรุงชาติสเปน ถูกเขียนหยาบๆ บนข้างแผ่นไปรษณียบัตร หนึ่งในบรรดานั้น เป็นรูปกระโปรงของนักเต้นรำฟลามิงโก้อันเด่นสะดุดตา ผลมะกอก ผลส้ม หญ้าฝรั่น กระเทียม อะไรอื่นอีก? ตอนนั้น ผมยังไม่คุ้นเคยกับรสชาติอันวิเศษของแฮมสเปน ไม่น่าตกใจเลยที่ผมมารู้เอาตอนนี้ หลังจากการทะเลาะกับความตะกละตะกลาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคลั่งไคล้ในช่วงต้นศตวรรษที่แปดสิบ ไม่มีอะไรดีพอพอดีรสลิ้น ผมต้องเคยได้ยินมานเชโก ชีส ทว่า แทบจะไม่เคยจินตนาการถึงอย่างอื่น ไวน์สเปนคือเรียวฮ่าหรือเชอร์รี่ และ เชอร์รี่หรือเรียวฮ่า

การทำความรู้จักอาหารสเปนลดย่อมากมหึด้วยคลังภาษาอันจำกัด มีเพียงคำบางคำเท่านั้นที่ผมรู้ และเขินอายเกินกว่าที่จะสั่งอาหารที่ไม่คุ้นเคย งบเงินอย่างนักท่องเที่ยวแบ๊กแพ๊คเกอร์อยู่ในวงเงินให้ใช้เท่าที่จำเป็นอย่างร้ายกาจ ทว่าผมยังชอบตบท้ายช่วงวันด้วยเชอร์รี่สักแก้วและเมล็ดอัลมอนด์สักจาน ผมต้องเคยฝันถึงสิ่งที่คนสเปนแท้ๆ ดื่มกิน แม้ว่าจะติดขัดเรื่องอายุและสถานะในขณะนั้น ด้วยฉากหลังไม่สง่างามของเหล้าก่อนอาหารที่บาร์ตามท่ารถหรือร้านอาหารชั้นประหยัดในโรงแรม ดูเหมือนว่าเบียร์และมันฝรั่งทอด น่าสนใจมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ก็มีมื้ออาหารหลายมื้อที่ไม่เคยลืมเลือน ที่ปงสิอง (บ้านพักราคาถูก) เล็กๆ ในเมืองมาลอร์กันในเดย่า ที่นอกชานท้ายช่วงวันหยุดฤดูร้อน กลิ่นของไม้สนและท้องทะเล จานข้าวกลิ่นจรุงถูกเสิร์ฟ (ข้าวสเปนของแท้จานแรก--เพลล่าเนื้อไก่และพริกไทย...สีเหลืองทองอร่ามตาและมีกลิ่นหญ้าฝรั่นชัดเจน) ดื่มน้ำโรซาโดทำเอง เย็นเฉียบหนึ่งขวด แล้วจับจ้องท้องทะเลยามวิกาลด้วยความอิ่มเอิบ ในขณะที่สายตาพร่ามัวด้วยฤทธิ์แอลกฮอล์

ในเดือนสิงหาคม ฤดูร้อนที่สเปนยังคงเป็นแผ่นดินที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ หลายเมืองใหญ่ๆ เหมือนเมืองผีสิง ชายหาดหลายแห่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ป้ายที่แปะติดกระจกร้านค้าและร้านอาหารหลายแห่งอำลาลูกค้าจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน เตรียมพร้อมออกสึกกับรายชื่อแขกผู้ติดต่ออันผสมปนเป

ผมร่อนเร่ไปยังประเทศที่ถูกที่สุด รถไฟคืบคลานช้าที่สุด ประเทศสเปนอยู่ในวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เท่าที่รู้ ในช่วงปี 1982 สภาพแวดล้อมยังด้อยพัฒนาและมีเสน่ห์ทางวัฒนธรรมอย่างยิ่ง

ตู้รถไฟหลายขบวน ประตูเก่าครึทั้งยังปิดเสียงดังปึงปัง อากาศอวลด้วยกลิ่นคลื่นเหียน หน้าต่างสามารถดึงลงและแขวนของได้ สบู่ในห้องน้ำป่นเป็นผงแป้ง คล้ายพริกไทยจากโรงโม่ ธรรมดาที่ในเวลานั้น ยังเป็นสเปนอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง นักท่องเที่ยวด้วยรถไฟยิบยื่นอาหารของตนให้เพื่อร่วมเดินทางรอบข้าง ครั้งหนึ่ง บนรถไฟเที่ยวกลางคืนจากปารีส ครอบครัวชาวสเปนครอบครัวหนึ่งต้อนรับผมอย่างอบอุ่น และเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ : แลมป์ช็อปคลุกแป้งขนมปังเสิร์ฟแบบเย็น แซนวิชทอร์ทิลล่า เซอร์ราโน่จามงแผ่นบาง ห่อด้วยกระดาษฟอยล์อลูมิเนียมและกาซปาโช ในถ้วยพลาสติก รินจากโถกักเก็บความร้อนระบบสุญญกาศ

เช้ารุ่งขึ้น ในหนึ่งชั่วโมงที่มุ่งสู่บาร์เซโลน่า หยิบกล่องอาหารปิกนิกออกมาเปิด มีกาเฟ่ คอน เลช และบิสกิตสวีตมาเรีย ผมรับรส รู้สึกว่า ครอบครัวนั้นจุ่มบิสกิตลงในกาแฟอย่างละเมียด การยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ เยี่ยมกว่านำบิสกิตจุ่มกาแฟแล้วนำเข้าปาก นั่นเป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงความอ่อนละมุนของชาวสเปนอย่างมีเหตุมีผล ใช้ความแข็งของขนมปังเป็นพาหนะบรรทุกของเหลวอย่างกาแฟ ขนมปังดูดซึมน้ำซ้อสอย่างฉับพลัน สปอนจ์ เค้ก “ชุ่มฉ่ำ” ด้วยไวน์หวาน และช็อกโกแลตร้อน ที่ใช้เป็นเครื่องจิ้มตกแต่งของทอดและชัวร์รอส(โดนัทสเปนทอด)เป็นทางยาว

ผมมุ่งมั่นที่จะหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายราคาแพงโดยการพักในโรงแรมหลายแห่ง เส้นทางถูกกำหนดโดยวันที่นัดกับคนรู้จักมักจี่ผู้ที่ผมพักที่บ้านพวกเขา หลังจากเยี่ยมเยือนมอลลอร์ซา ผมมุ่งหน้าจากผืนดินห่างไกลมุ่งสู่เมืองมาดริด เมืองที่ผมมีที่อยู่ของเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่ย่านซาลามานก้าอันเยี่ยมยอด ผู้ดูแลตึกบอกผมว่า พวกเขาเดินทางไปพักวันหยุดฤดูร้อนที่บ้านพักส่วนตัวริมทะเลในซานเทนเดอร์ บ้านใหญ่ สวนขนาดมหึ ที่นั่งชมทะเลอันเหมาะเจาะติดชายหาดซาร์ดิเนโร่ ผมไม่มีพลาด จึงจับรถไฟขึ้นทางทิศเหนือ ค้นคว้าหาบ้านหลังนั้น แล้วใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ด้วยพลังแห่งวัยเยาว์ของเมืองซานเทนเดอร์ ยามค่ำคืน พวกเราเริงร่าทั่วเมืองอย่างสุดขีดเช่นลูกเศรษฐีในรถหรูระยับ

ในคืนสุดท้าย พวกเราทุกคนออกไปกินอาหารมื้อค่ำมื้อสุดท้าย ผมไม่เคยกินอาหารมื้อสุดท้ายของวันในเวลาเที่ยงคืนมาก่อน แล้วก็พบว่า เป็นความคิดที่ปรนเปรอตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เรากินดื่มกันที่อู่เรือท่าตกปลา สภาพร้านอาหารเหมือนโรงอาหาร ขายอาหารซีฟู๊ดให้คนจำนวนมากในสภาพหิวโซจากกิจกรรมที่ทำมาทั้งวันที่ชายหาด กุ้งจานร้อนหรือ อา ลา ปันชา ปลาหมึกยักษ์ชุบแป้งทอด หอยแมลงภู่นึ่งไอน้ำจนฉ่ำ หอยกาบ อาลามาลิเนร่าผักชีฝรั่งและไวน์ขาว ปูยักษ์ต้ม กองหอยสีดำตัวเล็ก ดูเหมือนจะวางระเกะระกะท่วมท้นผ้าปูโต๊ะสีขาว ซึ่งกลายเป็นรอยเปื้อนและยับยู่ยี่ บรรยากาศแห่งความครึกครื้นปกคลุมทั่วห้องอาหารด้วยนักกินผู้มีความสุขนับร้อย ตะโกนข้ามหัวขณะที่อาหารยังเต็มปาก ผู้คนบีบมะนาว จุ๊บหอย บิเปลือกหอย จุ่มขนมปังในน้ำผลไม้เลอะเทอะ แล้วยังดื่มซันเกรียเหนียวๆ อัดน้ำแข็งเต็มเหยือกอึกใหญ่ ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรน้อยกว่า การกินอย่างซื่อๆ ของคนสเปน ที่เสียงดัง สับสนอลหม่าน โจ่งแจ้ง ทว่าควบคุมได้ อาหารจานร้อนหลากหลายชนิดทยอยออกมาเรื่อยๆ และพวกเรายังคงกินแล้วก็กิน กระทั่งดึกดื่น ทั้งหมดเป็นสิ่งสัมพันธ์กับผม ด้วยชีวิตจำกัดกรอบและความเป็นพลเมืองอังกฤษ ผมไม่เคยคิดว่า เป็นไปได้ที่จะมีความสุขมากเช่นนี้

หลายปีพ้น ผ่านชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แล้วใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน หลังสะกดตัวอักษรในฐานะบริกรและลูกจ้างขายไวน์ชั่วคราว ผมก็ประสบความสำเร็จ ด้วยความกล้าหาญก็ได้งานบรรณาธิการงานเขียนประชาสัมพันธ์ ทว่าเมื่อใคร่ครวญย้อนหลังแล้ว ก็ขวยอาย เล่มนั้นชื่อว่า “เทสต์” ใช้เงินลงทุนไม่มากในอู่จอดรถเก่า ใกล้ท่าเรือเก่าแก่ที่ฟูลแฮม

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Arrow Advertorail



Arrow แบบฉบับเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษตัวจริง

ด้วยดีไซน์คลาสสิกหยิบจับมาใส่กี่ครั้งกี่คราก็ไม่เคยล้าสมัย ตอกย้ำให้เสื้อผ้าแบรนด์ Arrow อยู่คู่ใจคู่กายผู้ชายเสมอเหมือนเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ ผู้ไม่เคยทำให้ภาพลักษณ์มาดสุภาพบุรุษชายใดด่างพร้อยมายาวนานกว่า 150 ปี วันนี้ Arrow ยังคงนำเสนอสิ่งใหม่ท้าทายคลังเสื้อผ้าคุณผู้ชายไม่ขาดตกบกพร่อง ภายใต้ทีมงานที่มีชื่อเสียงของ Phillips-Van Heusen (เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายชั้นนำหลายยี่ห้อ อาทิ Calvin klein, Van Heusen และ IZOD) เสื้อผ้าของแอร์โรว์ ไม่ว่าจะเป็นเชิ้ตทำงานผู้ชายซึ่งเป็นไอคอลไอดอลให้แบบเชิ้ตผู้ชายอีกหลากหลายแบรนด์ แตกย่อยรวมไปถึงแอกเซสซอรี่ของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก จึงย้ำความสำเร็จได้ว่า Arrow คือชัยชนะของไลฟ์สไตล์เครื่องแต่งกายตัวจริง

(ล้อมกรอบ) แอร์โรว์เกิดจากไอเดียของผู้หญิงนิวยอร์กคนหนึ่ง ผู้ฝ่าความสามารถทำให้เชิ้ตธรรมดาดูสดชื่น เรียบคม ทนทานโดยไม่ต้องผ่านการซักรีด หลังจากนั้นก็เกิดกระแส "The Arrow Collar Man" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความนิยมอย่างแพร่หลายของเสื้อเชิ้ตแอร์โรว์ ที่ดีไซน์โดยอาร์ตติส J.C. Leyendecker นิยมสูงสุดถึงขั้นประธานาธิบดีแห่งสหรฐอเมริกายังตบเท้าเป็นแฟนประจำของแบรนด์ หลังจากอยู่ภายใต้ร่มเงาการผลิตของ Cluett American Group มายาวนาน ตั้งแต่ ค.ศ. 2004- ปัจจุบัน PVH หรือ Phillips-Van Heusen Corporation บริษัทออกแบบ ดำเนินการผลิต และทำการตลาดเสื้อผ้าชั้นนำชื่อดัง สืบทอดตำนานเสื้อผ้าแบบฉบับ Arrow ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ทั้งยังพัฒนาชิ้นงานอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง

สุภาพคงที่ เท่คงทน

จารจำหัวใจผู้ชายมีระดับหลายยุคหลายสมัย สำหรับเชิ้ตผู้ชาย Arrow ด้วยเนื้อผ้าที่มีคอตตอนเจืออยู่สูง จึงเปี่ยมประสิทิภาพการซับเหงื่อ การตัดเย็บละเอียดลออ มีรายละเอียด ทั้งยังคำนึงถึงรูปลักษณ์อันพิถีพิถันในทุกโอกาส เข้าธรรมเนียม "เรียบหรูทว่าไม่ล้ำ ทั้งยังไม่ช้ำและไม่มีวันเชย"

Arrow Men's Wrinkle Free Pinpoint Solid Long Sleeve

ผู้ใช้ส่วนมากประทับใจเชิ้ตรุ่นนี้ เพราะมีให้เลือกสองสี สีขาวและสีน้ำเงินอ่อนลาเวนเดอร์ ที่เพิ่มความหวานนุ่มให้กับชีวิต ผลิตจากผ้าคอตตอน 60 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 40 เปอร์เซ็นต์ คงคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ "Wrinkle Free" ไว้ครบถ้วน สร้างสรรค์ได้อย่างสวยงามและชาญฉลาด กระดุมติดตามยาวลงมากลางลำตัวปกคอแข็ง มีกระเป๋าด้านหน้าใส่ของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญซักเท่าไรเสื้อก็ไม่มีวันหดตัว ครบถ้วนเรื่องความสะดวกสบายและดีไซน์ที่ลงตัว

Arrow Men's Wrinkle Free Sateen Solid Long Sleeve

แคช่วลเชิ้ต มีสีเรียบๆ ให้เลือกหลากสี (Matte Colour) ใส่ได้ในวันทำงานทุกวัน ไม่มีเบื่อ เพราะทรงเสื้อที่ไม่เชย ดูภูมิฐาน สมราคา "ยี่ห้อไลฟ์สไตล์ ผู้ชายอเมริกันของแท้" ผลิตจากผ้าคอตตอน 67 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 33 เปอร์เซ็ฯต์ การเย็บแน่นหนา รีดเรียบง่าย-ผ้ายับยาก ปกชี้ตั้งตรง คงวัฒนธรรมเสื้อเชิ้ตแอร์โรว์ด้วยกระเป๋าเล็กด้านหน้า เพิ่มความหรูหรามาดคุณผู้ชายเมื่อจับคู่กับเนคไทเส้นสวยสักเส้น

Arrow Wild Orchid Dress Shirt in Purple

เชิ้ตแขนยาวรุ่นนี้มีสีม่วงเข้มเพียงสีเดียว ดูดีในแบบผู้ชายที่มีหัวใจรักแฟชั่น ทว่ายังคงเอกลักษณ์ความเคร่งขรึม ดูดี ไม่หลุดกรอบ ใส่ใจในรายละเอียดด้วยกระดุมยาวลงมาจากปก เม็ดกระดุมสีเทาเข้ม รังดุมผ่าตรง เนื้อผ้าเรียบง่ายยังยาก ผลิตจากคอตตอน 65 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นมิตรต่อการซักทำความสะอาดและซักแห้ง