วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

A Cocktail Manifesto



นานมาแล้ว คนอเมริกันถูกคาดหวังว่า พวกเขามีข้อคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเครื่องดื่ม ค็อกเทลลายเซ็นและวิธีที่ผสม นั่นคือส่วนหนึ่งที่บ่งชี้ความเป็นชาย เหมือนๆ กับความสามารถย่างเนื้อได้เยี่ยมยอดหรือเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์

แล้วก็ถือกำเนิดคัมภีร์ของนักวิจารณ์เหล้ายาต่างๆ (Spirit) เบอร์นาร์ด ดีโวโต "The Hour : A Cocktail Manifesto" ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1948 ถือเป็นหนังสือเล่มคลาสสิก เป็นความพยายามพัฒนาปรัชญาค็อกเทลยุคแรก พิมพ์มาแล้วเนิ่นนานหลายศตวรรษ ว่า สำนักพิมพ์ Tin House Books จัดพิมพ์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนำผู้อ่านเข้าสู่สัมผัสแห่งห้วงเวลา 60 กว่าปีที่แล้ว เมื่อผู้คนดื่มมาร์ตินี่เพราะความเชื่อทางศาสนา ไม่ใช่เพราะศาสตร์การผสมผสาน

นายดีโวโต--ปราชญ์แห่งมาร์ก ทเวน เขียนคอลัมน์ "Easy Chair" ใน Harper's เป็นเวลานาน วางกฎระเบียบเรื่องค็อกเทลไว้แน่นหนา สีค็อกเทลห้ามหม่นมืด น่าสยอง ดูแล้วหดหู่ ตัวตั้งตัวตีกำหนดรสชาติ เขาผิดหวังเรื่องกระบวนการการเปลี่ยนแปลงอันแสนผิดพลาดของรสชาติแห่งชาติ ในช่วงยุค "Prohibition" วิพากษ์วิจารณ์พริกถึงขิงด้วยสายตาอันแหลมคมของเขา นายดีโวโต เกลียดเหล้ารัม เพราะเครื่องดื่มจากเหล้ารัมต้องการน้ำผลไม้เป็นตัวช่วย ซึ่งมันเป็นพิษบริสุทธิ์ (Pure Poison) เมนูค็อกเทลทุกๆตำรับ ศัตรูอันดับหนึ่งคือ "The Bronx" เครื่องดื่มที่เป็นการผสมผสานระหว่ง จิน เวอร์มุธ และน้ำส้ม สำหรับนายดีโวโตแล้ว คิดค้นสูตรเฉพะของเขา "ออเร้นจ์ บอซซัม" รู้จักกันดีในช่วงโพฮิบิชั่น

หลังจากที่ เดอะ บรอนซ์ ล้าหลังแล้ว ก็เกิดค็อกเทลที่ชื่อ "Manhattan" เป็นการต่อต้านความเคารพดั้งเดิมที่มี เพราะมันมีเวอร์มุธ "ดรายเวอร์มุธที่ถือว่ามันผิดกฎกับสวีต เวอร์มุธ ที่ทำให้รู้สึกป่วย" เครื่องดื่มแอลกฮอลล์หวานๆ ที่ทำจากรัม เขาไม่ยอมรับความคิดเห็น ถือว่ามันเป็น "ความวิจิตรพิสดารอันถอยหลัง" ค็อกเทลร้อนต้องห้าม เหล้าสก็อตก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ

ความจริงแล้ว นายดีโวโตหดย่อจักรวาลแห่งค็อกเทลด้วยเครื่องดื่ม 2 ประเภท : "วิสกี้แรงๆ ขอดแก้ว" และ "มาร์ตินี่" อย่างแรก แน่นอนว่า ไม่ต้องผสมอะไรทั้งนั้น อย่างที่สอง เขามีสูตรเฉพาะ

ข้อแรกต้องไม่ปรากฎความขมของมะกอก หัวหอม และส้ม

มาร์ตินี่เขย่าได้ คนได้ แต่ต้องไม่มีน้ำแข็งลอยป่องในแก้ว สามารถใช้ที่กรองที่เจาะรูเล็กๆ กรองน้ำแข็งออก

มีเพียงแค่อเมริกัน จิน เท่านั้น ที่ถูกต้องตามกฎค็อกเทล

ที่สำคัญต้องไม่ผสมค็อกเทลแล้วแช่ตู้เย็นไว้ รสชาติจะเปลี่ยน

ระหว่างทำอาจจะฮัมเพลงได้ ทว่าห้ามผิวปาก

และเขายังให้ความเห็นอย่างจริงใจ ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงไม่สามารถผสมมาร์ตินี่แก้วที่เหมาะสมได้


มาร์ตินี่ของดีโวโตใช้สัดส่วน จิน 3.7 ส่วน ต่อ เวอร์มุธ 1 ส่วน หรือถ้าสูงกว่านั้นก็แค่ 4:1 ในเวลานั้นมาร์ตินี่ใช้สัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง เชื่อว่าด้วยมาตราส่วนระดับนี้ จะได้รสดราย จบด้วยน้ำคั้นเปลือกเลมอน 2 หยด ฝานเปลือกเลมอนโดยไม่ให้มีส่วนขาวๆ ติดมาด้วย เป็นขดๆ หย่อนลงไปในแก้วมาร์ตินี่

สุดท้ายก็รู้ไว้ซะ นายดีโวโต้ผู้นี้เองที่ไม่ใช้สูตรเครื่องดื่มดั้งเดิม (Drink Culture) ที่รู้จักกันดี ถึง 90 เปอร์เซนต์

ขบถวัฒนธรรมค็อกเทลชัดๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Food on Film



คอหนังและฟู๊ดดี้ห้ามพลาด! เอิงเปอเดอรวบรวมรายชื่อภาพยนตร์เกี่ยวกับอาหารทั้งในยุโรปและเอเชีย หยิบยกมาจาก WORDOFMOUTH BLOG หยิบยกมาเพื่อการบอกเล่าเท่านั้น

The Ipcress File ไม่มีใครตอกไข่มือเดียวเท่เท่าไมเคิล เคน(รับบท แฮร์รี่ พาล์มเมอร์) ผู้ทำออมเล็ตต์ให้พวกเราชม

Antique กำกับภาพยนตร์โดย Kyu-Dong Min สำหรับผู้ที่รักขนมและร้านเบเกอรี่ (และเหล่าผู้ชายเกาหลี๊เกาหลีหน้าหล่อ)

Food Inc โดย โรเบิร์ต เคนเนอร์ ว่าด้วยเรื่องการเมืองแห่งวงการการเกษตร อาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ระบบร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา

Le Grande Bouffe โดย Macro Ferreri หนังดูหม่นมืด รับประทานอาหารแล้วถึงคาด ต้องเรื่องนี้

The Discreet Charm ofThe Bourgoisie กำกับภาพยนตร์โดย ลุยส์ บูนัวล์ ว่าด้วยเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์อาหารเสียทุกสิ่ง ชมแล้วหนาว ขนหัวลุก เรียกว่าไม่มีอะไรควรค่าพอที่จะรับประทาน (ก็เลยสงสัยว่าพวกกระฎุมพีลิ้นสูง มีความสุขในการกินบ้างไหม?)

จุดจุดจุด... แต่ถ้าใครอยากขำขันกับการจำลองชีวิตนักวิจารณ์อาหารแห่งนิวยอร์ก ผู้ซึ่งคิดว่าอาหารอร่อยคือ อาหารที่รับประทานแล้วเสียชีวิตไวๆ เพราะอาหารรสอร่อยส่วนมากแคลอรี่สูง จึงให้ลูกศิษย์ผู้เป็นเชฟชื่อดังควงตะหลิวเข้าครัวทำให้รับประทานซึ่งยัดทนานเท่าไหร่ก็ยังไม่ตาย สุดท้าย น็อกเอาต์ด้วยฮอตดอกรถเข็นที่ชายร่างเตี้ยอ้วนเข็นมาขายหน้าร้านของลูกศิษย์ แนะนำให้ดูซีรีส์เรื่อง Kitchen Confidential (จำไม่ได้แล้วว่าพาร์ทที่เท่าไหร่) ดูแล้วฮา เสียดสีสุดฤทธิ์

ถ้าเป็นภาพยนตร์ที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาเข้มข้น ประเด็นเกี่ยวกับเซ็กส์ อาหารและการเมือง จะเป็นเรื่องไหนไม่ได้ นอกเสียจาก Empire of the Senses หรือ In the Realm of the Senses กำกับฯ โดย นางิสะ โอชิมา อ่านบทวิจารณ์ได้ในหนังสือวิจารณ์ภาพยนตร์เกือบทุกเล่มที่เซียนหนังคนไทยเขียน

Babette's Feast กำกับฯ โดย Gabriel Axel ผู้หญิงซึ่งพลัดถิ่นด้วยเหตุผลทางการเมืองและศาสนา มาพำนักในฝั่งจูตแลนด์ ในช่วงกลางฤดูหนาว โชว์ฝีมือการปรุงอาหารที่ประดับประดาในสไตล์บาร็อกอย่างครบเครื่อง ดึงความรัก การให้อภัย และการรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อในพระเจ้านำทาง เห็นผู้คนจิบไวน์แดงเคล้านกระทงเป็นตัวๆ ก็จากภาพยนตร์เรื่องนี้

Eat,Drink, Man, Woman ภาพยนตร์ของอังลีที่เอิงเปอเดอชอบที่สุด ชมครั้งแรกเพราะเป็นภาคบังคับ วรรณกรรมบนแผ่นฟิล์ม ดูแล้วกระเพาะร้องจ๊อกๆ นึกถึงอาหารเหลา เอาแบบที่มีเล้าเป็ดเล้าไก่ ปูเป็น ปลาเป็น เชือด ตัด หั่น ผัด นึ่งกันเห็นๆ ออกมาต้องมันเยอะๆ เยิ้มๆ)

The Big Night กำกับการแสดงร่วมระหว่างแคมป์เบล สก็อตต์และสเตนลีย์ ทุสซี่ หนังสะพรั่งด้วยเกตุการณ์นิ่ง เงียบงัน มีมนตร์ขลัง นะเสนอประเด็นอาหารและความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องชาย หนังเศร้านะ

เลือกชมตามอัตภาพและรสนิยม

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มารยาทสากล : ถ่ายรูปในร้านอาหาร



ในคู่มือที่ชื่อว่า "Etiquette Handbook" บาร์บาร่า คาร์ตแลนด์เขียนไว้ว่า สิ่งที่แบ่งแยกใครต่อใครว่า "เป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือผู้เจริญแล้ว" คือกริยาท่าทางการวุ่นบนโต๊ะอาหาร ซึ่งฟังดูแล้วค่อนข้างขัดอารมณ์ (ในกรณีที่อยากรับประทานอาหารแบบสบายๆ)และวิถีปฏิบัติอย่างไทยๆ ที่เจริญที่สุดแล้ว อาวุธบนโต๊ะอาหารก็มีแค่ช้อนและส้อม สิ่งที่พอกล้อมแกล้มย้อมใจให้ภูมิใจ นั่นคือ ตั้งขนบธรรมเนียมบนโต๊ะอาหารใหม่ให้เป็นแบบผู้ดีไทย หากเมื่อขึ้นโต๊ะอาหารฝรั่ง เราก็ต้องโกยไล่ตามวิถีตะวันตกอยู่ดี

ถือเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ เมื่อแวะเวียนเข้ามาในร้านอาหาร ยิ่งผู้ที่ชอบเผยแพร่เรื่องอาหาร โดยไม่มีฐานันดรสื่อมวลชนแล้ว โดยเฉพาะพวกบล็อกเกอร์ทั้งหลายนั่นแหละ...ตัวดี! ที่ชอบหยิบยกเรื่องอาหารเจ๋งๆ ที่รับประทานแล้ว ก่อนหน้าที่จะเข้าปาก ก็ถ่ายรูปเพื่อนำไปโพส ไม่ว่าในบล็อก ทวิสเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก เจตนาเพื่อถกเถียงบอกเล่าประสบการณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ตามแต่ที่ท่านตั้งท่านคิด จนไม่รู้ว่า ไอ้การถ่ายรูปบนโต๊ะอาหาร (ในร้านอาหาร) ถือว่าผิดจารีตการรับประทานอาหารมาก

คริส โพเพิล--บล็อกเกอร์ เคยถูกขอให้วางกล้องไว้ไกลๆ สักสองสามนาที--โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาในร้านอาหารที่มีชื่อเสียง การถ่ายรูปอาหาร ทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพ เหมือนปาปารัสซี่มากกว่าเป็นคนรักอาหารผู้หยาบคาย หรือคุณเนียมฮ์ บล็อกเกอร์เช่นกัน ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกขอให้ลบภาพ หล่อนรื้อความหลังบอกว่า "ราวกับว่าฉันขโมยวิญญาณของแซลมอนรมควันอยู่" บล็อกเกอร์ทั้งคู่กระมิดกระเมี้ยนใช้กล้องถ่ายรูปรูปที่อยากได้ให้เร็วที่สุดตราบเท่าที่จะทำได้ แม้จะมีการบ่นพร่ำของร้านอาหารบางแห่งที่ห้ามใช้แฟลช ห้ามสแน็ปภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต และรบกวนผู้อื่นโดยการปีนขึ้นบนเก้าอี้ เพื่อให้ได้รูปถ่ายมุมที่สวยขึ้น

สิ่งที่คุณบาร์บาร่าเขียนในหนังสือที่ถือเป็นสมบัติผู้ดีของชาวตะวันตก เมื่อปี 1962 หล่อนว่าการถ่ายรูปมันเหมือการแสดงข้อคิดเห็นให้อาหาร ซึ่งมันทำให้คุณกลายเป็นคนโง่หยาบคาย ไม่ให้เกียรติอาหาร ความคิดนั้นออกจะคร่ำครึเกินไป หรือว่า (อีกที) ยุคนั้นยังไม่มีบล็อก เว็บไซด์อาหาร ทวิตเตอร์ หรือว่าเฟซบุ๊ก

เห็นไหมคะ ว่าตะวันตกก็ยังถือครองระเบียบมรรยาทหลายฉบับ ที่หมุนไปตามกระแสโลกและผู้ที่ถือข้างข้างใดข้างหนึ่ง เอาเป็นว่า รับประทาน-แสดงกริยาบนโต๊ะอาหารกันแบบรบกวนการรับรู้ทางภาพและเสียงของผู้อื่นแบบพอประมาณ (ในขนาดที่รับกันได้ เช่น เสียงไม่กระแทกกระทั้นโต๊ะผู้อื่น ไก่ในจานคุณไม่กระเด็นไปอยู่ที่โต๊ะตรงข้าม เป็นอันใช้ได้)

แหม...ได้ชื่อว่าอยู่ในสถานที่สาธารณะ ถ้าใครมีประสาทรับรู้ระหงมากนัก ก็เข้าห้องเอ๊กซ์คลูซีฟไปสิคะ ไหนๆ พวกคุณก็จ่ายเงินซื้อสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Giles Coren ถ่ายรูปอาหารเหรอ...หยาบคายชะมัด!



กิลส์ โคเรน นักวิจารณ์อาหารของไทมส์ (เป็นนักวิจารณ์อาหารที่หล่อที่สุด ยืนยันจากภาพถ่าย)ใครๆ รู้ดีว่าข้อวิจารณ์ของเขาอ่านแล้ว เหมือนกำลังนั่งฟังคนแก่โกรธเก่งพร่ำบ่น หัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการถ่ายรูปอาหารในร้านระหว่างมื้ออาหาร--พฤติกรรมที่รบกวนสร้างความรำคาญ โกรธแตกทุกครั้งเมื่อมีคนที่ดูเหมือนจะไร้เหตุผลขอโทษขอโพย ซึ่งเขาสันนิษฐานว่าเป็นพวกฟู๊ดบล็อกเกอร์ที่กำลังถ่ายรูปอาหาร เขาให้ความเห็นว่า มันเป็นแฟชั่นบอกยี่ห้อ "ผมคิดว่าการถ่ายรูปอาหารในร้านอาหาร ง่ายและหยาบคาย ไม่มีความเคารพและไร้สมอง มันทำให้คนที่เข้ามากลางร้านอาหาร ไม่อยากเหยียบย่างเข้ามา"

ในทวิสเตอร์, โคเรนให้ข้อยืนยันจุดยืนของเขา โดยอ้างว่า เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพวกบล็อกเกอร์ "รูปถ่ายนั้นมันสำคัญน้อยกว่าข้อวิจารณ์ การถ่ายรูปสแน็ปทำให้เชฟ และสตาร์ฟเครียด" (ในที่นี้ดิฉันขอใช้ประสบการณ์ส่วนตัวบอกเล่า อาหารที่ใช้ถ่ายรูป แตกต่างจากอาหารที่เสิร์ฟจริงๆ รูปที่ลงในหนังสือพิมพ์หรือแมกกาซีนมีการใช้กลวิธีตกแต่งหน้าตาอาหารให้ดูดี สาเหตุที่เชฟและสตาร์ฟเครียดน่าจะมาจาก อาหารที่เสิร์ฟบางชนิดไม่เหมาะแก่การถ่ายรูปโดยสิ้นเชิง และเวลาที่ออกโปรดักชั่นถ่ายรูปเป็นช่วงที่ร้านอาหารปิดพักหลังจากเวลาอาหาร ดังนั้น การถ่ายรูปอาหารจึงไม่รบกวนแขกเหรื่อแต่อย่างใด)

ด้านกิลส์ โคเรน ให้ความคิดเห็นไว้ว่า "พวกคนดูแลร้านอาหารให้ข้อสังเกตสองสามประการว่า เป็นการกระทำที่ไม่พึงควร ดูโง่ที่ทำลงไป ข้อแรก เพราะพวกเขาอบรมสตาร์ฟไว้ว่า ไม่ควรมีแสงเสียงเฟลชจากกล้องถ่ายรูป และข้อที่สอง การถ่ายรูปร้านอาหารสร้างความเครียดอย่างมากที่สุด สำหรับร้านอาหารเปิดใหม่ เพิ่งเริ่มเดินเตาะแตะ ว่านี่คือการมาถึงของนักวิจารณ์อาหารที่มีตั๋วใบใหญ่กว่าคนอื่นๆ สำหรับผม...ผมว่ามันน่ารังเกียจ โกรธ-ทนไม่ได้กับสิ่งซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญของการวิจารณ์อาหาร"

ทว่าก็มีบล็อกเกอร์อาหารออกมาโต้แย้งโคเรนเช่นกัน คริส โพเพิล--ฟู๊ดบล็อกเกอร์ อ้างว่า เมื่อ 2-3 ปี ที่แล้ว ที่ร้านอาหาร Tom Ilic "โคเรนนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดจากผม เชฟมาถึง พวกเขาก็กอดกัน ยืนทักทายเสียงดัง นั่นมันน่าหงุดหงิดรำคาญใจจริงๆ"

อันว่าการทำให้ธารสาธารณะกลัว กังวลในขณะรับประทานอาหารนอกบ้าน นักวิจารณ์อาหารรู้ดี ดูเหมือนว่าจะมี...หัวเราะเสียงดัง คุยออกรสรบกวนผู้อื่น ตรวจสอบรายละเอียดส่วนประกอบของอาหารทุกประการ หยาบคายกับสต๊าฟ หรือหลงลืมมารยาทประเพณีการรับประทานอาหาร

ดูเหมือนว่า การเป็นนักวิจารณ์อาหารที่สมบูรณ์แบบ เป็นงานที่ไม่เคยมีใครทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ข้อมูลจาก guardian.co.uk. WORDOFMOUTH BLOG

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น : ขุดหลุมรัก

ดรุณีนางหนึ่งผู้เพียบพร้อมด้วยความงาม--ผิวงาม ผมงาม ใบหน้างาม รูปร่างงาม มารยาทเรียบร้อย ใจบุญสุนทาน เข้าวัดทำบุญทุกวันพระ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนตระหนักถึงดรุณีนางนี้เมื่อวันวัยแรกสาวรุ่น อายุ 15 ปี

ทว่า ภายหลังอายุ 15 ปี อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อหล่อนพบความรัก หลังจากนั้นหล่อนก็พบว่าหล่อนคือผู้หญิง

ความรักเปลี่ยนโลก

ความรักหมุนโลก

โลกของหล่อนหมุนด้วยความรัก

หลุมรักหลุมแรก ผู้ขุดหลุมกับดักนี้ ไม่ใช่หล่อน ทว่าเป็นหนุ่มรุ่นหน้าตาพอใช้ได้ที่ประทับใจรูปลักษณ์ของเธอตั้งแต่เป็นเด็กสาว ทั้งยังประทับใจไมตรีที่หล่อนหยิบยื่น เขาจึงยื่นความรักมอบตอบแทน ด้วยวิธีมอบสิ่งของเป็นสื่อรักแทนใจ นานวันเข้า เมื่อเขาแน่ใจว่า หล่อนรักเขา สื่อรักแทนใจก็กลายเป็นสื่อรักแทนกาย สัมผัสทางกายสร้างความอบอุ่นให้นาง นางพบวิธีรักลึกซึ้ง นางพบความเป็นหนึ่งเดียว และพบวิธีผลิตนางอีกคน

หลุมรักหลุมที่สองและเป็นหลุมสุดท้ายที่นางใช้ฝังตัวเองตลอดกาล

หลุมรักครั้งนี้ ไม่เหมือนหลุมรักครั้งแรก หล่อนฝึกปรือวิธีทำรักมาอย่างดีแล้ว ความไร้เดียงสาแท้จริงดูเหมือนจะถูกซ่อนอยู่ไว้ลึกจนขุดไม่ถึง มีแต่หน้ากากไร้เดียงสาที่หล่อนใส่ไว้ตลอด เพื่อยืนยันว่าหล่อนเคยเป็นคนเช่นนั้น

รักครั้งสุดท้าย...หล่อนไม่ได้รักเขาหรอก หล่อนคิดเช่นนั้นเสมอมา ทว่า ในระยะแรก หล่อนช่วยเหลือเขาให้พ้นจากหลุมแห่งความเศร้า ที่เขาฝังตัวเองไว้ นางหยิบยื่นความอบอุ่นให้เขาเป็นการปลอบประโลม และดูเหมือนว่า ชีวิตของเขาเริ่มหมุนด้วยความรักอีกครั้ง นางรักเขาเพราะว่า นางสามารถทำให้เขากลับมามีความรักได้อีกครั้ง ทว่า เวลาผ่านไป หล่อนสังเกตเห็นความกล้าๆ กลัวๆ เขาพยายามวิ่งหนีหล่อน นางไม่เข้าใจ และไม่มีวันเข้าใจความรักของเขา หลังจากนั้น หล่อนใช้ความรักไล่ล่าให้เขากลับมา มันได้ผลเป็นครั้งคราว ซึ่งส่วนมากเป็นเวลาที่เขาไร้สติ อยู่ในภวังค์จิตใต้สำนึก ทั้งๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเขาต้องการหล่อน ในเวลาปรกติ มันถูกฉาบไว้ด้วยเหตุผล นางหยิบยื่นรักให้เขา และพบวิธีผลิตนางอีกคน

หลุมรักครั้งนี้จะไม่ใช่หลุมรักหลุมสุดท้ายของนางเลย หากว่านางอีกคนนั้นไม่ใช่หลุมดำที่ใครอีกคนพยายามสลัดทิ้ง

หล่อนจบชีวิตรักด้วยการขุดหลุมฝังนางอีกคนไว้ใต้ดิน

หล่อนจบชีวิตหล่อนเองด้วยการทิ้งร่างในบ่วงรัก ความงามที่หล่อนรักนักรักหนาถูกฆ่าโดยรักครั้งสุดท้าย

ร่างไร้ลมหายใจของนางฝังอยู่ในหลุมรักที่นางขุดไว้ชั่วกาล

Next Station : กรุงเทพฯ

เปิดฉาก :ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ บรรเลงเพลง Somewhere only we khow วง Kaene

ในชามก๋วยเตี๋ยวหมูของร้านที่ไม่มีชื่อร้านประกาศยี่ห้อ รสชาติสมราคาพอประทังท้อง สุรัตน์ทุบเวลาทิ้ง 10 นาที ที่นี่ เขากำลังวิเคราะห์วิจารณ์มันหมูที่ลอยล่องในชามก๋วยเตี๋ยวลายกุ๊กไก่ คำนวนค่าว่าถ้าเขาซดมันหมดชาม ขูดขอดน้ำซุปไม่เหลือหรอ ปริมาณค่าแคลอรี่ที่เขารับต่อวัน สำหรับวันนี้จะพุ่งสูงเกินกว่าร่างกายต้องการหรือไม่ แต่เมื่อคิดถึงกาแฟดำใส่น้ำตาลทรายแดงหนึ่งช้อน ก็ตระหนักว่า ไม่ควรกำจัดมันลงกระเพาะจะดีกว่า เงยหน้ามองเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว อาเจ๊ผู้ที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้หญิงเชื้อสายจีนหลายต่อหลายคนที่สุรัตน์เคยเห็น พ้นวินาทีนี้ไปสักครึ่งชั่วโมง เขาคงลืมหน้าหล่อนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากระบบความทรงจำของสุรัตน์บันทึกสัญลักษณ์จำด้วยลักษณะที่มีเอกลักษณ์ สุรัตน์จ่ายเงินค่าเสียหายที่เขากลืนกินครบถ้วน แล้วเดินสอดส่ายร้านรายทาง หากาแฟดำฆ่าเวลาอีกสัก 10 นาที คำนวนเวลารอรถไฟ ที่เจ้าหน้าที่สถานีบอกเวลาที่รถไฟเข้าชานชลาก่อนที่เขาจะออกมาหาก๋วยเตี๋ยวรองท้อง คงเหลือเวลาอีกสัก 10 นาที หลังจากที่เขาดื่มกาแฟเรียบร้อย ในกรณีที่รถไฟมาตรงเวลา ทว่า ตามสถิติแล้ว รถไฟไทยไม่เคยตรงเวลา ซึ่งถ้าจะหาสิ่งที่สะท้อนเรื่องเวลา--ตารางเวลานัดหมาย มาตรวัดที่เที่ยงตรงตามเวลาประเทศไทยที่สุด ก็คือ เวลาเดินรถรถไฟไทยนี่แหละ เวลาตามเวลามาตรฐานที่กรีนิช ใช้ไม่ได้ผลกับอะไรไทยๆ โดยเฉพาะคนไทย อย่ามองโลกในแง่ใส่สูทผูกไทใส่แว่นนัก ข้อดีของมันนั่นคือบ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นไทย

รถไฟมาช้ากว่าเวลานัดหมายตามเคยคราวนี้ช้าเป็นปรกติ 30 นาที ด้วยโบกี้ที่นั่งชั้น 3 ไม่ปรับอากาศ ไม่มีเบาะนุ่มๆ นั่นคือความสมราคา ที่แลกกับที่นั่งแข็งๆ สิบกว่าชั่วโมง เพื่อให้ถึงจุดมุ่งหมาย...กรุงเทพฯ

สุรัตน์ขึ้นมาจับจองที่นั่งทันทีที่รถไฟมาถึง คนเต็มขบวนรถด่วน เพราะช่วงเวลานี้เป็นสุดสัปดาห์สุดท้ายที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงปิดเทอมใหญ่ ดังนั้น ผู้ที่หอบหิ้วสังขาร เดินทางพร้อมสุรัตน์ส่นมากก็เป็นนักเรียนนักศึกษาต่างจังหวัด ช้างป่า ช้างเผือกทั้งหลายเคลื่อนขบวนทัพเข้าเมือง รถไฟเที่ยวนี้จึงบรรจุหัวกะทิแห่งภูมิภาคฝ่ายเหนือไว้เต็มทนาน

สุรัตน์รีบนอนหลับทันทีที่นายตรวจตั๋วเดินทางตรวจสอบความเป็นนักเดินทางถูกกฎหมายเรียบร้อยแล้ว เขานอนกุมข้าวของสำคัญ อาทิ กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือกระชับ มันถูกครอบด้วยถุงพลาสติกที่เขาซุกไว้ในเสื้อเชิ้ตทับด้วยแจ๊กเก็ต

ฝันไป...

รถโดยสารประจำทางปรับอากาศเย็นฉ่ำ เบาะนุ่ม เทียบอาเขตรถประจำทาง จังหวัดเชียงใหม่

สายสุรีย์น้องสาวสุรัตน์ หันรีหันขวางครุ่นคิดว่า หล่อนจะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยวิธีถูกที่สุดได้อย่างไร วิธีที่หล่อนถนัดที่สุดคือ ไปตามกระแสมวลชนอย่างเงียบเชียบ หล่อนเดินตามคนกลุ่มใหญ่ๆ ใครเหมารถเข้าเมือง หล่อนก็ขอพ่วงไปกับเขาด้วย หล่อนคุ้นชินกับการเป็นตัวแถม ความดาษดื่น ไร้ความโดดเด่น

เข้าเมืองเชียงใหม่โดยรถสองแถวรับจ้าง ลมเย็นๆ ตีหน้าจนผิวตึง กลิ่นเมืองเชียงใหม่คลุ้งจมูก ในเวลาเช้า ปลายฤดูร้อนเยี่ยงนี้ อากาศสดชื่นและไม่หนาวเกินไป ทว่า นั่นแหละ! คือสิ่งที่หล่อนโหยหาจากการเดินทาง เมืองมันจะดูไม่มีชีวิต ถ้าไร้ผู้คนเติบโตและพำนักอยู่

คลื่นความฝันของสุรัตน์เกิดอาการสายฟ้าแล่บ ภาพตัดมาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

ใครสักคนเดินเปิดประตูเข้ามาในห้องสีขาวโพลน เตียงขนาดสองคนนอนปูผ้าปูที่นอนคลุมด้วยผ้านวมสีขาวเรียบร้อยตามมาตรฐานโรงแรม หน้าต่างบานกระจกขนาดใหญ่มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกชัดเจน ใครสักคนล้มตัวนอนบนเตียงขาวฟูนุ่มน่าสัมผัส อะไรสักอย่างหล่นทับใครสักคนเข้าเต็มร่าง ใครสักคนทับซ้อนกับอะไรสักอย่าง

ภาพจางลง
ตัดภาพมาที่ห้องน้ำ

อ่างอาบน้ำบรรจุน้ำร้อนครึ่งอ่างเตรียมรอให้ใครสักคนจุ่มร่าง ถอดรูปเงาะ ใส่ชุดเกราะสาวเซ็กซี่ ใครสักคนกลมกลืนไปกับอะไรสักอย่างในอ่างน้ำร้อน จากนั้นก็มีแสงเรืองๆ กระพริบปริบๆ ปิดๆ เปิดๆ ติดตัวอะไรสักอย่าง (หรือว่าใครสักคนแต่เดิม) เรื่อยมา

คลื่นความฝันของสุรัตน์ตัดภาพมาที่สายสุรีย์ที่กำลังเขมือบของดองและอาหารจิ้มเข้าปากในกาดวโรรสและโดยรอบบริเวณกาดนัดข้างๆ อย่างไม่เกรงกลัวพิษร้ายพิษรักในอาหาร หล่อนเป็นคนเช่นนี้แหละ มันทำให้สุรัตน์เหน็ดเหนื่อยกับการดูแลน้องสาวผู้บำบัดอารมณ์ด้วยอาหารการกิน โดยไม่เลือกหน้าผู้ที่หยิบยื่นให้ พี่ชายเคยบอกน้องสาวว่า ฮ่องเต้หรือกษัตริย์สมัยก่อนถูกโค่นราชบัลลังก์ด้วยยาพิษที่เคล้ามากับอาหารทั้งนั้น กระนั้นสายสุรีย์ยังดื้อรั้นกินอาหารไม่เลือกเสมอ หล่อยเคยบอกสุรัตน์ว่า หล่อนเป็นบุคคลไม่สำคัญของโลก ไม่มีใครสนใจหล่อนหรอก และเพราะอาหารมันพูดไม่ได้ ทว่ามันสร้างความพึงพอใจให้หล่อนได้ นั่นมันยิ่งทวีคูนความพึงพอใจ

รถไฟเทียบชานชลาแถวบึงบอระเพ็ด คงเป็นเพราะสายสุรีย์แน่ๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจในฝันให้สุรัตน์นึกถึงผัดไทรถไฟอุตรดิตถ์ ราคา 10 บาท เท่านั้น สุรัตน์รับบริการจากคนขาย 1 ห่อใบตอง เขาว่ามันเพียงพอที่จะทำให้เขาหลับยาว ลืมความปวดเมื่อย ขบกระดูกสันหลัง จนถึงกรุงเทพฯ

หลังจากกลั้วปากด้วยน้ำดื่มที่เหลือแล้ว เขาก็จงใจหลับ โดยบังคับให้ตัวเองไม่ฝัน เพราะความฝัน มันทำให้พลังชีวิตของเขาถดถอย ราคาค่างวดของความฝัน ไม่ใช่ดึงชีวิตให้ไม่เป็นชีวิต ทว่ามันสร้างชีวิตขึ้นใหม่ ทิ่มหัวปิรามิด เป็นปิรามิดหัวหลับ โดยเฉพาะในฝัน

สุรัตน์อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เขาอธิบายไม่ถูก นั่นเพราะว่า มันคือความฝันแน่ๆ

ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกและควัน สุรัตน์พยายามบังคับตัวเองอีกครั้ง ไม่ให้สายสุรีย์เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เพราะคิดว่า น้องคงสำลักควันพิษจุกอกตั้งแต่ 5 นาทีแรก คราวนี้เขาทำสำเร็จ เพราะความฝันไม่เข้มแข็งพอที่จะลากสายสุรีย์มาดินแดนแห่งนี้ได้ สุรัตน์จัดการอย่างไรกับหมอกหนาและควันพิษ เขาใช้ไม้ตายที่เรียกว่า "ในอดีตของใครต่อใคร" ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของสุรัตน์ที่รื้อค้นอดีตของความฝันได้ เขาจัดการหมอกและควันในดินแดนแห่งความฝันด้วยเงาแห่งอดีต ซึ่งไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่มี ใครหลายคนขันอาสาร่วมด้วยช่วยกัน ตบเท้าเข้ามาดูดพิษจากความฝันเสียเกลี้ยงเกลา โดยที่ไม่ต้องใช้อาสาสมัครจนครบคน ชะรอยว่า สุรัตน์ยังมีบุญติดร่างอยู่บ้าง

เขาเดินล่องไปในดินแดนแห่งนี้ เพื่อช่วยเหลือซากคนที่ติดอยู่ เป็นการปลดปล่อยพันธนาการที่รั้งตรึง ในฝันนั้นสุรัตน์พบว่ามันเนิ่นนานเหลือกำลัง ทว่ามันเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เขา พ้นจากวงเวียนแห่งนี้

รถไฟเคลื่อนขบวนมาถึงสถานีดอนเมือง สุรัตน์สะดุ้งตื่นจากอาการวนเวียนในความฝันชั่วคราว

--จบ--
ภาพก่อนสุดท้าย--กล้องถอยหลังห่างจากสุรัตน์ไปยังท้ายขบวน ภาพสุดท้าย จบตรงที่รางรถไฟที่มีรถยนต์วิ่งตัดผ่าน
ดนตรีบรรเลงเพลงความเชื่อ ของบอดี้สแลม ฟีซเจอริ่งโดย แอ๊ด คาราบาว

Poetry : อาตมัน & You betray me

อาตมัน

วงกลมแห่งทุกข์แท้ใครสร้างพันผูก
ผิดถูกใครคาดโทษทุกข์เวทนา
ตัวเองไม่รักตัวเองชังแช่งนักหนา
กายในกายาจิตมั่นประคองคง

แท้จริงอาตมันคือบ่วงแห่งความหลง
หลงคิดหลงรู้หลงว่าเป็นหลงในหลง
หลงทางหลงผิดหลงทั้งรู้ว่าคือหลง
เมื่อหมดหลงเช่นหมดลมลมอาตมัน

You betray me!

ตัวตั้งตัวตัวตนตัวโต
ตัวแตกต่างโต้ตอบโต้ต่างตน
ต่างโต้ตอบใต้ตนต่ำตน
ตดต่างตนต่ำต้อยตันติดตม

มาแล้ว! ร็อกเกอร์แห่งวงการนักเขียนอาหาร


Medium Raw : A Bloody Valentine to the World of Food and the People who Cook
โดย แอนโธนี เบอร์เดน
304 หน้า
สำนักพิมพ์บลูมส์บูลี่


เป็นเวลาสิบปีแล้วที่คิตเช่น คอนฟิเดนเชียล ของแอนโธนี เบอร์เดน เขย่าวงการอาหารสั่นคลอน ด้วยหนังสืออาหารในรูปแบบที่ไม่มีใครเขียนมาก่อน และมันก็เป็นหนังสือเล่มที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเขารวบรวมเศษเสี้ยวชีวิตเชฟในนิวยอร์ก ทั้งที่ เลย์ ฮอล์ส หรือ ซัปเปอร์ คลับ อ่านแล้วคล้ายกับไปทัวร์ของวงเดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ ที่ตระเวนเปิดการแสดงในปี 1972 เขาบรรยายชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดันสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยร้อยแก้วมุกตลกหยาบโลน ทำงานเหนื่อยเหงื่อหยดแหมะ เลือดตกยางออก พิมพ์ลายนิ้วมือ ดื่มหนักทั้งคืนกับคนทำงานในครัว ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อใช้ชีวิตจริงๆ เปิดให้ผู้อ่านเห็นโลกของการเป็นเชฟ ที่หนักหน่วง ไม่ได้สวยหรู เหมือนมาร์ธา สจ๊วต บนหน้าจอโทรทัศน์ ผู้อ่านจึงร่วมความรู้สึกไปพร้อมๆ กับข้อเขียนของเขา กับกลุ่มแก๊งค์คนทำอาหารที่เท่ ดิบเถื่อนได้ใจ (คล้ายวงการมาเฟียยังไงยังงั้น)

วันนี้หนังสือเล่มใหม่ของเขา "Medium Raw" (ระหว่างนี้ เขาก็เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม) ทว่าไม่มีเล่มใดที่ดำเนินรอยตาม คิตเช่น คอนฟิเดนเชียล เล่มนี้ดูจะคล้ายคลึงมากที่สุด แม้ว่าแตกต่างในรายละเอียด กล่าวคือ เบอร์เดนอายุ 50 ปี แล้ว เลิกยา เป็นพ่อคน ความเฮี้ยนๆ ของเขาสลายไปหมด แม้ว่าภาษายังคงความดิบไว้ ทว่าขอบเขตทางภาษา ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความมันส์-ห้าว เชื่อมต่อเนื่อง เหมือนคิตเช่น คอนฟิเดนเชียล จึงไม่ถือเป็นหนังสือภาคต่อมาทั้งหมดทั้งปวง

มีเดียมรอว์ ดูเหมือนมีความหลากหลายด้านรูปแบบการนำเสนอ เบอร์เดนสอดแทรกตัวเขาเข้าไปในหลายๆ แขนงในวงการอาหาร ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับตำแหน่งของเขาด้วยความระมัดระวัง ให้นิยามตัวเองว่า เป็นอะไรและไม่ได้เป็นอะไร ถ้าสิ่งไหนที่เขาทำไม่ได้ ก็จะอธิบายอย่างกระจ่างชัด พอๆ กับสิ่งที่เขาเป็น ทว่าสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในบรรดาข้อเท็จจริงทั้งหมด นั่นคือ เบอร์เดนไม่ได้ประกอบอาชีพเชฟมืออาชีพอีกต่อไปแล้ว ทว่ากลับเป็นนักเขียนอาหารมืออาชีพแทน เพราะตั้งแต่แขวนชุดขาวเพื่อท่องโลก (เขาเรียกตัวเองว่า "Freaky" แปลว่า แปลกและน่าสะพรึง) แล้วคิตเช่น คอนฟิเดนเชียล ก็ประสบผลสำเร็จ นั่นเพราะเขาใช้ชีวิตโชกเชี่ยวประสบการณ์ในครัว

ในเนื้อหาสาระที่มีเดียม รอว์ เสนอ เบอร์เดนไม่ได้อยู่ในวินัยเชฟอีกต่อไป กลับไปอยู่ในจอแก้ว รื้อโครงสร้างรายการอาหารแบบเก่าๆ ที่ดูปลอมๆ เสียกระจุย (เขาเคยกล่าวไว้ ในคิตเช่น คอนฟิเดนเชียล ชิ้นเนื้อของเขาที่คอยห่วงนิ้วของเพื่อนร่วมงานว่าจะโดนไฟลวกหรือไม่ หรือ "อย่าแตะจู๋ของผม แล้วก็อย่าแตะมีดของผม" หรือ ความเกลียดพวกมังสวิรัติเป็นการส่วนตัว)ทว่า เขาอธิบายวงจรความโง่สุดๆ ของ Food Network (ช่องรายการอาหารชื่อดังของสหรัฐอเมริกา) หรือ ข้อเท็จจริงเรื่องการต่อสัญญา ของราเชล เรย์ เบอร์เดนเล่าเรื่องวงการอาหารและวงการนักเขียนอาหาร และการเป็นนักเขียนอาหารได้อย่างเข้าอกเข้าใจ คาดว่าอีกไม่นานก็คงมีฉบับแปลเป็นภาษาไทยตามมา เหมือนเช่นคิตเช่น คอนฟิเดนเชียล

เรื่องสั้น : ร้องไห้ทำไม???

ดิฉันเป็นคนหนึ่งค่ะ ที่ไม่ชอบเขียนเรื่องตัวเองออกอากาศ

ไมมีวันหรอกค่ะ ที่ใครจะรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ชอบ/ไม่ชอบอะไร ผ่านสิ่งที่ดิฉันเขียน เคยได้ยินหรือเปล่าคะว่า...คนที่โกหกที่สุดในโลกนั่นก็คือ...ใช่แล้วค่ะ! ดิฉันคิดว่าเออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ โกหกเก่งและแนบเนียนที่สุดในโลก

ในงานเขียน, คุณจะเป็นคนต่ำต้อยด้อยค่าไร้ราคาหรือสูงส่งคนเอื้อมไม่ถึงแค่ไหนก็ได้ ใครจะว่าคุณ? หรือใครว่า จำเป็นต้องสนใจนักหรือ?

ถ้างานเขียนนั้นจัดเป็นฟิกชั่น หรือว่าจะเป็นสารคดี คุณก็สามารถเป็นใครก็ได้ ตราบใดที่คุณให้ข้อเท็จจริงกับคนอ่าน ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ ก็ใช้นามแฝงซะก็หมดเรื่อง ใส่หน้ากากป้องกันชีวิตส่วนตัวของคุณไว้ ในเมื่อคุณไม่ใช่นักเขียนที่ห้าวหาญ มีความรับผิดชอบ มีจุดยืน มีตัวตน เปิดเผยต่อสังคมสาธารณะ

ในตรรกะที่ว่า ดิฉันจึงจัดเป็นนักเขียนที่หดหัวอยู่ในกระดอง มีจุดยืนในความไม่มีจุดยืน ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะดิฉันเป็นนักเขียนนะคะ ไม่ใช่พ่อแม่ของคุณคุณ แล้วคุณก็ไม่ใช่เด็กอายุแปดขวบที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่มีตัวตน เพราะงานเขียนของดิฉันจัดอยู่ในประเภทปล่อยผีร้ายในตัว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันให้คุณได้คือ รสชาติ คล้ายกับว่าคุณเสพภาพยนตร์ การ์ตูน และที่สำคัญ ดิฉันยังเชื่ออีกว่านักเขียนบางคนไม่จำเป็นต้องเป็นดารา ไม่เห็นต้องเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนรัก ดิฉันแสดงผลงาน ไม่ได้ขายหน้าตา ถ้าขายหน้าตา ก็ขายอย่างที่เราเป็น ไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมในแบบที่พวกคุณชอบ (เชื่อว่าการศัลยกรรมเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมป๊อป ดิฉันขออยู่ในกลุ่มคัลต์ (กรณีที่สักวันมันจะดังน่ะนะ แต่ตอนนี้คงโดนเตะไปอยู่ในกระด้งนักเขียนอัลเทอร์เนทีฟก่อน) ในกรณีที่ต้องจัดวางสถานะของตัวเอง ดิฉันเลือกคนที่ชอบดิฉันด้วยวิธีนี้สะดวกใจกว่า)

เอาล่ะค่ะ! มาถึงบรรทัดนี้ ดิฉันขอร่ำไห้ (ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่า ดิฉันเสียใจ หรือว่าโกหกตอแหล) น้ำตาดิฉันก็ไหลพรากๆ เสียแล้ว ดิฉันอยากจะนั่งรถด่วนย้อนเวลาไปถามฟรอยด์ ไม่ก็คาร์ล จุง ถามว่าทำไม พวกท่านถึงไม่วิจัยเรื่องจิตใต้สำนึกในงานศิลปะบ้าง มัววุ่นอยู่กับความฝันยามหลับใหล ทั้งๆ ที่จิตใต้สำนึกยามตื่นน่าสนใจกว่ากันเยอะ ฟรอยด์จะจัดงานศิลปะไร้โครงสร้างไว้อยู่ในกลุ่มเดียวกับมโนสำนึกของคนยามหลับฝันหรือเปล่าคะ (ถ้ามันไม่ผ่านกระบวนการดัดจริต ตัดเล็มเสียเรียบร้อย) คุณลุงจุงคะ เวลาที่คนเราคิดโดยที่ไม่พูดออกมาเป็นกระสายๆ ทั้งๆ ที่ยังตื่น มันคงไม่จัดเป็นจินตนาการนะคะ และมันก็คงไม่ได้เป็นความฝันด้วย อยากให้คุณลุงจุงศึกษาประวัติศาสตร์จิตใต้สำนึกยามตื่นค่ะ ดิฉันขอคุณช้าเกินไปใช่ไหมคะ

ดิฉันสะอึกสะอื้น ไร้วี่แววคนมองเห็น ทางพระ, ท่านว่ากระบวนการร้องไห้นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ เพราะคุณต้องรื้อความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งปวง มานั่งใคร่ครวญ บังคับเพ่ง ให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเศร้าโศกเสียใจ ยิ่งร้องไห้หนักหน่วงเป็นเวลานาน นั่นแสดงว่า คุณมีสมาธิในการทำให้อยู่ในสภาวะใจเสียได้ดีเยี่ยม

ยันขั้วความคิดนั้นให้อยู่ฝั่งตรงข้ามความรู้สึกได้เลย ดิฉันกำลังมีความสุขอยู่ มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกข์ไม่เคยบังเกิดกับคนที่ไม่คิดว่าปัญหาคือตัวทุกข์ มองว่าดิฉันมองโลกในแง่ดีหรือเปล่าคะ ไม่เลยค่ะ ถ้าดิฉันจัดเป็นคนประเภทนั้น ป่านนี้คุณคงได้อ่านเรื่อง นกผู้อิสระกระพือปีกหักๆ ของมัน แล้วบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าเวหาในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ท้องฟ้าสีครามผู้ที่คิดว่าท้องฟ้าสีเทาหม่นเศร้า สวยไม่เท่า แต่เราก็เป็นเพื่อนกัน อึ่ม! ดูเป็นคนดีเนอะ ท้องทะเลงามอยากรู้จักภูเขาเขียวขจี เด็กที่มีรอยยิ้มเปื้อนทะเลคลั่งบนใบหน้าวิ่งไล่ฆ่าตั๊กแตนอย่างมีความสุข ทุกตัวอักษรช่างดูอารมณ์ดี มองอะไรตาวาวไปหมด (แต่อย่างว่าคนที่เขียนเช่นนั้นได้ มีใครรับประกันหรือเปล่าว่ารู้สึกคิดอย่างนั้นจริงๆ--ข้อสันนิษฐานแรก เขาเขียนเช่นนั้นเพื่อที่เขาจะสะท้อนตัวอักษรเพื่อจัดกลุ่มประเภทงานเขียนหรือเปล่า--ข้อสันนิษฐานที่สอง มันเหนื่อยมากไหมกับการต้องแสดงออกแบบมีความรักความปรารถนาดีเหลือเฟือ--ข้อสันนิษฐานที่สาม เขาทำใจอย่างไร ให้มองว่า อะไรก็ดี อะไรก็สวยไปหมด--ข้อสันนิษฐานที่สี่ หรือว่าเขาเป็นคนขี้โกหกแบบดิฉัน--ข้อสันนิษฐานที่ห้า)

คราวนี้ก็รู้แล้วนะคะว่า ร้องไห้ทำไม

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Cutting Edge's Softer Side



ศูนย์กลางสินค้ามีดีไซน์ เหมือนที่ปารีสและลอนดอนก็คือเมืองใหญ่ต่างๆ ในสแกนดิเนเวีย รู้เช่นกันดีว่า เบลเยี่ยม มีสินค้าตกแต่งภายในสวยงามไม่แพ้ที่ไหนในยุโรป ทว่า นักช้อปตระหนักว่า จะพบร้านรวมสินค้าดีไซน์ (เบลเยี่ยมเฟอร์นิเจอร์) ที่อยู่แถวหน้าสินค้าหรูหราแบบไม่ตั้งใจเกิน (Rough Luxe)งานโมเดิร์นที่รูปทรงมีเหลี่ยมมีมุมแบบมินิมัลลิสต์ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติและเบาบาง หรือไม่ก็เป็นชิ้นงานโลหะ ดีไซเนอร์ชาวเบลเยี่ยมค้นพบรูปทรงต่างๆ ที่ดูสวยเปล่งประกาย โดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ลินิน ไม้และหิน ด้วยท่วงสีเอิร์ธโทน เช่น สีเทา สีเบจและขาว ดูเท่ ไม่รก ไม่มีปล่องควัน หม่นเย็น ทึมเทา--เห็นได้บ่อยครั้งจากงานดีไซน์ของอิตาลี จึงถูกกล่าวว่ามันเป็นงานที่ "จริง ดูแข็งๆ ทว่าสะดวกสบาย"

สไตล์นั้นสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเบลเยี่ยม บ้านแบบเบลเยี่ยมดั้งเดิม บ่อยครั้งเป็นบ้านที่สร้าด้วยกแถวหิน บ้างถูกทำขึ้นมาใหม่ด้วยการผสมผสานที่ก่อขึ้นไม่ให้รกรุงรัง ตกแต่งด้วยของโบราณ อัลลอยและแก้ว ความโอ่อ่าสง่างามนั้นผสมผสานด้วยสิ่งที่สมดุลระหว่างธรรมเนียมประเพณี เข้ากับดีไซน์มีเหลี่ยมมีมุม ด้วยรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของบ้าน รู้กันดีว่าเบลเยี่ยมเป็นประเทศที่บ้านเรือนดูดี สะดวกสบาย หรูหรา ทว่าไม่ชอบโชว์ คงทน สวยงามไร้กาลเวลา ทว่าศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงงานศิลปะแบบเซอร์เรียลิสต์ น่าดูชมสำหรับคนที่ชื่นชอบงานอาวองการ์ด ดีไซเนอร์ดาวเด่นก็มี Ann Demeulemeester และ Dries Van Noten งานทดลองของพวกเขาน่าใช้ ประณีตประดิด และราคาสมเหตุสมผล ทั้งยังราคาถูกกว่าในฝรั่งเศสและอิตาลี ที่เบลเยี่ยมไม่มีอะไรหรูหราฟู่ฟ่า ไปเร็ว-มาเร็ว วิธีดีไซน์ก็มาจากตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ออกไปหาไอเดียใหม่ๆ ข้านอก และลองทำสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้น งานดีไซน์ที่ดีที่สุด ถูกรวบรวมชิ้นงานอยู่ในร้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลาง Antwerp เมืองท่าเรือ ห่างประมาณ 40 กิโลเมตร จากทางเหนือของบรัสเซลส์ ที่นี่มารถกาชิ้นงานดีๆ ได้หลายหลาก ทั้งงานโมเดิร์นดีไซน์และของโบราณจากศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 20 คุณภาพคับแก้ว ราคาสมเหตุสมผลซึ่งแต่เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นศูนย์กลางงานผ้าตั้งแต่ยุคกลาง และขายเฟอร์นิเจอร์ทำมือ ตัดแต่งเรียบร้อย

คลิ๊กกเข้าไปชมสินค้าตบแต่งภายในที่อยู่ใจกลางเมือง Antwarp ได้ที่

www.axel-vervoordt.com

www.vincentvanduysen.com

www.kaaidesign.be

www.divani.be

www.donum.be

www.magazyn.be

www.obumex.be

www.flamant.com

www.libecohomestores.com

www.barbara-antiques.com

www.63kloosterstraat.com

www.fulleffect.be

www.feldd.be

Subjective--Commune to Living



Ulysses and Us : The Art of Everyday Living
โดย ดีเคลน คีเบิร์ด
399 หน้า
สำนักพิมพ์ ฟาเบอร์


นวนิยายทดลองโดยใช้ถนนต่างๆ ในดับลิน และวันบลูมส์เดย์ที่ผู้คนเฉลิมฉลองให้กับนวนิยายเล่มคลาสสิกของจอยซ์ ที่ติดตริงอยู่ในใจ นั่นคือ "Ulysses" (1922) วรรณกรรมโมเดิร์นนิสต์ชิ้นเอก เฉกเช่น หนังสือเล่มสำคัญของโลกเล่มอื่นๆ "Remembrance of Things Past" ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส--มาร์เซล พรุสต์ หรือจะเป็น "The Man Without Qualities" ของโรเบิร์ต มูซิล ทว่า บริบทแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ก็อ้างชีวิตในเมืองซึ่งเป็นฉากเบื้องหลัง วันที่ตั้งเป็นโอกาสพิเศษเพื่อการรำลึกกถึงจอยซ์ 16 มิถุนายน หรือวันบลูมส์เดย์--วันที่หนังสือเกิดในปี 1904 งานเลี้ยงเฉลิมฉลองเกิดขึ้นจาก เมื่อลีโอพอล์ด บลูม และ สตีเฟน ดีคาลูส นั่งอยู่ด้วยกัน หลังจากรับประทานขนมปังโรล เคล้าจิบกาแฟ แล้วใครสักคนก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ทำสิ่งนั้นในความทรงจำของฉัน" โดยทุกปีการเติบโตของวัฒนธรรมคัลต์ (หนังสือ หนัง งานเศิลป์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากเฉพาะกลุ่ม) เพิ่มขึ้น มันจึงเกิดถนนแห่งการเฉลิมฉลอง ในวันเฉลิมฉลองคนดับลินจะแต่งตัวเลียนแบบตัวละครในหนังสือ ราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นเต็มใจที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในข้อความในนิยาย พวกเขาแสดงละครในฉากต่างๆ (ในถนนเอ็กเซิลส์ ออร์มอนด์ เควย์ และตึกมาร์คาลโลของแซนดี้โคฟ) เพื่อสะท้อนชีวิตในเมืองนี้ในนิยาย

หนังสือเล่มนี้พาท่านเข้าสู่โลกของจอยซ์ด้วยนวนิยาย ซึ่งหลักๆ แล้วก็คือการเดินเล่นตามท้องถนน การกิน จิบชา และเรื่องการใช้ชีวิตในครอบครัวซึ่งไม่ค่อยจะมีความสุข ซึ่งคล้ายกับว่าเหมือนใช้ชีวิตเช่นที่จอยซ์เคยเป็นและเคยอยู่ โดยเฉพาะเอ่ยถึงวันบลูมส์เดย์

จอยซ์เคยอาศัยในปารีส ซึ่งมีกลุ่มคนผู้นิยมสัจจนิยมที่อยู่ในย่านเดียวกับจอยซ์ ผู้ซึ่งเติบโตมากับกลุ่มคนที่เป็นคาทอลิก (ทว่าศาสนาของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความเป็นสาธารณะ ความเชื่อของมวลชน และกลุ่มคนที่เป็นคาทอลิก)ขณะที่จอยซ์อยู่ในขั้วตรงข้ามกับความคิดนั้นๆ โดยงานชิ้นนี้พยายามที่จะรื้อฟื้นบรรยากาศเมืองดับลินเพื่อที่จะเชื่อมต่อความรู้สึกที่หายไป ถึงแม้ว่ายูลิสซิส เป็นหนังสือที่ว่าด้วยความเป็นปัจเจกชนและเขียนโดยเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ทว่าฉากในนวนิยายของเขาก็มีสถานที่สำคัญเป็นฉากหลังมากมาย ทั้งห้องสมุด บาร์ หลุมฝังศพ และถนนสายสำคัญๆ นั่นคือกระบวนวิธีและสไตล์การเขียนที่จอยซ์เป็นผู้บุกเบิก

เหล่าตัวละครของจอยซ์นิยมชมชอบเหตุบังเอิญตามท้องถนน การพบกันโดยไม่คาดฝัน และเสนอแก่นเรื่องด้วยฉากต่างๆ ที่ภายหลังประสบความสำเร็จในใจคน นั่นคือ การที่เขามอง "คนบนท้องถนน" จอยซ์มองพวกเขาในพื้นฐานทางวรรณกรรม บลูมส์เดย์เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการแสดงความเศร้าเสียใจในช่วงเวลาที่เมืองดับลินอบอวลไปด้วยความรู้สึกในขณะที่เป็นเมืองแห่งความใกล้ชิดผูกพัน

หากกล่าวว่าหนังสือเรื่อง Ulysses and Us : The Art of Everyday Living เป็นความไม่ปรกติในประวัติศาสตร์โมเดิร์นนิสต์ คงไม่เกินจริงนัก เพราะว่ามันเป็นความกลมกลืนระหว่างพวกโบฮีเมียนและพวกกระฎุมพี บรรยากาศในหนังสือบอกว่าพวกบลูมเป็นพวกที่พูดถึงปัญหา ใคร่ครวญคร่ำครวญผ่านการสนทนาในเวลาน้ำชา จิบช็อกโกแลตคาคาว ตามหลักฐานที่กล่าวอ้างไว้ ในทุกวันเท่าที่จะเป็นไปได้ จอยซ์สอนเรื่องที่เกี่ยวกับโลก : วิธีการจัดการกับความเศร้าโศกเสียใจและความสูญเสีย วิธีที่จะเล่าเรื่องตลก และตอนไหน-อย่างไรที่ไม่ควรเล่า วิธีที่เป็นคนจริงใจกับความตายแห่งยุสมัยแห่งการลวง วิธีที่จะเดินไปและคิดไปในเวลาเดียวกัน วิธีที่จะต่อต้านวิธีคิดเรื่องเพศของความเป็นเจ้าของ และวิถีหนทางการดำรงงชีวิต อาหารการกินของผู้คนซึ่งบอกได้ว่าพวกเขาเป็นใคร

ก่อนยุคของจอยซ์ ไม่มีนักเขียนนิยายคนใดใช้ฉากเบื้องหน้า อธิบายกระบวนการความคิด งานบทละครของเช็คสเปียร์ และนวนิยายในศตวรรษที่ 19 เป็นงานที่คนชั้นสูงใคร่ครวญถึงแต่ความตายและการฆ่าตัวตาย จอยซ์เป็นผู้บุกเบิกงานที่ตระหนักถึงคนทั่วไป ชิ้นงานไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าการนั่งดื่มชา ซึ่งเขาเขย่าความคิดผู้คนด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ทว่าเขาไม่เคยทำอะไรที่ผิดปรกติเกินคนธรรมดาเป็น เมื่อเหล่าบรรดาแฟนๆ ของเขาร้องขอจูบมือที่เขาเขียนยูลิสซีส จอยซ์กลับหัวเราะและบอกว่า "ไม่ได้หรอก มือนั่นน่ะ ทำอะไรมานักต่อนักแล้ว"

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้นขายหัวเราะ

เรื่องสั้นขายหัวเราะ 1

บทละครเวทีของเด็กมัธยมต้น

ตัวแสดง 1 : เธอว่าการขโมยมีกี่แบบ
ตัวแสดง 2 : อะไรก็ได้ที่ไปเอาของของเขามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตัวแสดง 3 : แล้วไอ้ที่เรียกว่าขโมยหน้าด้านๆ ล่ะ
ตัวแสดง 1 : อันนี้ต้องถามผู้เชี่ยวชาญ
ตัวแสดง 2 : ผู้เชี่ยวชาญอะไร?
ตัวแสดง 3 : ผู้เชี่ยวชาญด้านขโมย

เรื่องสั้นขายหัวเราะ 2

ความเป็นไปได้

จ๊อด : คนเรามีสิทธิความจำเสื่อมไหม?
หมอ : ได้สิ
จ๊อด : แล้วต้องทำไง
หมอ : โง่ไง แค่โง่ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว

เรื่องสั้นขายหัวเราะ 3

โชคชะตา

พระเจ้า 1 : เชื่อในเรื่องโชคชะตาไหม?
พระเจ้า 2 : ไม่เชื่อ
พระเจ้า 3 : ก็ดีแล้ว
พระเจ้า 1 : ทำไมเหรอ
พระเจ้า 3 : ก็จะได้ไม่ทั้งซวยและไม่ทั้งโชคดีไง

Louise Bourgeois



หลุยส์ บูร์ชัวส์ เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เสียชีวิตในวัย 98 ปี เมื่อถามเกี่ยวกับอิทธิพลของศิลปินท่านอื่นๆ ในผลงานของเธอ บูร์ชัวส์ไม่เคยอ้างอิงถึงทว่ากลับอ้างถึง แม่ผู้พิการ พ่อผู้จริงใจและซื่อสัตย์ และเครูสอนภาษาอังกฤษ โดยบรรยายครั้นเมื่อหล่อนอยู่ในช่วงชีวิตวัยเด็ก และโรเบิร์ต โกล์ดวอเตอร์ สามีของบูร์ชัวส์ เหตุการณ์แปลกๆ ในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม คนแรก "Michel" รับเลี้ยงหลังจากแต่งงานไม่กี่เดือน หลังจากนันก็รับเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกสองคน "Alaind" และ "Jean-Louis" บูร์ชัวส์พูดถึงพวกเขาในงานเล็กน้อย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั่วโลกเชื่ออย่างง่ายดายว่าผลงานของเธอ..."ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากช่วงชีวิตในวัยเด็กที่เจ็บปวด" นั่นคือผลงานที่ชื่อ "maman" หล่อนสร้างงานชิ้นนี้เพื่ออธิบายบางสิ่งบางอย่าง ตั้งแต่ยุคไนน์ตี้ต้นๆ อธิบายผลงานได้ว่า "รูปปั้นของเธอถูกปั้นจากประสบการณ์อันเลวร้าย" บูร์ชัวร์ พูดไว้ว่า "ถ้าคุณละทิ้งอดีตไม่ได้ คุณควรจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ ปั้นรูปปั้นซะ" นั่นคือ...ถ้างานของหล่อนไม่ได้อธิบายตนเอง พวกเราก็ไม่มีทางรู้ถึงอัจฉริยภาพแห่งการสร้างสรรค์ของเธอได้เลย

ธีมงานที่ดีของเธอถูกวางไว้ให้เป็นงานเล่าเรื่องซึ่งผลิตงานด้วยตัวมันเองมากเท่าที่จะมากได้ สิ่งซึ่งบอกว่าบูร์ชัวส์เป็นคนไม่โกหกและจริงใจคือ เธอสร้างเหตุผลที่น่าเชื่อและการตัดสินใจที่น่าเคารพว่า ; ถ้างานของหล่อนถูกทำให้ลดลง โดยยุคอันรุ่งโรจน์ของนักเขียนประวัติศาสตร์กรณีศึกษารายบุคคล ด้วยชิ้นงานและหลักฐาน ตัวกรณีศึกษาทางประวัติศาสตร์นั่นแหละ ก็เป็นงานศิลป์ หล่อนควรจัดการผลงานด้วยบริบทของหล่อนเอง

บ่อยครั้งที่หล่อนต้องการรวบรวมผลงาน ก่อนที่หล่อนจะกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ถูกบันทึกว่า แสดงผลงานทั้งหมดที่ Museum of Modern Art ในนิวยอร์ก เมื่อปี 1982 หล่อนก็อายุปาเข้าไป 71 ปี แล้ว จำนวนผลงานทั้งหมด บางชิ้นเพิ่มรายละเอียด และบางชิ้นก็ถูกทำให้ง่ายขึ้น ตามวันปีที่ผ่าน มันเป็นปี 1982 ที่เจ้าของแกลอรี่ที่ฝีมือยังไม่เก๋าJerry Gorovoy เลิกทำงานของเขาที่ Sisney Janis Gollery เพื่อที่จะมาเป็นผู้ช่วยและผู้จัดการของบูร์ชัวร์ เขายังคงมีส่วนร่วมกับ Studio Louise Bourgeois ถึง 28 ปี เขาต้องทำงานโปรดักชั่นด้านเทคนิคมากมาย ซึ่งผลิต Maman เวอร์ชั่นต่างๆ หลายรูปแบบ ให้แกลอรี่ทั่วโลก น้อยคนจะรู้ว่าในปี 1993 Gorovoy เป็นแบบให้สำหรับ The Arch of Hysteria

ในตอนที่โรเบิร์ต โกล์ดวอเตอร์ อายุ 31 ปี พบกับหลุยส์ บูร์ชัวส์ผู้อายุ 27 ปี ในปารีส ปี 1937 โกล์ด วอเตอร์เป็นศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ที่มหาวิทยาลัยสเต็ต ออฟ นิวยอร์ก และเพื่อนสนิทของ Clement Greenberg และ Alfred H Barr ผู้ก่อตั้งและผู้ควบคุม ของ The Museum of Midern Art

บูร์ชัวร์จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และเป็นนักเรียนเพอพิชัวร์ อาร์ต (ศิลปะการแสดงต่อเนื่อง)เมื่อหล่อนแต่งงานกับโกล์ด วอเตอร์ ก็เดินทางไปพักกับสามีที่นิวยอร์ก หล่อนเริ่มงาน The Centre of the American Art Establishment ในปี 1941 บาร์ (เพื่อนของหล่อน)ชักจูงนายทุนซื้อรูปปั้นของเธอ (Quarantania for Moma) และในปี 1969 มันถูกแสดงเป็นภาพใน "What Is Modern Sculpture" ของ โกล์ด วอเตอร์

หลังจากนั้นบูร์ชัวร์แสดงชิ้นงานที่เล่าเรื่องความรู้สึกในอดีต เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ศิลปะ ในชิ้นงานแสดงที่เรียกว่า "Confrontation" (1978) แต่ความสัมพันธ์ของหล่อนกับสามีผู้ทรงภูมิรู้ ผู้เป็นเคียวเรเตอร์งานศิลปะยุคแรกๆ ให้ Rockefeller (ที่ไม่เพียงแค่อนุญาตให้หล่อนจัดการงานที่มีเสน่ห์สร้างสรรค์มากที่สุดเท่าที่เคยทำโดยมือมนุษย์)งานนี้เขายังนำให้หล่อนไปสู่ความใกล้ชิด ร่วมงานกับศิลปินในยุโรป เช่น Marx Ernst, Marcel Duchamp, Andre Beton และ Joan Mire หล่อนเคยบอกว่า เกลียดพวกเขา เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็น "บิดาแห่งรูปร่าง" หล่อนยอมรับบางครั้งว่า ไม่ได้รับอิทธิพลอะไรจากงานเหล่านั้นเลย

แม้ว่า การฝึกฝนด้านศิลปะของบูร์ชัวร์ถูกเข้าใจว่ไม่ได้เป็นงานที่มีความคิดต่อเนื่องจากธรรมเนียมของเพศชาย และปฏิกิริยาการต่อต้านธรรมเนียมเพศชาย และหล่อนถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ของเหล่าเฟมินิสต์ หล่อนปฏิเสธ บอกว่ามันไม่ใช่อะไรใหม่นักหรอก "ฉันโชคดีที่ถูกเลี้ยงโดยแม่ของฉันผู้ซึ่งเป็นเฟมินิสต์ และโชคดีพอที่แต่งงานกับสามีผู้เป็นเฟมินิสต์ และฉันก็เลี้ยงดูลูกชายให้เป็นเฟมินิสต์" หล่อนอ้างถึงความเป็นศิลปินที่ไม่ใช่ศิลปินหญิง ซึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์ในทัศนคติของเพศชายช่วยอะไรไม่ได้เลย และเป็นอุปสรรคที่จะเข้าใจว่างานของหล่อนคืออะไรกันแน่ ทำไมรูปปั้นผู้หญิงถึงปั้นหน้าอกที่ดูดีเท่าๆ กับตรงช่วงแขน รูปปั้นรูปอวัยวะเปิดเปลือยรูปทรงอวบๆ กลมๆ น่าเกลียด และทำไมงานของหล่อนดูเหมือนยังคงไม่มีเหตุผลและท้าทายความเชื่อ ถ้ามันไม่ใช่ว่า ทั้งหมดทั้งปวงคือชิ้นงานเฟมินิสต์

บูร์ชัวส์กลายมาเป็นศิลปินมืออาชีพ หลังจากผ่านเวลาอันยาวนานในการเป็นแม่ เป็นหม่าย และเป็นหญิงไร้ประจำเดือน เมื่ออายุมาก หล่อนกลายเป็นเด็กอีกครั้ง อิสระที่จะผลิตไอเดียใหม่ๆ ด้วยตัวหล่อนเองและโลกของหล่อน หนักมาก่อนเบา เหล็กกลายเป็นแก้ว ออกไปข้างนอกก่อนกลับมาเข้าใจภายใน ผลงานต่างๆ ที่คงดำรง ถูกทำลายความเชื่อเก่าๆ ทั้งนั้น

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น : ในสวนแปลกหน้า



ผมคิดว่าที่ที่ดีที่สุด เมื่อเวลาสุขขึ้นสวรรค์หรือทุกข์ทน ที่ตรงนั้นอยู่ในสวน

สวนสวรรค์ของผมไม่ใหญ่ไม่โต แถมยังรกร้างเนื่องจากห่ากินเป็นเวลานาน ผลไม้ ดอกไม้ก็ไม่ได้ดูงามหูงามตา เหมือนเวลาที่ชาวคริสต์นึกถึงเอเดน หลังจากเสียงโครม! เปรี้ยง! ผมรู้สึกจุกท้องอยู่แวบเดียว แล้วก็จำอะไรไม่ได้ เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองกำลังแหวกกิ่งไม้รกเลื้อยนานแสนครั้ง กว่าผมจะหาที่แห่งนี้พบ เหมือนกับที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา ทว่าที่ที่ผมเจอนั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น มันไม่มีทองให้ขุด ไม่มีแม้แต่ทรัพยากรสำคัญๆ อะไร มีเพียงสิ่งมีชีวิตอื่นที่พอประทังท้อง ประคับประคองจิตใจให้ชุ่มชื่นด้วยเสียงนกร้องเพลงเบาๆ ใบไม้ใบหญ้าที่ครั้งหนึ่งผมไม่เคยเหลียวมองมันเลยด้วยซ้ำ

เมื่อวันที่ผมเดินออกจากสวนมา เพื่อไปเผชิญโลกอื่น นอกเหนือจากโลกในสวน เพราะมีใครอีกคนบุกป่าฝ่าดงมาพบผมเช่นกัน ร่างชายคนนั้นผมคุ้นเคย ทว่าเขาบอกว่า เขาไม่มีชื่อ ไม่มีแม้แต่ตัวตน ผมไม่เชื่อ ผมจับร่างของเขา อากาศอันเบาบางนั้นคือร่างของเขา ภาพที่ผมเห็นเขา เขาบอกว่าคือ "สิ่งสมมติ"

"คุณออกจากที่นี่ไปเถิด มันไม่ใช่เวลาของคุณ คุณมาอยู่ก่อนเวลาตั้ง 50 ปี คุณไม่ต้องกลัวว่าใครจะอยู่ที่ที่คุณพบ เวลานี้มันไม่ใช่ของคุณ คุณกลับไปที่เดิมเสียก่อน ผมคงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้" ชายที่ผมคุ้นหน้าว่าเช่นนั้น

ผมยังไม่วายสงสัย "แล้วสวนแห่งนี้ล่ะ ใครจะดูแล"

"คุณอย่าสงสัยมากมายนัก คุณไม่ต้องสงสัยเลยเสียดีกว่า"

"ผมอยากบอกสวนว่า ผมรักเขา"

"คุณบอกเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ สวนได้ยินเสียงของคุณเสมอ ทว่าผมว่าคุณควรกลับไปแก้ไขสิ่งที่คารังคาซังที่คุณทำทิ้งไว้ก่อนดีกว่านะ เข้าโบสถ์เสียบ้าง มันไม่เสียหลาย และนั่นก็คือการถนอมสวนแห่งนี้ไว้ ผมบอกคุณได้แค่นี้จริงๆ สวนเองก็เต็มไปด้วยภาระและความรับผิดชอบ ซึ่งคุณก็รู้ว่าสวนเองก็กำลังถนอมใครอยู่ ซึ่งมันก็รวมไปถึงแคลิฟอร์เนียเกิร์ลผู้ที่ยังโกรธคุณที่พรากชีวิตที่งดงามของเจ้าหล่อน เขาแบกรับคุณไม่ได้และไม่ไหวในตอนนี้ คุณอาจทรมานกับร่างเดิม มันกินเวลาไม่มาก ร่างกายของคุณก็จะเป็นเช่นดั่งเดิม คุณไม่ได้ศูนย์เสียความเป็นชายชาตรีที่คุณรักนักรักหนาหรอก มันยังอยู่ครบถ้วน เพียงแต่ว่าต้องค่อยๆ ฟื้นฟู จะให้สวนคอยฟื้นฟู มันจะลำบากสวนที่คุณรักนะ คนรักของคุณรออยู่ รีบกลับไปเสียเถิด ผู้ชายไม่ควรทำให้คนรักคนไหนๆ ต้องผิดหวัง มันเป็นคำที่สวนอยากบอกคุณเช่นกัน เอาล่ะ! คุณกลับไปได้แล้ว หลับตาซะ!"

ถ้อยคำของชายผู้นั้นยังกังวานในหู เที่ยงคืนสี่สิบห้า ที่เตียงในโรงพยาบาลย่านสุขุมวิทซอยต้นๆ ผมก็กลายเป็นคนไข้ที่รอดพ้นขีดอันตราย ผมจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากคำสามคำที่ผมคงไม่ได้บอกจากปากอีกแล้ว

In Bloom to Tomb



In Bloom to Tomb

When I was young, I played hard.

On Teenage, I had fun.

After that I have done such that thing till I died.

Over That Tomb,

With One White Rose on Sneaker

เบ่งบานคืนสู่โรยรา
เมื่อฉันยังเล็ก ฉันเล่นเต็มที่
ยามวัยรุ่น ฉันสนุกกับความเบิกบาน
หลังจากนั้น มันก็ยังคง กระทั่ง ฉันตาย
บนหลุมฝังศพหลุมนั้น
มันมีดอกกุหลาบสีขาวปักแจกันสนีกเกอร์

S.H. TWICE
Twin Soul, You Khow!
That why I'm a prohibited person
.

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Life Long Journey>>Identity



The Art of Adornment, the Pleasures of Shopping, and Why Clothes Matter
โดย Linda Grant
210 หน้า


ในปี 1883 Emile Zola เตือนว่า ในศูนย์การค้า หลังจากเกิดปรากฏการณ์ฮอลล์มาร์กแบบเดิ้นๆ ในปารีสขึ้น ความเชื่อเรื่องเข้าโบสถ์ถูกแทนที่ด้วยศาสนาแห่งการจับจ่าย แม้ว่า สภาพทางเศรษฐกิจมีการแข่งขันกันสูง คนเดินเอ้อระเหยในร้านขายของหรูหราโดยชอบธรรม ลินดา เกรนต์ จึงเขียนหนังสือเรื่อง "Thoughtful Dresser" เป็นคำยืนยันอย่างหนักแน่นของคนที่เชื่อในลัทธิบริโภคนิยม เธอว่า "ฉันถูกจ่าหัวไว้แล้ว จ่าหัวไว้แล้วว่าให้เดินทอดน่องยาวที่ถนนบอนด์ (Bond Street) และถูกจ่าหัวไว้แล้วว่าให้เข้าไปแลข้าวของในแอร์เมส และก็ลงชื่อในบัญชีรอกระเป๋าเบอร์กิ้น"

เกรนต์คือผู้เขียนนิยาย "The Clothes on Their Backs" ที่อยู่ในรายชื่อผู้ถูกเสนอรับรางวัล Man Booker Prize ในปี 2008 ทว่าเธอก็พลาดรางวัลนั้น ในขณะนั้นสิ่งที่เธอสนใจก็คือเงินและการช้อปปิ้ง ซึ่งเป็นยารักษาแผล แม้ในเวลาที่หนักหนาสาหัส หล่อนก็ว่า "เพราะฉันอยากจะรู้สึกว่า เวลาเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะรู้สึกแย่ กดดัน ความกดดันที่ฉันจะรู้สึกว่า ฉันกำลังใส่เสื้อผ้าราคาถูกและน่าหดหู่ คุณจำเป็นต้องซื้อ ซื้อชุดที่คุณจำเป็นสำหรับอนาคตอันน่าอับจน" เสียงแสดงความรู้สึกแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับที่ไม่ต้องแคร์ว่า ต้องทำอะไรบ้าง ในเมื่อได้เงินจากรัฐบาลเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจับจ่ายของหรูหราอะไรไม่ได้เลย

ความสนใจเรื่องเสื้อผ้าของหล่อนนั้น ไม่ได้มาจากการที่ตัวเองอยู่ในกลุ่มคนที่ได้เปรียบมากกว่าคนอื่นในสังคม (elitism) ทว่ามาจากขั้วตรงข้าม จากครอบครัวที่อพยพมาจากยุโรปตะวันออก ที่ตระหนักว่า ตราบใดก็ตามที่พวกเขาดูเหมือนพวกคนที่เข้ากลุ่มไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่ "เพราะปู่ย่าตายายของฉันบอกว่า เสื้อผ้าของพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ส่งสารถึงประเทศใหม่ที่พวกเขาเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ กาละและเทศะ ทว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าพวกเขาก็เปลี่ยน" เรื่องการแต่งตัว "มันถูกยอมรับว่าเป็นกระบวนการของกระบวนการความพร้อมที่ปรับเปลี่ยน ในสิ่งซึ่งพวกเขาจะกลายเป็นคนอังกฤษ"

หล่อนยังเขียนอีกว่า "และเพื่อชัยชนะ ครอบครัวของฉันถือคติประจำใจว่า (แค่ความร่ำรวยที่จะหารองเท้าถูกๆ ใส่ได้ มันแย่กว่าการถังแตกเสียอีก และนั่นก็ดูราวกับว่าคุณอับจนอยู่) ซึ่งคือเสียงสะท้อนที่คล้ายการป่าวประกาศถึงช่วงชีวิตในเวลานั้น

"เสื้อผ้าก็เหมือนการเดินทางเป็นเวลานานเพื่อแสดงตัวตน"..."ฉันพัฒนาเครื่องบ่งชี้ตัวฉันผ่านเสื้อผ้า"..."เมื่อคุณเริ่มแต่งตัวให้ตัวเอง คุณกำลังเริ่มเดินทางอันยาวนานอยู่ เพื่อให้เข้าไปสู่อนาคตของคุณ ยากที่จะสังเกตว่า มันคือการสร้างทุกๆ วัน ของสิ่งที่คุณเป็นผ่านการแต่งตัว"

เกรนต์ใช้กระบวนการบ่งชี้ให้ผู้อ่านเข้าไปใน "การผจญภัยอันยาวนานของเธอ" มุ่งสู่ "การชี้เฉพาะตัวตน"

"ตราบใดก็ตามที่มีสไตล์ใหม่เกิดขึ้น คุณจะต้องใส่มัน เพราะคุณเป็นคนอย่างนั้นแหละ เหมือนว่าเสื้อผ้าคือแฟชั่น และมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงสม่ำเสมอ...แต่ทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณจะค้นพบความแปลกใหม่

"ตอนอายุ 16 ปี ถึงอายุ 60 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่คุณต้องใช้เสื้อผ้า เพื่อค้นพบตัวคุณเอง เวลายืนหน้ากระจก จะมองเห็นคนมากมาย ด้วยเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ : เปิดให้เห็นความเป็นไปได้ทั้งหมด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่หลากหลาย"

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้นสะท้อนสังคม : ซิมส์ ซิตี้



หลังจากกลับจากโรงเรียน กิฟต์เปิดคอมพิวเตอร์ เช็คอีเมล์ เข้าสู่วงจรสังคมออนไลน์ คลิ๊กเข้าดูคอมเมนต์ของเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก ตอบกลับความคิดเห็น อ่านความคิดเห็นจากข้อความที่เพื่อนตั้งหัวเรื่อง บางคนก็โพสคลิ๊ป โพสเพลง ไว้ให้อ่าน ให้ฟัง ให้ชม แล้วเธอก็เล่มเกมคาเฟ่ เวิล์ด--ตั้งเตาขายอาหาร อยู่ในเลเวลที่ 60 ร้านใหญ่โตพอสมควร ทว่า ยังไม่สามารถทำอาหารระดับสูงได้ เกมมอลล์ เวิล์ด สั่งเสื้อผ้าจากแคตตาล็อกมาขายในร้านส่วนตัว ซี่งเจ้าของร้านเป็นทั้งผู้ขายเสื้อผ้าและเพสันเนล สไตลิสต์ เกมโซโลริตี้ ไลฟ์ เป็นเกมที่จำลองสังคมวัยรุ่นในมหาวิทยาลัยที่แสนเลิศ แข่งขันกันแต่งตัว ขยันออกงานสังคม ซึ่งแต่ละเกมเป็นเกมที่นักเรียนหญิงในโรงเรียนของเธอติดงอมแงม เพื่อนที่อยู่ในเกมคือ เพื่อนๆ ในโรงเรียนของกิฟต์นั่นเอง ตั้งเตา สั่งเสื้อผ้าเข้าร้าน ไปงานอีเวนต์ เสร็จสรรพ จากนั้นก็คลิ๊กที่ไอคอนลัดวงจรบนหน้าจอเข้สู่เกมซิมส์ ซิตี้ กิฟต์สร้างโลกสมมติไว้ในนี้หลายครอบครัว

ที่บ้านตระกูลกฤษดา นายและนางกฤษดานอนหลับสนิทบนเตียงคิงส์ไซด์ที่ใช้สำหรับวู้ฮูเพิ่มเด็กในตระกูล หลังจากที่ลูกคนแรกเสียชีวิต เพราะอยู่กับพี่เลี้ยงผู้ปล่อยปละละเลยให้เด็กคลานเข้าไปในครัว ที่พ่อแม่ของเขาตั้งเตาทำอาหารทิ้งไว้ แล้วจึงไปทำงาน ไฟเกิดไหม้ครัวครั้งใหญ่ เด็กเสียชีวิต พาลพาความสลดโศกเศร้าครั้งใหญ่ให้นายและนางกฤษดา พลังชีวิตละเลเวลหลายขีด ดังนั้น ทั้งสองจึงซื้อเตียงน้ำสีชมพู ตั้งอกตั้งใจวู้ฮูอีกหลายต่อหลายครั้ง เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เช่นกัน

06.00 น. พลังงานของนายกฤษดายังไม่ครบเลเวลพอที่เขาจะตื่นอย่างไม่อ่อนล้า ทว่า นางกฤษดาผู้ซึ่งถูกโจมตีอย่างสาหัสสากัณฐ์ ตื่นขึ้นมาซดน้ำวิเศษ เติมพลังชีวิตจนเต็มเปี่ยม ตั้งเตาทำอาหารเช้า ระดับฝีมือทางการทำอาหารในแท่งทักษะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าจะให้เพิ่มมากกว่านี้ หล่อนควรอ่านคุ๊กบุ๊กที่ซื้อไว้ให้จบเล่ม ทว่า หล่อนมีปณิธานชีวิตเป็นเซเลบริตี้ ฉะนั้น การทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ จึงมีจุดประสงค์ไว้แค่ให้สามีพึงพอใจเท่านั้น ระดับความสัมพันธ์ของหล่อนและเขาต้องเป็นหัวใจสีแดงฉ่ำ คะแนน 100 เต็ม 100 คะแนน

แม้นว่าหัวใจหล่อนจะถูกย่ำยี รู้ว่าสามีมีเพื่อนหญิงที่สนิทในที่ทำงานถึงระดับความสัมพันธ์หัวใจสีชมพู ทุกครั้งที่หล่อนรับสายโทรศัพท์ ที่ผู้หญิงคนนั้นโทร. เข้าบ้าน หล่อนโกรธเหมือนกินรังแตนมา กระทืบเท้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง ระดับความสัมพันธ์ลดฮวบ สามีต้องง้อหล่อนอยู่หลายกระบวนท่า โอบกอดอย่างรักใคร่ ตามด้วยจูบอย่างเร่าร้อน จากนั้นพาไปนั่งบนโซฟาหรูที่ซื้อมาจากแคตตาล็อก ฟัดกันนัวเนียอยู่หลายรอบกว่าระดับความสัมพันธ์กลับมาครบร้อยคะแนนอีกครั้ง

อาหารเช้าได้ที่แล้ว สามีลุกขึ้นจากที่นอนพอดี นั่งรับประทานเซตอาหารเช้าสุดหรู คุยกันหนุงหนิงงุงิ เสียงกริ่งดังขึ้น ภรรยาเปิดประตูรับแขก ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นคือ แม่บ้านที่หล่อนจ้างมาขจัดคราบความสกปรก พวกเขาทักทายกันเล็กน้อย นางกฤษดาให้ทิปลูกจ้าง ระดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่เพิ่มขึ้น อยู่ในขั้นมิตรที่ดี เสียงโทรศัพท์ดัง นายกฤษดารับสาย ทางภาควิชาวรรณกรรมของมหาวิทยาลัยโทร. มาบอกให้เขาหยุดงานสอน พักร้อนได้ 1 วัน หลังวางสาย นายกฤษดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาเพื่อนสาวคนสนิท ชวนมาเที่ยวที่บ้าน เพราะชั่วโมงให้หลัง ภรรยาจะขับรถไปทำงานที่สตูดิโอภาพยนตร์ที่หล่อนรับบทเป็นนักแสดงนำหนังฟอร์มเล็ก กว่าจะกลับก็ค่ำมืด เพราะหล่อนหื่นกระหายชื่อเสียงมากเกินไป จึงเป็นอุปสรรคต่อการมีลูกคนที่สอง

ภรรยาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ สวยเนี้ยบทั้งตัว หล่อนใช้เงินกับการซื้เสื้อผ้า อัพหน้าและทรงผมมากโข ทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่ม ภรรยาขับเฟอร์รารี่สีเหลืองเลมอนไปทำงาน

แท็กซี่จอดที่รั้วหน้าบ้าน เสียงกริ่งดังเป็นครั้งที่สองของวัน นายกฤษดาเปิดประตู นางสาวเช้าพัฒนาชู้รักของเขานั่นเอง หล่อนเดินไปหยิบอาหารเช้ามานั่งรับประทานอาหารบนโต๊ะอาหารที่ทำจากกระจกแก้วไฟเบอร์อย่างแพง แม้ว่าระดับความต้องการอาหารของนายกฤษดายังไม่พร่อง เขาก็หยิบอีกจาน นั่งรับประทานเป็นเพื่อน ระดับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นนิดหน่อย หลังจากที่ขีดพิกัดลดลงเนื่องจากความห่างเหิน สัก 20 คะแนนได้มั้ง สองวันที่ผ่านมา ภรรยากักตัวไว้แจ เพื่อปั๊มลูกคนใหม่นั่นแหละ

ทั้งคู่รับประทานอาหารอิ่มแล้ว นายกฤษดาจึงชวนนางสาวเช้าพัฒนาลงอ่างจากุซซี่ เขาลูบหลังหล่อนอย่างอ่อนโยน หล่อนไว้ตัว เขาจึงพูดคุยแบบเป็นมิตรกับหล่อน ระดับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เขาจึงจูบหล่อนแบบอ่อนโยนหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งระดับความสัมพันธ์กลับมาเป็นหัวใจสีชมพูอีกครั้ง เขามอบช่อดอกไม้ให้เป็นของขวัญ แล้วจูบลาอย่างอ่อนโยน

นายกฤษดาดื่มน้ำเพิ่มพลังชีวิตจนระดับพลังงานเต็มพิกัด อาบน้ำและขับถ่ายในห้องน้ำเสร็จ ก็หยิบวรรณกรรมในตู้หนังสือมานั่งอ่านบนอาร์มแชร์อย่างขะมักเขม้น แม้ว่าทักษะทางวรรณกรรมของเขาจะเต็ม 100 คะแนน แบบไม่มีวันลดมานานแล้ว

นางกฤษดาตะบึงห้อเจ้าม้าพยศถึงบ้าน พลังชีวิตลดลง พลังแห่งวงสังคมเพิ่มขึ้น เธอกำลังปวดท้องถ่ายทุกข์สุดขีด วิ่งอ้าวเข้าสุขาทันทีทันใด สามีซึ่งอ่านหนังสือจบเล่ม แล้วเดินไปที่มุมเครื่องชงกาแฟ ดื่มกาแฟเอสเปรสโซ พลังงานชีวิตเพิ่มนิดหน่อย การขับถ่ายลดขีดพลัง เย็นนี้ครอบครัวกฤษดาจัดงานปาร์ตี้ เชิญแขกคนสำคัญ 2-3 คน นั่นคือเพื่อนบ้านคนสนิท เพื่อนที่ทำงานของนางกฤษดา และหญิงสาวผมบลอนด์ที่นายกฤษดาซุกความสัมพันธ์ลับไว้อีกคน ปณิธานชีวิตของนายกฤษดาคือ ปณิธานแห่งความรัก ดังนั้น การที่นายกฤษดามีรักเล็กรักน้อยเพียงแค่ 2 คน นับว่ายังไม่พอเพียง เพราทางโปรแกรมกำหนดเลเวลนักรักไว้ว่า ต้องจีบผู้หญิงให้ติด (ระดับหัวใจสีชมพู) 10 นาง ขึ้นไป เหลืออีกตั้งแปดคน ล้อมรั้วไว้ให้ดีนะคะ นางกฤษดา

สถานที่จัดงานบริเวณหน้าบ้านผู้คนพลุดพล่าน ทั้งแขกที่ได้รับเชิญและไม่ได้รับเชิญ นายและนางกฤษดาล้อมวงคุยเรื่องสัพเพเหระกับแขกเหรื่อ เด็กๆ ที่มางานซุกชน คนหนึ่งวิ่งเล่นกับโบโซ่ประจำหมู่บ้าน อีกคนเปิดคอมพิวเตอร์ในบ้านเล่น

กิฟต์เซฟข้อมูลการเล่นของบ้านตระกูลกฤษดา แล้วคลิ๊กเข้าบ้านตระกูลชมพูทวีป อันประกอบไปด้วย โจแอลและโจแอล ชายหนุ่มผู้ยากจนผู้ซึ่งรียนจบจากวิทยาลัยซิมส์ ซิตี้ ด้วยทุนรอนรัฐบาล อาศันอยู่ในบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ราคาถูกที่สุด ผนังทาสีขาวไข่เป็ด ประตูไม้ราคาถูก ชักโครกห่วยแตก แบบเหมือนชักโครกสาธารณะ สุขภัณฑ์และของแต่งบ้านทุกชิ้นราคาถูกที่สุดเท่าที่มีในแคตตาล็อก

โจแอลและโจแอลกำลังนอนบนเตียงเดี่ยวชั้นเดียว เหมือนที่นอนในโรงเรียนประจำ ชัดเจนเป็นที่สุดว่า โน มันนี่ โน ฮันนี่ ผู้คนในความสัมพันธ์ของโจแอลและโจแอลมีไม่มาก เพราะประหยัด ไม่ค่อยจัดปาร์ตี้ และส่วนมากอยู่ในระดับเป็นมิตรเท่านั้น

ก่อนเวลาเข้าทำงาน 3 ชั่วโมง โจแอลและโจแอลตื่นขึ้นมา เปิดตู้เย็น แล้วพบว่าอาหารเกลี้ยงตู้เย็น เขาคว้าโทรศัพท์สั่งพิซซ่า (อาการราคาถูกในซิมส์ ซิตี้) ระดับความหิวอยู่ในขีดสีแดง บ่งบอกว่า อันตรายมาก ก่อนที่คนส่งพิซซ่าจะซิ่งอาหารแดกด่วนมาส่งถึงหน้าบ้าน เขาอาบน้ำและถ่ายทุกข์ แต่งตัวเตรียมไปทำงาน ชุดนายช่างในโรงงานเต็มยศบนร่างโจแอลแลโจแอล คนส่งพิซซ่ากดกริ่งหน้าบ้าน เขาจ่ายเงิน คว้าพิซซ่าเติมพลังจนหมดถาด ก็ยังไม่เต็มปรอทความหิว รถทำงานบุโรทั่งกดแตรเรียกเขา เสียงดังถี่กระชั้น โจแอลและโจแอลเดินออกจากบ้าน ตรงดิ่งขึ้นรถเก่าโกโรโกโสคันนั้น

แม่ของกิฟต์เคาะประตูหน้าห้อง บอกเวลาว่า ขณะนี้เที่ยงคืน นอนได้แล้ว ประเดี๋ยววันรุ่งจะตื่นสาย

กิฟต์เซฟข้อมูลของบ้านชมพูทวีป ออกจากระบบ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ชักปลั๊กไฟเพื่อประหยัดพลังงาน

ความสนุกสนานของกิฟต์เต็มเปี่ยม ยืดตัวบิดขี้เกียจนิดๆ เธอจึงปีนขึ้นที่นอน นอนหลับเพิ่มพลังงาน

ล่าชิ้นเนื้อ



STEAK : One Man's Search for the World's Tastiest Piece of Beef
โดย Mark Schatzke
290 หน้า
สำนักพิมพ์ Viking


ใครชอบเที่ยว ชอบกินสเต๊ก อ่านเล่มนี้สิคะ Mark Schatzke นักเขียนอาหารชาวแคนาดา เขียนเรื่องท่องเที่ยวใน 7 ประเทศ 4 ภาคพื้นทวีป เขาบริโภคเนื้อกว่า 100 ปอนด์ เพื่อค้นหาเนื้อสเต๊กที่ดีที่สุด และค้นคว้าศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในรสเนื้อ การเดินทางเริ่มต้นที่เท็กซัส แล้วพัดเขาไปยังฝรั่งเศส สก็อตแลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น และอาร์เจนติน่า เขาเยี่ยมชมฟาร์มท้องถิ่น ไปกินอาหารที่ที่คนรักสเต๊กอยากไป และหาสายพันธุ์วัวเหล่านั้น ผ่านเรื่องเล่าจากการเดินทางท่องเที่ยวและการวิจารณ์อาหาร เขาอ้างอิงประเด็นด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา ชีวเคมีและปรัชญา (ใครรู้ว่าโรลองด์ บาร์ต นักสัญศาสตร์ชาวฝรั่งเศสสนใจสเต๊กทาร์ทาร์มากบ้าง?) บทสนทนาในเล่มมีการตั้งคำถามต่างๆ นานา ทำสเต๊กอย่างไรให้อร่อย? มันถูกให้นมหรือให้อาหาร? เนื้อลายหรือว่ามันแก่? โดยหลังจากคุณมาร์กพบกับคุณบิลล์ โอ' เบรียน ผู้ซึ่งดูแลวัวกว่า 50,000 ตัว ในเท็กซัส และเป็นแชมเปี้ยนการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และใช้เวลาวิเคราะห์วิจารณ์เนื้อสเต๊ก เหมือนที่คนอื่นๆ วิจารณ์อาหาร เขาไม่ผลิตเนื้อที่ผู้เชี่ยวชาญ เรียกว่า "ข้อมูลรสชาติโดยรวม" และจำเป็นต้องใช้กระบวนวิธีแอนตี้ไบโอติก เพื่อรักษาตับและเครื่องในจากการตกหล่น คุณมาร์กวิจารณ์ไว้ว่า สเต๊กที่ได้จากวัวกินหญ้า เห็นความซับซ้อนมากกว่า และโชคร้ายที่การให้หญ้าเป็นอาหารไม่การันตีกลิ่นรสที่ดี เพราะว่าหญ้าที่เลวย่อมได้ชิ้นสเต๊กแย่ๆ เช่นกัน

เพื่อได้ข้อเท็จจริงเรื่องการเลี้ยงและดูแลสัตว์ที่ดีที่สุด คุณมาร์กชิม/ลอง/พิสูจน์สเต๊กจากวัวพื้นบ้านที่แอนกัสและที่ไฮแลนด์ในสก็อตแลนด์ เนื้อแบล็กวากิวในญี่ปุ่น เนื้อแชนนีน่าและเนื้อโพโดลิก้าในอิตาลี เนื้อลีมูแซงในฝรั่งเศส เมื่อกลับมาที่แคนาดา คุณมาร์กตัดสินใจว่าจะทำเนื้อสเต๊กเอง โดยใช้กรรมวิธีการเลี้ยงแบบชาวแคนาเดียนดั้งเดิม ให้อาหารด้วยฟางหญ้าของเขาเอง แอ็ปเปิ้ล แครอต ผลลูกโอ๊กและถั่ว ผลที่ได้เนื้อสเต๊กหวานมัน ทว่าเหนียว ถ้าคุณอ่านหนังสือจนจบ คุณจะรู้ว่า ความไม่สมบูรณ์แบบของชิ้นสเต๊ก อาจเป็นเพราะว่า สัตว์เครียด ผอมเกินไป หรือไม่ก็ยังเติบโตไม่เต็มที่ อากาศแห้ง ให้อาหารผิดเวลา แก่เกินไป อ่อนเกินไป ฯลฯ โดยท้ายเล่ม คุณมาร์กดึงให้ผู้อ่านเข้าสู่แบบทดสอบการจัดรสชาติการชิมเนื้อสเต๊กและทฤษฎีที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำได้ว่า สเต๊กชิ้นไหนที่เขาชอบและเขาไม่ชอบ เพราะอะไร สุดท้าย เขาดึงคำของเชฟบรรลือโลกอย่าง อแลง ดูกาสส์ ไว้ว่า

"ประเด็นก็คือ มันไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนดีกว่าและอันไหนแย่กว่า สเต๊กแต่ละชิ้นให้ความพึงพอใจที่แตกต่าง ดังนั้น มันจึงไม่มีชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุด"

เอาสเต๊กมาแลก



สเต๊ก

ชิ้นเนื้อสัตว์ (โดยมากใช้เนื้อวัว) ปลาที่ตัดแล่เป็นชิ้นๆ โดยมากสไลด์ให้หนาประมาณ 2 เซนติเมตร หรือ 0.75 นิ้ว เพื่อย่าง ทอด หรือปรุงเหนือถ่านร้อน สเต๊กมีรากศัพท์จากภาษาโอล์ด โนส (Old Norse) " Steikjo" มีความหมายว่า อบจนฉ่ำ ซึ่งเป็นวิธีการปรุงยอดนิยมในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 15 เนื้อสเต๊กอบจนเป็นสีน้ำตาล โรยด้วยซินนามอน เสิร์ฟพร้อมซอสรสเยี่ยม เรียกชื่ออื่นก็ย่อมได้ ทั้งกริลล์ สเต๊ก คาร์โบนา โดยสเต๊กนิยมมากในศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้นก็ซาๆ ลงไป

การตัดชิ้นเนื้อสเต๊กมีหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่แต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื้อส่วนบริเวณกระดูกเชื่อมกระดูกหลัง ส่วนระหว่างหัวไหล่ และส่วนสะโพกของสัตว์ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด

สเต๊กในอังกฤษถูกตั้งชื่อตามอวัยวะส่วนที่ตัดออกมาเป็นชิ้น ฟิลเล่ต์ (รู้จักกันดีในนาม เนื้อเทนเดอร์ลอยด์ หรือ อันเดอร์คัต) เป็นกล้ามเนื้อที่ยาวที่สุดใต้กระดูกของเซอร์ลอยด์ จัดว่าเป็นส่วนที่ไขมันน้อยที่สุดและนุ่มที่สุด ส่วนเนื้อเซอร์ลอยด์ นำมาจากส่วนที่เป็นกระดูก และตัดให้เป็นชิ้นสเต๊ก ความนุ่มน้อยกว่าเนื้อฟิลเล่ต์ แต่รสชาติดีกว่า สุดท้าย รัมป์ (เนื้อส่วนสะโพกหรือกระดูก H) ชิ้นใหญ่ ไขมันน้อย ถูกตัดให้เป็นชิ้นใหญ่ๆ เพื่อให้สเต๊กได้รสชาติเยี่ยม ทว่าเนื้อนุ่มน้อยกว่าเซอร์ลอยด์

ศาสตร์เรื่องสเต๊กในสหรัฐอเมริกา มีวัฒนธรรมการรับประทานสเต๊กชิ้นใหญ่ๆ ในฝรั่งเศส, สเต๊ก 1 จานมีเนื้อ 2 ชิ้น ชิ้นแรกคือเนื้อฟิลเล่ต์ชิ้นใหญ่ยาว สำหรับหลายๆ คน ตัดแบ่งส่วนเป็นชิ้นกลมๆ เล็กๆ จากตรงกลาง จากใกล้ๆ ไปถึงชิ้นเล็กที่สุด (ส่วนที่แคบที่สุดขอบ) ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Filet Mignon" ส่วนอีกชิ้นใช้สเต๊กส่วนที่เรียกว่า อองเทอ กู้ต์ แปลว่า ระหว่างกระดูก มันถูกตัดมาจากด้านหลังไปถึงหัวไหล่ ในฝรั่งเศสตัดแยกเนื้อกล้ามเนื้อออกจากเนื้อที่มีไขมันน้อยอ่อนนุ่ม ซึ่งเป็นเนื้อส่วนที่เหมาะกับการทำสเต๊ก

การปรุงสเต๊กมีขั้นตอนง่ายที่สุดคือ ย่างบนความร้อนรุนแรง เพื่อให้สุกทั่วถึง ถ้าอยากให้เนื้อวัวเป็นแบบ "บลู" หรือ "เบลอ" ในภาษาฝรั่งเศส สังเกตง่ายๆ ผิวเนื้อด้านนอกจะเกรียมเป็นสีน้ำตาล ทว่าด้านใน เนื้อคงดิบแดง หรือไม่ก็เป็นชิ้นที่ข้างในยังอุ่นร้อน ไฟเบอร์อ่อนนุ่ม เนื้อเป็นสีชมพูสด

แบบมีเดียม หรือ อาปงต์ ในภาษาฝรั่งเศส เนื้อด้านในเริ่มสุกและมีน้ำฉ่ำๆ

แบบเวลดัน หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า เบียง กูต เนื้อด้านในสุกเป็นสีเทาน้ำตาลและมีน้ำออกจากเนื้อมาก

ในอังกฤษ ชิ้นสเต๊กเรียบง่าย แค่นำไปย่างหรือทอด ส่วนที่อ่อนนุ่มน้อยที่สุดของสเต๊กถูกนำไปเคี่ยวกับผักประเภทที่ผลอยู่ในรากดิน เช่น แครอต หรือ หัวไชเท้า ไม่เช่นนั้นก็ทำเป็นสตูว์ พาย หรือ สเต๊ก แอนด์ คิดนีย์ พุดดิ้ง ออร์ พาย ในอเมริกาเหนือ การย่างบนเตาถ่าน เป็นวิธีทำให้สเต๊กหอม อร่อย รสดีกว่ากรรมวิธีทำอื่นๆ

Swiss Steak สเต๊กเนื้อเหนือน่อง เป็นชิ้นกลมๆ เคล้าแป้งและเครื่องปรุง ทอดกับหัวหอม และปรงรสด้วยการเคี่ยว

Carpetbag Steak (นิยมมากในออสเตรเลีย) เนื้อที่ไม่มีกระดูก ยัดไส้ด้วยหอยนางรมดิบสด (สันนิษฐานว่า พัฒนามาจากสเต๊กและซอสหอยนางรม--สเต๊กตำรับเก่าจากอังกฤษ

ในสูตรอาหารฝรั่งเศส สเต๊ก-ฟริตต์ (สเต๊กและมันฝรั่งทอด) เป็นอาหารจานพื้นฐานในทุกครัวเรือน ทว่าเมื่อยกระดับสเต๊กเป็นอาหารจานหรู มักถูกเสิร์ฟพร้อมซอสชั้นเลิศ แหวกแนว และตบแต่งสวยงามด้วยเครื่องเคียง เช่น เห็ดทรัฟเฟิล ฟัวร์ กราส์ ใจอาร์ติโช๊ก ฯลฯ

สเต๊กอองเทอกู้ต์ มีเครื่องเคียงคลาสสิกคือ ซอสบีอาเนส

ในทัสคานี เนื้อเทนเดอร์ชิ้นใหญ่จากวัวที่เซียนน่า ใช้ทำเป็นสเต๊กที่ชื่อว่า "Bistecca alla fiorentina" ทอดหรือย่างด้วยถ่าน เคล้าน้ำมันมะกอก เสิร์ฟพร้อมชิ้นเลมอน

ที่ญี่ปุ่น วัฒนธรรมการรับประทานสเต๊ก เข้ามาเมื่อศตวรรษที่ 19 จากนั้น ก็มีการพัฒนารสชาติเนื้อสเต๊ก กระทั่งมีตำรับเป็นของตัวเอง

เมื่อสเต๊กหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าและกินแบบดิบๆ ปรุงรสด้วยวัตถุดิบอื่นๆ มันคือทาร์ทาร์สเต๊ก

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Purile Porn?



Wetlands
โดย Charlotte Roche
240 หน้า
สำนักพิมพ์ Fourth Estate


นวนิยายเล่มแรกของ Charlotte Roche ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาเยอรมัน หนึ่งปีให้หลังจึงถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ เปิดเรื่องด้วยตัวละครเอก--Helen Memel หญิงสาววัย 18 ปี อยู่ในโรงพยาบาล หลังจากพุ่มพงส่วนนั้นถูกโกนเกลี้ยงเพราะอุบัติเหตุ ส่วนที่เหลือของนิยายตั้งใจยกประเด็นพื้นฐานเรื่องความสะอาด สุขอนามัยของอวัยวะซ่อนเร้น ให้ความสนใจระหว่างการใคร่ครวญถึงรอยบาดเจ็บที่อวัยวะเพศของเฮเลน และการหลงใหลอาการติดเซ็กส์อย่างแรงของเจ้าหล่อน เฮเลนขอร้องให้บุรุษพยาบาลถ่ายรูปรอยแผล พยายามยั่วยวนเขา ซ่อนอยู่ใต้เตียงเพื่อช่วยเหลือตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า อยากรู้อยากเห็นกลิ่นรสของร่างกาย โดยเฉพาะของหล่อนเองเหลือเกิน หล่อนมีเพศสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตาอย่างมีความสุข สิ่งที่เฮเลนสะท้อนออกมาอย่างชัดแจ้งคือ เรื่องสุขอนามัย ซึ่งหล่อนเพิกเฉย เมื่อหล่อนใช้ห้องน้ำสาธารณะ หล่อนก็ชอบที่จะใช้มือขัดถูนาผืนน้อยบนชักโครก ซึ่งนั่นหล่อนกำลังทดลองเรื่อง การไม่ล้างอวัยวะเพศเป็นเวลานานอยู่...รู้ไว้ซะ เพื่อตรวจสอบผลเรื่องรักใคร่อีโรติก (ดิฉันเขินอายไม่กล้าแปล ขอยกข้อความเป็นภาษาอังกฤษทดแทน) dabbing her own personal public perfume behind her earlobes. It works wander from the moment you greet someone with a kiss on his cheek

เวตแลนด์จึงกลายเป็นวรรณกรรมที่ผู้คนจับตามองทันที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศเยอรมนี (ครั้งแรกที่เธอส่งต้นฉบับนิยายฉบับนี้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ก็โดนปฏิเสธในทันที) ขายดิบขายดีหลายแสนเล่ม เป็นหนังสือภาษาเยอรมันเล่มแรกที่ติดอันดับหนังสือขายดีทั่วโลกของอเมซอน นักอ่านหลายคนตกหลุมรักหนังสือเล่มนี้มากมาย หรือไม่ก็ไม่ชอบไปเลย วิจารณ์เลยเถิดไปว่า มันเป็นเพียงแค่หนังสือที่คนดังเขียน เลือกประเด็นร้อนแรง เพื่อให้หนังสือขายดี โดนเปรียบเทียบกับวรรณกรรมวัยรุ่นหลายเล่ม เช่น Crash ของ JG Ballard The Catcher In The Rye ของ JD Salinger และ The Female Eunuch ของ Germaine Greer

อยากรู้ว่า มันเป็นงานที่ท้าทายวงการเฟมินิสต์ หรือแค่สื่อโป๊ๆ ประเด็นแรงๆ เอาใจวัยรุ่น สั่งจากอเมซอนสักเล่มสิคะ



เกี่ยวกับผู้เขียน

Charlotte Roche อายุ 32 ปี เกิดใน High Wycombe ประเทศอังกฤษ ย้ายไปพำนักที่เยอรมนีแต่เล็กแต่น้อย ดังนั้น หล่อนออกตัวว่า เป็นคนอังกฤษที่ใช้ภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน รอชเป็นคนดังตั้งแต่วัยรุ่น โดยเป็นพรีเซนเตอร์งานโทรทัศน์หลายชิ้น (ภาษาบ้านๆ--เป็นเซเลบตั้งแต่เนื้อสาวแตกเปรี๊ยะ) ท่าทางอ่อนหวานและช่างพูดช่างจาเหมือนหญิงสาวทั่วๆ ไป ดูเหมือนเป็นคนง่ายๆ สบายๆ และขี้เล่น มากกว่าที่สาธารณะชนพูดถึงผลงานของเธอ

รอชมีลูกสาวอายุ 6 ขวบ หนึ่งคน ในวัยเด็กของรอช, บิดามารดาแยกทางตั้งแต่เธออายุแค่ 5 ปี บิดาเป็นวิศวกรผู้สร้างโรงงานให้บริษัท มาร์ส ในเยอรมนี มารดาคือเฟมินิสต์หัวก้าวหน้าที่พูดคุยกับลูกเรื่องท้องโดยไม่จำเป็นต้องมีบิดาของลูก (อันนี้รอชไม่ทำตามคำแนะนำของแม่ เพราะตอนนี้เธอมีสามีที่น่ารักข้างกาย) ยอมให้ลูกสาวมีเซ็กส์ที่บ้านตั้งแต่วัยรุ่น และมีหนังสือมากมายทางด้านนี้ให้ลูกสาวอ่านกองเบ้อเริ่ม ส่วนคุณยายเป็นผู้หญิงสง่างาม เกิดในวิมเบอดัน เป็นแม่บ้านแม่เรือนสุดเลิศในยุคฟิฟต์ตี้ ผู้สอนให้ลูกสาว (นั่นคือแม่ของหล่อน) ให้นอนเหยียดตัวยาวบนที่นอน ห่มผ้าห่มให้ตึง ใช้สองมือดึงปลายผ้าเอาไว้

Shrink



หนึ่งในบรรดาหนังฮอลลีวู๊ดที่เปิดโปงคราบเงาความหรูหราในแวดวงชาวฮอลลี่ได้อย่างเฉียบขาด โดยไม่เร้าอารมณ์และจูงใจอย่างโจ่งแจ้ง เควิน สปาซี่ รับบท ด็อกเตอร์ คาร์เตอร์--เซเลบริตี้ฮอลลีวู๊ด ผู้สวมเสื้อผ้าแบรนด์อาร์มานี่ที่กำลังเข้าสู่ยุคดาวดับ ใบหน้าคร่าตาไม่โกนหนวดโกนเครา ดื่มหนัก สูบจัด ใช้ยา ทั้งๆ ที่เขามีอาชีพเป็นนักจิตบำบัด (ผู้ไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้) และเขียนหนังสือ (ช่วยบำบัดจิตใจผู้คน) เป็นหนังสือขายดีหลายเล่ม ทั้ง "สยบความเศร้า" และ "ความสุขในตอนนี้" ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียชีวิต คาร์เตอร์ก็กลายเป็นคนใช้ยา ประสิทธิภาพการทำงานเสื่อมถอย เขามีอาการทางจิตเหมือนลูกค้าของเขา อันได้แก่ ดาราอับแสง (แสดงโดย เซฟฟรอน เบอร์ลอว์ส) คนติดเซ็กซ์ ติดแอลกกฮอลล์ (แสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์) ขวัญใจประชาชนผู้ดื่มไอริสมาร์ตินี่หนักหน่วง และตัวแทนขายหนังผู้เอาแต่ใจ ผู้ไม่เคยดูหนังที่ตัวเองนำไปขายสักเรื่อง

Shrink
ผลิตในปี 2009
มีความยาว 104 นาที
กำกับการแสดงโดย Jonas Pate & Jonas Pate

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Miranda's Drink



เซ็กส์ แอนด์ เดอะ ซิตี้ 2 เพิ่งจะลงโรง เบื่อที่อะไรๆ ก็แคร์รี่ ก้อเขาชอบมิแรนด้า ก็เลยสนใจว่าหล่อนดื่มอะไรถึงทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ลืมค็อกเทลคอสโมโพลิแทนที่แคร์รี่นำเทรนด์เอาไว้ มิแรนด้าก็ใช่ย่อย หล่อนนี่แหละผู้นำร่องกระแสอาหารลอว์ ฟู๊ด เมื่อหล่อนชิมนำวีตกราสคั้นในร้านอาหารแบบลอว์-ฟู๊ด หลังจากนั้น สาวๆ ในอเมริกาก็หันมาเอาอย่าง หลังจากนั้นก็ลามไปทั่วโลก ว่าไปแล้วเทรนด์นี้ก็มีมานมนาน พอๆ กับสโลว์ ฟู๊ด ของนายเปทรินี่ นั่นแหละ ทั่วโลกยอมรับว่า เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียในยุคเซเว่นตี้ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่เยียวยาโรคภัย สุขภาพดี และชะลอความแก่ แบ่งประเภทอาหารลอว์ฟู๊ดไว้อย่างชัดเจนว่า คืออาหารที่ปรุงโดยใช้ความร้อนไม่เกิน 48 องศาเซลเซียส (อากาศของบางประเทศยังร้อนกว่า) เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ให้ครบถ้วน เอมไซม์ในอาหารจะถูกทำลายด้วยความร้อน ประโยชน์ในระยะสั้นคือ ย่อยง่าย เป็นมิตรกับระบบขับถ่าย ส่วนประโยชน์ในระยะยาว อ้างว่า สามารถลดน้ำหนัก สร้างพลังงานชีวิตที่บริสุทธิ์ เหมือนๆ กับ ถ้าคุณดีท็อกซ์สักสองสามวัน สังเกตุความแตกต่างที่โปร่ง โล่ง สบายตัว ได้แบบเดียวกัน

สนใจเรื่องราวอาหารลอว์ ฟู๊ด คลิ๊กเข้าดูที่ www.safrestaurant.com ; www.rawchef.com

Shake! Shake! your list.



Juliet, Naked
โดย Nick Hornby

การกลับมาอีกครั้งของนักเขียนขี้บ่น นิค ฮอร์นบี้ แฟนๆ นิยายเรื่อง High Fidelity ร้องไชโยเมื่อนิคกลับมาเขียนนิยายที่พาเขากลับเข้าสู่โหมดดนตรีอีกครั้ง (อย่าลืมว่า นิคเคยเป็นนักวิจารณ์เพลงมาก่อน คลังความรู้เรื่องเพลงในสมองล้นหลาม) ตัวละครหลักเป็นร็อกสตาร์ในยุคเอ็กช์ตี้ผู้ซึ่งถูกเรียกร้องการแยกตัวเป็นอิสระ เมื่อปล่อยอัลบัมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาอีกครั้ง เรื่องเกิดขึ้นในอเมริกาและลินคอล์นเชียร์ นิยายบอกเล่าเรื่องราวของคนเหงาสองคนที่ตามหากันและกันข้ามทศวรรษ ข้ามแผ่นดิน

The World is What it is : The Authorized Biography of V.S. Naipaul
โดย Patrick French

หนังสือประวัติบุคคลที่ได้รับอนุญาติอย่างเป็นทางการแล้ว ใครก็รู้ว่า วี เอส ไนพอล คือนักเขียนโพสโคโลเนียลที่ยิ่งใหญ่ เขาประสานงาน ช่วยเหลือ ให้ข้อมูลกับเฟรนช์ (ผู้เขียน--เฟรนช์เป็นมือหนึ่งเรื่องการเขียนชีวประวัตินักเขียนคนดัง) เต็มที่ เปิดเผยความลับที่ซ่อนในจดหมายส่วนตัว ไดอารี เพิ่มข้อมูลที่น่าประหลาดใจ เป็นความลับสุดยอดที่ไม่เคยบอกใคร ด้วยบทสัมภาษณ์ที่ตรงไปตรงมา กล้าหาญ ฉลาด และเด็ดขาด

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาจากหัวใจ 3



I Loved, I Lost, I made Spaghetti
A Memoir
โดย Giulia Melucci
277 หน้า สำนักพิมพ์ Grand Central Publishing


เมลุซชี่ทำงานในสำนักพิมพ์ชื่อดัง ซึ่งในสายตาคนอื่นก็จัดเธอให้อยู่ในแวดวงคนเก๋ในนิวยอร์ก--เธอทั้งฉลาด สนุกสนาน มีงานเจ๋งๆ วงเพื่อนเยี่ยมและหัวใจด้านชา โสด...ไม่มีแฟน (แทนที่จะฝันถึงผู้ชายดีๆ สักคน ก็กลับฝันถึงเตาไวกิ้ง..เอากับหล่อนสิ) แรงบันดาลใจในการทำอาหารเป็นสไตล์อิตาเลียน-อเมริกัน หล่อนรักที่จะปรุงอาหารให้คนอื่นๆ รับประทาน "มันเป็นสิ่งเร้นลับที่ไม่มีใครเข้าใจได้" ซึ่งก็นานกว่าจะพบใครสักคนที่หล่อนจะเสิร์ฟมันให้ได้ โดยเฉพาะ เสิร์ฟให้เขากินชั่วกาล

ข้อเขียนของเธอร่าเริง เชื่อมั่นและผ่อนคลาย เขียนในมุมมองเหมือนเธอเป็นแขกที่มีอารมณ์ขันในงานปาร์ตี้อาหารค่ำ "มันเหงานะที่จะอยู่คนเดียว" ใช่! มันเหงาพอกันที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอชายที่สนุกสนานสักคน เพื่อเดต และช่วยฟาดลาซานญ่าฝีมือเธอให้เกลี้ยง จะเป็นชายหนุ่มมาดเนี้ยบ-มีสกุล-ดื่มจัด Jeff Goldblum นักเขียนการ์ตูน 60New Yorker หรือ The Scot นักเขียนนิยาย ซึ่งในแต่ละบท เช่น "Mitch Smith Liced the Plate" หรือ "Marcus Coldwell Ate and Ran" อุทิศให้กับความสัมพันธ์อันดี สูตรอาหารที่ทำเพื่อช่วงเวลาที่จีบกันและห่วงหาอาทรกัน

แม้ว่าจะมีชายที่เหมาะสมเข้ามาน้อยก็ตามที แต่ก็มีสูตรอาหารที่มาจากความสัมพันธ์ อันได้แก่ สปาเก็ตตี้ในไวต์ ทรัฟเฟิล ออยล์ ปิกนัวร์ ถึงคัฟเค้กที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้กับช็อกโกแล๊ต เบอร์เบิน ฟอร์สติ้ง เมลุซชี่ไม่มีบล็อก แต่เธอก็มีผลงานออนไลน์ สามารถตัดและแปะสูตรอาหารของเธอจากแมกกาซีนอาหารและ Epicurious.com ถ้าคุณมีพาสต้า กระเทียม ไวน์ขาว และพริกไทยแดงบด คุณก็สามารถทำอาหารตามสูตรของเมลุซชี่ ซึ่งแม่นยำและขำขันแบบไม่ตัดสินใครอะไรทั้งสิ้น อาจจะมากกว่า Rachale Ray หรือ Ruth Reichl

หล่อนกล่าวไว้ในหน้าคำนำในหนังสือของตัวเองว่า

"เวลาฉันไม่สามารถตกลงปลงใจเรื่องความรักได้สักที อย่างน้อยที่สุด ฉันจะเรียนรู้วิธีการปรุงอาหารให้ยอดเยี่ยม ให้อร่อยที่สุด เพราะว่าเมื่อคุณอยู่ในห้วงรัก คุณจะต้องการเวลาสำหรับสิ่งอื่น นอกเหนือจากอาหาร"

มาจากหัวใจ 2



The Sweet Life In Paris
Delicious Adventures In The World's Mast Glorious--and Perplexing--City
โดย David Lebovitz
282 หน้า สำนักพิมพ์ Broadway Books


เดวิดมีอาหารจานช็อพที่เยี่ยมที่สุด ในอดีตเขาใช้เวลาเป็นปีในงานส่วนเพสทรี้ที่ร้าน Chez Panisse แล้วจึงลาออกมาเขียนคุ๊กบุ๊ก สูตรอาหารของเขาธรรมดาทว่าซับซ้อนในที เช่น ซอสคาราเมลเนยสดเค็มๆ และหมูย่างกับน้ำราดบาว์น ซูการ์ เบอร์เบิน และบราวนี่ ดูชเดอ ลีซ การันตีมาแล้วจากคนทั่วโลกว่า ผู้ชายคนนี้คือ คนที่คุณอยากมีไว้ในครัวของคุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมบล็อกของเขาจึงมีคนเข้าไปอ่านถึง 400,000 ครั้งต่อหนึ่งเดือน

เดวิดใช้ชีวิตค่อนข้างแฟนตาซี หลังจากการตายของหุ้นส่วนชีวิต (แฟนใช่ไหมเอ่ย?) ชีวิตก็ผกผัน ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ปารีสที่ซึ่งนำเขาไปสู่ การทัวร์ช็อกโกแลต คุ๊กกิ้ง คลาส และเขียนคุ๊กบุ๊ก ในหัวข้อ เช่น ไอศกรีมหรือช็อกโกแลต แล้วก็เขียนบล็อก--โอ้!! งานของพ่อหนุ่มนี่มัน...

หนังสือของเดวิดรวบรวมการผจญภัยไว้ไม่มากไม่มาย--ทำงานในตลาดปลา (แม้ว่าเขาจะเกลียดปลาหมึกและการตื่นเช้า) และร้านช็อกโกแลต (แม้ว่าเขาจะไม่ชอบคำถามอันไร้ความรู้ความเข้าใจของคนอเมริกัน) ทว่ากลับแนะนำว่าอะไรที่ไม่ควรทำในปารีส วิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวันในเมืองแห่งอะไรๆ ก็ "ไม่"

มาจากหัวใจ 1



A Homemade life
Stories and Recipes From My Kitchen Table
โดย Molly Wizenberg
320 หน้า สำนักพิมพ์ Simon&Schuster


มอลลี่ วีเซนเบิร์ก ผู้หญิงที่หลงรักการทำเค้กและการเขียน เธอเปิดบล็อกมานานถึง 6 ปี ชื่อว่า "Orangette" เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารและชีวิตด้วยภาษาที่น่ารักและกระชับความ มากกว่าใช้การเขียนถึงอาหารที่ผูกโยงกับอดีต และสร้างสรรค์เป็นประวัติศาสตร์

ในหนังสือเรื่อง A Homemade Life : Stories and Recipes From My Kitchen Table ทุกเรื่องราวบอกเล่าสูตรอาหาร ข้อเขียนแต่ละหัวเรื่องย่อย วีเซนเบิร์ก บรรยายเรื่องการดูแลงานบ้านและงานครัวในโอคลาโฮมาที่ซึ่งเธอถูกสอนให้ใช้ชีวิต--อยู่และกินอย่างเต็มที่ หิวสุดๆ และกินเสียงดังๆ ไว้อย่างเปี่ยมเสน่ห์ หลังจากที่พ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง หล่อนก็หยุดพักการเรียนปริญญาเอก สาขามนุษยวิทยาวัฒนธรรม และทำตามเสียงร้องจากหัวใจที่ถูกกระตุ้นมาจากกระเพาะอาหารอีกที เขียนเรื่องอาหาร "Homemade" เพื่อเป็นวิถีบำบัดอาการเครียด หล่อนเดินทางไปปารีสสองสามสัปดาห์ หลังจากนั้น ก็กลับมาที่อพาร์ตเมนต์ในซีแอตเทิล และทำ...? เธอใช้เวลาทั้งวันสร้างสรรค์มีตบอลแห่งอารมณ์ หรือไม่ก็เค้กโยเกิร์ตแบบฝรั่งเศสกับเลมอน และเขียนถึงอาหารที่เธอเพิ่งทำเสร็จหยกๆ ด้วยภาษาร้อยแก้วสละสลวย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสครบถ้วน ตัวอย่าง (กล่าวถึงปลาชิ้นหนึ่งว่า "ปฏิบัติอย่างอ่อนโยนนุ่มละมุนละไมในอ่างไซเดอร์อุ่น หลังจากนั้นก็เคลือบในซอสสีคาราเมลที่นุ่มนวลดุจดั่งแพรไหม ซึ่งเมื่อความหวานผสานกับความอร่อยของรสชาติปลา...) และสูตรโยเกิร์ตเค้กถูกส่งข้อความถึงนักดนตรีในนิวยอร์กผู้ซึ่งชอบมันมาก ชายผู้นั้นติดต่อวีเซนเบืร์กผ่านทางบล็อกของหล่อน แล้วบอกว่า เขาและเพื่อนพบสูตรนี้ "ติดต่อกับคุณเพราะว่างานเขียนของคุณ พวกเรารู้สึกอยากคุยถึงเรื่องอาหารและชีวิตจริงๆ" หลังจากนั้นไม่นาน เขาและวีเซนเบิร์กก็รับประทานแรดิชกับเนยและเกลือฟลอร์เดอซาล เป็นอาหารเช้าด้วยกัน ตอนจบในหนังสือ เขาก็มีเค้กแต่งงาน ซึ่งก็คือสูตรเค้กอันนั้นนั่นแหละ โหย...จะโรแมนติกขนาดนั้น

ขณะที่หล่อนตั้งอกตั้งใจจัดการรูปแบบชีวิต วีเซนเบิร์กก็ยังคงเขียนบล็อกเช่นเดิม ด้วยสไตล์ที่มั่นใจ นั่นคือ นำสูตรอาหารใส่บล็อก และส่งข้อความถึงผู้อ่านโดยตรง "ฉันเรียนรู้ว่า การจูบผู้ชายขณะหลังพิงกับเครื่องล้างจานเป็นอะไรที่น่ารักมาก (เอาเลย! ลองสิ! ฉันจะรอ!)" เปรียบเทียบกับบล็อกเกอร์คนอื่นๆ หล่อนก็คือ Aric Monro ดีๆ นี่เอง

ไร้เดียงสา

ผมง่วงนอนมากเลยครับ อ้าปากหาวหวอดจนขากรรไกรเกือบค้างก็ยังนอนไม่หลับ

"หลับเถอะนะ หลับหรือยัง หลับหรือยังเอ่ย" ผู้หญิงผมยาวประบ่าผู้เรียกตัวเองว่า "แม่" ร้องเพลง ท่าจะเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเองสดๆ มือก็ไกวเปลสีฟ้า ที่มีมุ้งลูกไม้สีฟ้าเช่นกัน ครอบกันแมลงวันอีกที ซึ่งไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม? ก็นี่มันห้องแอร์ที่มีเครื่องกำจัดเชื้อโรคปราบแบคทีเรียและฝุ่นละอองในอากาศ สะอาดกว่าห้องหับในโรงพยาบาลบางแห่ง "อุแว้ๆๆ" คราวนี้ผมแหกปากเพราะฉี่ราดรดแพมเพอร์สเบบี้ดรายเป็นรอบที่สามแล้ว ก้นแบกรับภาระอันเกิดจากทุกข์ที่ถ่ายไว้หนักโฮก "มาแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกดีกว่า" แม่จับผมพลิกตัวกลับไปกลับมา แล้วอุ้มขึ้นมา จับผมหมุนหน้าหมุนหลังอีก แล้วแม่ก็จัดท่าให้ผมนอนแผ่ ดึงผ้าอ้อมสำเร็จรูปอันเก่าทิ้ง โยนโครมใส่ถังขยะอลูมิเนียมมีฝาปิด พ่อซื้อไว้ เขาบอกว่า มันเก็บกลิ่นดี แหวกกระดาษกาวตรงขอบเองดังพรืด ปิดทับลงบนผ้าอ้อมจนสนิท รัดรึงเอวของผมไว้แน่นกระชับ อึดอัดชะมัด! ผมต้องแขม่วท้องนะเนี่ย ไม่เอาดีกว่า ไม่ทนและ ผมดิ้นขลุกขลัก เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า "หายใจลำบาก" ตดดังปุ๋ง มันคลุ้งอยู่ในผ้าอ้อมไม่นาน ฟี๊...กลิ่นก็เล็ดลอดออกมา แหวะ! กลิ่นน้ำนมของแม่ที่ผ่านลำไส้ของผมแล้ว เหม็นตุใช่ย่อย เป็นเพราะผ้าอ้อมมันคับเกินไป ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้นะ

"คราวนี้หลับได้แล้วนะลูก" แม่บอก

ผมส่งสายตาบอกว่า "ฮับผม แต่แม่ต้องเปิดเพลงของน้าจัสติน หรือไม่ก็ลุงไมเคิลที่ตายไปแล้ว กล่อมผมนะฮับ เพลงกล่อมเด็กของแม่ไม่เพราะเสียเลย มันเหมือนกับเสียงตอนที่แม่บ่นพ่อให้ผมฟัง มันน่าเบื่อพอกันฮับ"

"อยากฟังแม่ร้องเพลงอีกใช่ไหมจ๊ะ" ผมรีบดีดดิ้นตัวอ่อนตัวโยน เปลแกว่งได้ด้วยตัวผมเอง กุก...กุก...กุก... แม่ชอบบ่นว่าผมอายุไม่กี่เดือน ทำไมฤทธิ์มากนัก แล้วแม่ก็ตัดสินใจไม่ร้องเพลงกล่อมเด็กให้ผมฟัง แต่ก็ไม่ได้เปิดเพลงจัสตินดิ้นได้ สงสัยแม่คงไม่ได้รับกระแสพลังจิตจากผมแน่ๆ ผมฝึกเจโตปริยญาณไม่ถึงขั้น "แปร้ด..." อี๋??? (แก้มแดงเพราะความอาย แล้วแกล้งกำมือเล็กๆ ขยี้หน้าขยี้ตา) ผมอึ๊อีกแล้วครับท่านผู้ชม "ไม่ได้ตั้งใจทำ ไม่ได้ตั้งใจทำ นมแม่พาทำ" ผมนึกในใจนะครับ เรียนแบบทำนองและเนื้อร้องบางส่วนจากเพลง "ไม่ได้ตั้งใจดำ" ได้ยินจาพี่สาวที่ทำงานบ้าน เขาเปิดเพลงฟังในครัว ผมไม่เห็นพี่สาวจะดำเลย ผมชอบพี่สาวนะครับ เพียงแต่ไม่ชอบกลิ่นส้มตำปลาร้าที่พี่สาวกินเท่านั้นแหละ คือผมแค่ไม่ชอบ ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี พ่อครับ...พออายุ 5 ขวบ ผมขอพี่เลี้ยงสาวสวยสักสองคน รีเควสเอ๊าะๆ นะครับ คนนึงตัวขาวๆ เอวเล็กๆ (วงเล็บไว้เพื่อบอกว่า อันนี้สำคัญนะครับ ขอหน้าอกหญ่ายๆ) อีกคนขอคล้ำๆ หน้าคมๆ ตัวแน่นๆ ผมจะเริ่มสะสมสาวไว้ตั้งแต่ 5 ขวบ โตขึ้นผมจะเป็นเพลย์บอย แต่ตอนนี้ขอเป็นเบบี๋ของแม่ก่อน

"อึอีกแล้วหรือครับตัวแสบ แม่จ๋าเวียนหัวกับหนูมากแล้วนะคะ" แม่บ่นๆ แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผม ทว่ากลับเดินไปคว้าโทรศัพท์กด 1. โทร. เข้าครัว ไม่ได้กด 2. สายตรงเข้าที่ทำงานของพ่อ "นกขึ้นมาหาพี่ด้วยจ่ะ น้องอึ๊" แม่รำคาญผมแน่ๆ เพราะปรกติแม่จะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผมด้วยตัวเอง ไหง? วันนี้ให้คนทำงานบ้านมาทำแทน ไม่ยุติธรรม ผมต้องการความอบอุ่นจากแม่ ผมรีบแสร้งส่งสายตาบ้องแบ๊ว กระพริบตาปริบๆ ให้อาโนเนะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอคะแนนความสงสาร ก็แม่นั่นแหละรัดผ้าอ้อมผมจนแน่นคับ มันก็ไล่ลมผมออกจากก้น แล้วหลังจากนั้นก็ไล่อย่างอื่นตามๆ มา เสียงกรุ๊งกริ๊งจากโมบายที่แขวนไว้เหนือเปลก็ดังน่าหงุดหงิด แม่รีบเปิดเครื่องดูดอากาศได้แล้ว ผมเหม็นอุนจิตัวเอง งอนแม่นะเนี่ย

เสียงพี่สาวเคาะประตูสีฟ้าหน้าห้อง ผมอยากบอกแม่เหลือเกินว่าผมไม่ชอบสีฟ้า พอๆ กับไม่ชอบสีชมพู ผมชอบสีดำกับสีแดงเพลิง ไว้ผมพูดได้ อ่านออกเขียนได้เมื่อไหร่ ผมจะบอกพ่อบอกแม่ทุกวิถีทางให้ละเอียดยิบว่า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จะได้ไม่ฝืนใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ขวัญใจคนทั้งบ้าน เลยไปถึงบ้านปู่บ้านย่าบ้านตาบ้านยาย นึกได้อีกว่าของแต่งห้องงุงิก็เก็บไว้ให้เป็นของขวัญลูกสาวบ้านอื่นเถอะครับ ผมไม่ชอบ แล้วขอร้องให้แม่ปิดอู่ปิดตายไปเลย ผมอยากเป็นลูกคนเดียว เหมือนตัวละครชายในนิยายญี่ปุ่นร่วมสมัยของฮารูกิ มุราคามิ ที่มีบุคลิกโดดเดี่ยว แปลกแยก เหงา ประหลาด ชอบหนีออกจากบ้าน และมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ผมจะโตเป็นคนอย่างนั้น พร้อมๆ กับวาดลวดลายแบดบอยให้เต็มเหนี่ยว

"เข้ามาได้จ้ะ นก" แม่ตีสีหน้าเฉย พูดเสียงดัง ทว่าเสียงดังของแม่คือเสียงเหมือนแมวร้อง อาการนิ่งของแม่นี่เหมือนผู้ดีดอกไม้สด

พี่สาวในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืดย้วย รี่เดินเข้ามาหยุดยืนข้างเปล ชำเลืองมองผมในเปลอย่างนั้นอยู่ได้ แล้วยกตัวผมขึ้น เหมือนคว้าลูกแตงโม มือพี่สาวสากจัง ง่า! ...ทะนุถนอมผมหน่อยสิครับ ผมลูกคนแรกของนายจ้างคุณนะ แม้ว่างานของคุณจะเป็นงานเล็กๆ ที่คนอื่นมองว่าไม่สำคัญ แต่มันสำคัญสำหรับผมนะ สองมือคุณคือระบบการทำความสะอาดของผมที่ถูกควบคุมด้วยจิตสำนึกของคุณ คุณจะทำให้ผมสะอาดก็ได้ หรือปล่อยผมไว้ให้เปรื้อนเปรอะก็ได้ จะประคบประหงมผมก็ได้หรือจะรุนแรงกับผม...ไม่ได้! ผมจะฟ้องแม่

แว้!

"อุ้มน้องเบาๆ หน่อยสินก น้องตัวเล็กนิดเดียว" ภาพคงบาดตากระตุ้นต่อมความจุกจิกของแม่เข้า

ได้ผลแฮะ เจ๋ง! กู๊ด! พี่สาวโดนดุ บอกแล้วไงว่า อย่า อย่า อย่า อย่ามาลองอย่ามาใกล้ไฟ เอ่ออ...คือว่าผมชื่อ "ไฟ" ครับ พ่อแม่ปู่ย่าตายายเรียกอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพ่ออยากให้ผมร้อนแรงเหมือนฟรายเยอร์ หรืออยากให้ผมเป็นผู้รู้ ผู้ตืน ผู้เบิกบาน (ไฟให้ความสว่างนี่ครับ) แต่ที่แน่ๆ ท่านคงไม่อยากให้ผมโตขึ้นเป็นฟายแน่ๆ

คุณผู้อ่านน่าจะรู้นะครับว่า โนเนะอย่างผมน่าจะอยู่ในไฟเหล่าไหน

ขอเซนเซอร์ภาพการล้างก้นนะครับ มันเอ็กซ์มาก ประเดี๋ยวกระทรวงวัฒนธรรมจะแบนผม ตัดลู่ทางอนาคตหมด เผื่อว่าสักวันผมจะได้เป็นศิลปินกับเขาบ้าง ทางท่านจะได้เอ็นดูที่ประวัติของผมสุดแสนจะคลีน ไร้บัญชีดำ ปลอดภัยไว้ก่อน อีกอย่าง เผื่อว่าสักวัน ผมเกิดผิดหูผิดตาขัดผลประโยชน์กับใครเข้า คู่อริ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีแน่ เกิดอยากแบล็คเมล์ผม ด้วยภาพเหล่านี้ล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้แม่ล้างก้นผมสะอาดแล้ว แถมเปลี่ยนแพมเพอร์สเบบี้ดรายให้สวมใส่กระชับไม่แน่นเกิน นอนแอ้งแม๊งสลับกับกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเบาะ บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป เพราะคุณแม่หวังพัฒนาหยักสมองของลูกน้อยด้วยเพลงคลาสสิคลาลาบาย พระเจ้าพี่ป๊อด! มันแย่มาก รสนิยมของแม่แตกต่างจากของพ่อโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นเพลงที่พ่อเลือกให้ผมฟัง พ่อจะเลือกเพลงที่พ่อแต่งขึ้นเอง หรือไม่ก็เพลงใหม่ล่าสุดจากศิลปินโนเนมในต่างประเทศ เพลงร็อกก็ดี เพลงแร๊ปก็ดี ดีกว่าเพลงงุ๊งงิ๊งลาลาบาย

แว้!

"เป็นอะไรไปลูก" แม่ซักผม ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมตอบแม่ไม่ได้

ผมทำปากจู๋หิวนม แม่ก็อุ้มผม ตะคองไว้ในอ้อมกอด ปลดกระดุม เลิกเสื้อ หลังจากนั้นทางกบว. ขอเซนเซอร์อีกรอบ ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมก็ว่า ภาพแม่ให้นมลูก มันไม่เห็นโป๊ กระตุ้นอารมณ์หื่นทางเพศเลย ไม่เลยสักนิด เพียงแต่ว่ามันบังเอิ้น บังเอิญ เห็นนมต้มชัดแจ้งเท่านั้นแหละ ที่ผมเสี่ยงไม่เล่าสู่กันฟัง เซฟ...เซฟ

ผมสะบัดหน้าจากหัวนมสีชมพูของแม่ เป็นอันรู้กันว่า "อิ่มแล้ว"

กริ๊ง!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แม่วางผมลงบนเปล ไม่...ยังไม่ติดกระดุมกลับเข้าที่ ก็รับสายโทร.

"ฮัลโหล บ้านคุณมาดีค่ะ"

"ขอสายคุณผู้หญิงหน่อยครับ"

"ว่าไงคะ คุณมาดี" แม่จำเสียงพ่อได้

"คุณมารวยหลับหรือยัง"

"ยังไม่มีท่าทีว่าจะหลับเลยค่ะ นอนยากที่สุด สงสัยว่า คุณต้องมากล่อมลูกนอนเสียเอง ฉันจนปัญญาแล้ว"

"คุณมาดีติดงานครับ ฝากคุณมารวยให้คุณผู้หญิงดูแลด้วยนะครับ อาริงาโตะ"

"พ่อกับแม่พูดคุยกัน ไม่เคยใช้สรรพนามแทนตัวเองถาวรสักครั้ง

บางวันก็ "เขา" กับ "ตัวเอง"

บางวันก็ "ที่รัก" กับ "เบบี๋"

บางวันก็ "ฮันนี่" กับ "ดาร์ลิ่ง"

บางวันก็ "พ่อ" กับ "แม่"

ผมเวียนหัวไปหมดแล้วว่า พ่อกับแม่ ของผมมีกี่คนกันแน่

"คิดถึงฮันหนีและเบบี๋นะ"

"คิดถึงยาหยี เหมือนกันค่ะ"

แม่วางสาย ติดกระดุมเสื้อ แล้วเดินมาหาผม ชะโงกหน้าเข้ามาในเปล "ลูกจ๋า พ่อของลูกโทร. มานะจ๊ะ บอกให้ลูกอย่าดื้อ นอนหลับเร็วๆ นะครับ"

ก็ได้! พอสิ้นเสียงแม่ ผมก็หลับตาปี๋

ฟรี้...

ไม่หลับแฮะ

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ในอเมริกา...อาหารในจอ



ในปี 1950 คนอเมริกันเพียง 9 เปอร์เซนต์มีโทรทัศน์ในบ้าน ผู้ชมชมรายการทำอาหารส่วนมากเป็นเพศหญิงที่มีจุดประสงค์มัดหัวใจสามีให้มีความสุขกับศิลปะการทำอาหาร อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันผู้ชมช่องอาหารในอเมริกาแทบจะไม่สนใจตัวอาหารเท่าไหร่นัก สนใจคนที่ทำอาหารมากกว่า อย่างเช่น แอนโธนี เบอร์เดน เชฟแบดบอย นักเขียนและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ คนไม่แคร์หรอกว่าเขาทำอะไร คนดูสนใจแค่ว่าใครเป็นคนทำมากกว่า

ครั้งแรกที่มีรายการอาหารในอเมริกา Dione Lucus ผู้ร่ำเรียนการทำอาหารมาจาก เลอ กอร์ดอง เบลอ เธอปรากฏในจอแก้วครั้งแรกในปี 1947 ด้วยเสื้อผ้าเปี่ยมเอกลักษณ์ เสื้อผ้าคอตตอนเนื้อหนาและกระโปรงทรงพองๆ แม้ว่าเธอมีบุคลิกภาพน่าเชื่อถือ บ่อยครั้งที่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้จากทักษะการทำอาหารอันชาญฉลาด "มันจะยอดเยี่ยมที่สุดถ้าคุณทำสตรูเดิล (ขนมของชาวเยอรมันชนิดหนึ่ง) เมื่อคุณรู้ความหมายว่ามันคืออะไร" หล่อนบอกกับผู้ชมในปี 1955 "ถ้าคุณตีแป้งโดช์ 99 ครั้ง สตรูเดิลจะออกมาค่อนข้างดี ร้อยครั้ง...ขนมจะออกมาดีเชียวล่ะ แต่ถ้าตีสัก 101 ครั้ง คุณจะได้สุดยอดสตรูเดิล"

และแน่นอนกว่าแน่นอนที่สุดว่า ผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงวงการรายการอาหารทางโทรทัศน์ที่ฉายทางช่องสาธารณะ จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก จูเลีย ไชล์ด เธอเผยโฉมหน้าครั้งแรกที่ช่อง PBS ด้วยเอพิโซด "The French Chef" ในปี 1962 Molly O'Neill อดีตนักเขียนอาหารของไทมส์บอกไว้ว่า "ไม่มีใครอีกแล้วที่ทำได้แบบนี้" แค่จูเลียพลิกแพนเค้กมันฝรั่งชิ้นเล็กๆ บนเตาอย่างทุลักทุเล ก็น่ารักน่าเอ็นดู นั่นทำให้จูเลียเป็นที่จดจำอย่างแพร่หลาย "ถ้าคุณอยู่ในครัวคนเดียว ใครเขาจะมาดู?" จูเลียว่าไว้อย่างนั้น

สามทศวรรษหลังจากการปรากฎตัวของจูเลีย ไชล์ด บนจอทีวี Food Network ก็ถือกำเนิดขึ้น ช่องที่ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง มีโชว์แสนคลาสสิก "dump and stir" (แปลว่า วางและกวน) คนคิดโปรแกรมค่อนข้างวางรายการอย่างวาไรตี้ เปลี่ยนรายการอย่างรวดเร็วจากการให้ความรู้สลับกับให้ความบันเทิง และเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็น "จากคนที่ชอบทำอาหาร มาเป็นคนที่รักการรับประทานอาหาร" กล่าวได้ว่า คอนเส็ปต์รายการอาหารทางโทรทัศน์ในยุคใหม่ มันไม่ได้มีบุคลิกเดียว Food Network กลายเป็นบ้าน "ที่คนอื่นทำแทนให้" หมายถึงช่องที่ผู้ชมสามารถจินตนาการตามที่ พอล, เกียด้า, เทย์เลอร์ และเชฟคนดังคนอื่นๆ สับเปลี่ยนมาทำอาหารให้คุณชม