วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้นแอ็บเสิร์ด

เรื่องสั้นแอ็บเสิร์ด
“เรือด”

มันเป็นชีวิตของสามีภรรยาสามัญคู่หนึ่ง และมันจะดำเนินเช่นนั้นตามกระแสธารชีวิตเปี่ยมสีสันเรื่อยๆ หากว่าใครสักคนไม่เขียน และใครอีกคนลืมลอบอ่านสมุดบันทึก “เรือด” ที่ชอนไชไปทั่วอณูเนื้อเตียง
...


สำหรับผมการแต่งงาน เหมือนบทพิสูจน์อะไรบางอย่างให้กับชีวิตอย่างสามัญเพิ่มเกร็ดรอย เป็นการทดลองที่ไม่มีข้อแม้สมมติฐาน เพียงแต่หวังว่ามันจะดีขึ้น เติมเต็มชีวิตให้ดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจเขียนบันทึกชิ้นนี้เพื่อย้อนรำลึกความสัมพันธ์ที่ฝังแน่นจนผมคิดว่าชีวิตนี้คงตัดไม่ขาดใย โดยไม่รู้มาก่อนว่า...
ผมค่อยๆ พลิกนิ้วที่ขอบบนกระดาษ อ่านข้ามบทตอนที่ไม่สลักสำคัญ เลือกอ่านเฉพาะบทอันว่า...

คำถามเชยๆ รักคืออะไร? รักของผมและพิมพิศเป็นแบบไหน... ผมว่ามันคละเคล้า ผมรักพิมพิศด้วยเสน่หา พรั่งพร้อมที่จะสานสัมพันธ์ทางเรือนกายด้วยอารมณ์เร่าร้อน รักที่พร้อมแสดงออกด้วยความใคร่ผ่านสายตา สัมผัส และบอกกล่าวความรู้สึก คุณจำได้ไหมเราพัฒนาความสัมพันธ์รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มเพียงใด ผมจะบอกคุณให้ มันแค่ไม่ทันข้ามคืนที่เราแปรความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานมาเป็นคู่รัก แล้วมันก็แค่ไม่กี่วันที่เรามีอะไรกันแล้วคุณก็ขนข้าวขนขนของย้ายมาอยู่กับผม เพียงชั่วแล่น แล้วเราตัดสินใจจดทะเบียนสมรส อยู่กินฉันท์สามีภรรยา ผมไม่เชื่อว่าคุณไม่ใคร่หาร่างกายที่คุ้นเคยและหลงเสน่ห์มันตั้งแต่ครั้งแรก คุณแสดงออกอย่างไม่มีขีดจำกัดเมื่อคุณต้องการมัน

ภายนอกเราเหมือนไร้ซึ่งความหึงหวง ผมทำงานที่หนึ่ง คุณทำงานของคุณ เรารู้จักคนมากมายที่ทั้งชื่นชมและเกลียดชังคุณรู้ไหมผมอดรนทนรอมีอะไรกับคุณไม่ไหวทุกครั้งที่ผมเห็นชายคนใดจับจ้องด้วยสายตาห่ามดิบกลืนกินร่างกายที่ผมคุ้นเคย แม้ผมเคยมองร่างคุณเปลือยมาหลายร้อยหลายพันครั้ง...คุณก็เช่นกัน ทำไมผมจะไม่รู้ไม่เห็นว่าคุณหยิบเสื้อผ้าของผมในตะกร้ามาดอมดมกลิ่นพิสูจน์ความซื่อสัตย์ คืนไหนที่ผมกลับดึกดื่น วันไหนที่มีกลิ่นน้ำหอมแปลกกลิ่น กลิ่นสบู่ที่ติดเสื้อไม่ใช่กลิ่นที่ใช้ประจำ จมูกเล็กๆ ของคุณทำหน้าที่สืบราชการลับในช่วงที่ผมยังไม่ตื่นนอนได้ไม่บกพร่อง ใครหรือคุณจะรู้ว่า ผมแอบหรี่ตาน้อยๆ ลอบสังเกตอยู่ แม้เราจะตั้งกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกพันมากมายเพื่อรักษาอิสรภาพและความรักของเราไว้ หากภาคปฏิบัติ เราทำมันอย่างเคร่งครัดได้เพียงบางข้อเท่านั้น เราทะเลาะกันเสียงดังถึงขีดสุดเพื่อล้วงลึกความนัยใจของอีกฝ่าย ไม่มีใครยอมรับผิด มีแต่เงียบจาง แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่องคุย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าวันสองวันก่อน...เกิดอะไรขึ้นบ้าง
...

ตู้เหล็กดูใหญ่ขึ้นๆ เมื่อผมเข้าใกล้ สภาพไร้ความสงบคำรามเป็นท่วงทำนองเพลงฟังก์กี้ ทันทีที่ผมออกมายืนจังก้านอกรถยนต์บุโรทั่ง เผลอจำรถศัตรูได้แม่นยำ คัตเตอร์ใบมีดเหล็กกรีดกรานทั่วถ้วนอวัยวะม้าเหล็กที่ชิงชัง ขว้างมีดและถุงมือยางลงในหนองน้ำกลางท้องนาโพ้นบ้านเพื่อทำลายรอยนิ้วมือเป็นหลักฐาน ไม่ช้าไม่นาน มือที่กำแน่นด้วยความแค้นเคืองคลายหมัดออกข้างหนึ่งเพื่อเดินไปเปิดเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดาล
“โธ่โว้ย!” เหล็กแหลมที่วางไว้ไม่รอบคอบเกี่ยวขากางเกงเข้า และนั่น นั่นมัน...
ชุดแฟนซีสุดจะคาดเดาได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหนและใครเป็นใครยั้วเยี้ยจนผมแทบสำรอก จากลาดเลาทั้งหมดจำได้แค่เพื่อนสนิทของพิมพิศผู้อยู่ในคราบนางแมวยวนสวาท ทว่าใช้กางเกงในซูเปอร์แมนสีแดงรัดรึงคลุมเป้า เมื่อเข้าใกล้ก๊วนแก๊งค์คนไร้สติมากขึ้น มือที่กำเอาไว้ก็พุ่งตรงเล็งที่แก้มซ้ายของมนุษย์กล้วยหอม คิมคชิตหงายท้องล้มผึ่ง ผมไม่ประหวั่นกระทืบซ้ำ คนที่เหลือรี่เข้ามารวบแล้วล็อกตัวผมไว้ให้อยู่นิ่ง สร้อยคอมุกของกระเทยสโนว์ไวท์รัดคอแน่น มัดลมหายใจให้ติดๆ ขัดๆ ตรงลำคอ ผมสะบัดแขนสะบัดขาอยู่นาน กว่าฤทธิ์บ้าเลือดเหือดสลาย คิมคชิตพยุงตัวลุกขึ้น ใบหน้าขาวๆ เปื้อนเลือด แสดงอาการคับแค้น นัยน์ตาเหลือกแทบถลน หาทางต่อยคืนหมัด หากว่าชาลี แชปลินร่างเล็กใช้ทั้งตัวและไม้เท้ากันท่าไว้ทัน
“พิมพิศกลับบ้าน” ผมตวาด ผมตะคอกตะโกนใส่ผู้อื่นในเวลาแสดงความเป็นเจ้าของและปรามความชั่วร้ายของฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นภัยแก่ตัว
“คุณผิดนะธรณ์ คุณเข้ามาทำลายปาร์ตี้” หล่อนกล้ามากที่ว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่า ผมไปเพราะทั้งรักทั้งหวง
ผมถลนตาขึง กำราบนิสัยช่างแย้งช่างเถียงที่ผมเกลียดทว่าไม่วายพบ
ในขณะนั้น ดูเหมือนม็อบแฟนซีจะเคลื่อนที่ออกไปชุมนุมที่หน้าบ้าน คิมคชิตลังเลเก้กังจะไม่ยอมตามขบวนงานแตกไปท่าเดียว “เราต้องคุยกันก่อน ขอเวลาหน่อยคิม” พิมพิศสบตาวิงวอนมนุษย์กล้วยหอมราดของเหลวสีแดงคล้ายแยมสตรอว์เบอร์รี่ตรงมุมปาก เขาถึงยอมขยับตัวเดิน
ผมฟังแล้วราวกับตนเองเป็นคนนอก ทั้งๆ ที่เป็นผัว
คิมคชิตเดินถัดไม่ไกลนัก ปากที่ปิดเอาไว้อึ้งทั้งๆ ที่ทนดูเรื่องราวที่สลับขั้วความถูกความผิด โลกที่บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ชวนให้พูดออกไปว่า “ไหนว่าไปนอนบ้าน”
ผมยืนแยกขาพอดี มือกอดอกเพื่อตั้งหลักมั่นเริ่มถกกระทู้คำโกหกคำโต
พิมพิศก้าวร้าวไม่แพ้ เชิดหน้า จมูกที่รั้นอยู่แล้วก็ยิ่งรั้น สีหน้าแววตาไร้ซึ่งความดูดำดูดีเหมือนทุกครั้งที่เราทะเลาะถึงพริกถึงขิง จึงว่า “ถ้าฉันบอกว่ามาปาร์ตี้บ้านคิม คุณจะยอมให้ฉันมาหรือเปล่าล่ะ แล้วถึงคุณยอม คุณจะรู้สึกดีไหม คุณทำฉันขายหน้าเพื่อนฝูง และคุณก็ทำร้ายคิม เขาไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย...” พิมพิศอ้าปากค้างคำพูดพรั่งพรูหลุดหล่น
ผมหน้าแดงโกรธจัด ทนคำลวงกัดกินสติไว้ไม่ไหว “แน่ใจนะพิมพิศว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วที่ตรวจครรภ์ในถังขยะนั่นล่ะ หรือจะบอกว่ามันเป็นลูกผม คุณก็รู้ว่าหลายเดือนมานี้ความสัมพันธ์เราคับตึงถึงขีดสุด ผมป้องกันทุกครั้งรวมทั้งคุณ มันมีเหตุเดียวที่พลาดก็ตอนคุณเมาไร้สติเหมือนตอนนี้” แล้วผมก็สงบสติอารมณ์ อันเป็นสิ่งที่ผู้ชายพึงทำเมื่อทะเลาะกับผู้หญิง มองไปที่ชาลี แชปลิน แต่งหน้าทำผมเป็นเซเลอร์ มูน พิมพิศหน้าเปลี่ยนสี ปากบุบบี้ ผิวหน้านิ่มสั่นไหวราวเจลลีกระพือเพรื่อม ผมจูงข้อแขนหล่อน ว่าตามจริง...กึ่งจูงกึ่งลาก ผลักบานประตูออก สัตว์ประหลาดหน้าประตูวี๊ดว๊ายล้มพับระเนนเทนเท่
“พิม คุณไม่ต้องไปกับเขาหรอก” เสียงคิมคชิตยื้อน่าหมั่นไส้ ความเหลือกลั้นเร่งให้ผมซัดหน้าคิมคชิตเข้าอีกครั้ง คราวนี้อ้าวงแขนส่งแรงสุดกำลัง “ไอ้สัตว์ ! ไอ้ชั่ว!” ผมสำทับอารมณ์สัตว์ป่าลงในกำปั้นเต็มกำลัง พิมพิศเข้าโอบรัดตัวผมไว้ถนัด เสียงเล็กๆ ขอร้องต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าให้โปรดอย่าได้มีเหตุร้ายแรงอันใดเกิดขึ้น ผมพยายามแกะมือออก แล้วยัดพิมพิศเข้าในรถ ขับห้อตะบึงออกไปอย่างที่ไม่เคยคิดกล้าทำ
เราหอบเหนื่อยจากการถูลูกถูกังทะเลาะตบตีกลางลานจอดรถ พิมพิศตั้งท่าจะกระโดดตึก ผมวิ่งรวบตัวไว้ทัน เวลาเธอหลุดบ้าขึ้นมาก็มีเหมือนลมบ้าหมูเข้าสิง ชักดิ้นชักงอตามอารมณ์สั่งดีๆ นี่เอง จำเลยฤทธิ์เยอะ ลูกตบลูกข่วน ฮึบ! กระโดดกัดไหล่ กระบวนท่าทำร้ายร่างกายสารพัดประเดประดังถาโถมเข้าใส่โจทก์ ผมควบคุมสถานการณ์ด้วยการเรียกรักษาความปลอดภัยของลานจอดรถผู้เฝ้าระวังเหตุการณ์ตลอดมา ให้เขาเคลียร์ทางที่มุ่งขึ้นห้องพัก เปิด-ปิดประตู พาขึ้นลิฟต์จนกระทั่งช่วยกันอุ้มเธอมาเย้ยหน้าห้อง จำไม่ได้แล้วว่าทิปเขาเท่าไหร่
เวลา 02.00 น. เมื่อวันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เรื่องจึงมีอยู่ว่า
พิมพิศกรี๊ดดังลั่น ไม่ได้เกรงอกเกรงใจผู้ร่วมตึกอาศัย
“ฉันไม่ได้ท้อง คุณเอาอะไรมาพูด” พิมพิศผลักไหล่ผมแรงพอให้ร่างโซซัดโซเซชนขอบโซฟา
“คุณทำลายหลักฐานไม่เนียน ท้องกี่เดือนแล้ว จะทำอย่างไรต่อ หรือว่า?” ผมพยุงตัวให้ตั้งหลักได้ แล้วเข้ามาจับไหล่เธอเขย่าให้รู้สึกตัวบ้าง
“ฉันจะเก็บเด็กไว้ ฉันมีปัญญาส่งเสีย คุณจะเลิกกับฉันก็ได้ เด็กนั่นไม่ใช่ลูกของคุณเหมือนอย่างที่คุณบอก” เธอบอกด้วยหน้าตาและโทนเสียงไม่ใยดี
“คุณเลิกกับผมง่ายๆ ทั้งที่คุณเป็นคนผิด คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณนั่นแหละเจ้ากี้เจ้าการทุกสิ่ง สั่งห้ามนอกใจ ให้คบคุณคนเดียว แต่คุณก็ทำมันทั้งหมดอย่างไม่ละอาย เห็นผมเป็นตัวตลกให้คุณขัน หรือว่าสัตว์เลี้ยงที่จะให้ทำอะไรตามใจนายอย่างสัตว์โลกที่คิดเองไม่ได้ คุณมีอะไรจะสารภาพผิดกับผมไหม?” ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สีแดงฉานเจือสีเนื้อกรำแดด ดูกล้ำกลืน
“มี” พิมพิศพยักหน้า แววตาขึงเข้มอย่างคนเอาจริงเอาจังกับชีวิต “ฉันอ่านในสมุดปกดำ แกนอกใจฉันก่อน พูดอย่างกับคนไม่เคยล้ำเส้น ดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะอ้วก ใจคุณก็เหมือนหมาจรจัดเที่ยวหาบ้านสิง ฉันก็อดทนกับคุณเหมือนกัน คุณด่าฉันสารพัดสารเพในสมุดนั่น เห็นฉันเป็นแม่กระรอกน้อยทำตัวน่ารักไปวันๆ หรือไง ใช่! ฉันมันงูพิษ” เธอว่า
ฝ่ายผมก็ได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ
ผมพยักหน้าแบบคนที่เข้าใจโลก แล้วกล่าวว่า “ผมรู้และอดทนกับวิชามารงูพิษขั้นสูงมาเยอะ แต่คราวนี้คุณเอาจริงกับคิม มากเกินไป มากกว่าผมประพฤติด้วยซ้ำ ผมไม่เคยคิดจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้น ผมรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่ตามมาอย่างไร แล้วคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไร คุณทำในสิ่งที่สักวันคุณจะไม่ให้อภัยตัวเอง คุณจะสำนึกผิดในสิ่งที่ทำกับผม เข้าหน้าผมไม่ติด เพราะถ้าเทียบความลวงโลกแล้ว คุณมีมากกว่าผมเยอะ” ผมท้าทายไว้เผื่ออีกหลายๆ วันในอนาคต
“ฉันทำอะไร?” ยิ่งพิมพิศลอยหน้าลอยตาถามหน้าซื่อๆ มันทำให้ความพิโรธบังคับบัญชาสถานการณ์ทุกสิ่ง ผมเดินเข้าไปหยิบซองสีน้ำตาลในห้องนอน ยื่นให้เธอง่ายๆ พิมพิศไม่รีรอตรวจสอบหลักฐาน ใช้เวลานานนับ แล้วบันดาลสีหน้าโกรธแค้น ใบหน้าที่พยายามเก็บความรู้สึกทว่ามันปิดไม่สนิท น้ำในตาไหลถั่งโถม ริมฝีปากสั่นระริก กรี๊ดลั่นเสียงดังลั่นห้องอีกครั้ง ผมใช้มือปิดปากเธอไว้ พิมพิศฉีกภาพทุกภาพ ทำลายเทปหลักฐาน ทึ้งข้าวของกระจุย
ผมว่า “ผมยังมีอีกหลายชุด”
มือที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกอดอกก็คลายทิ้ง ผมกระหยิ่มยิ้มอย่างคนมีชัยชนะ
“คุณทำไปเพื่ออะไร ฉันทนคุณต่อไปไม่ไหวแล้ว โรคจิตหรือเปล่า ตอนนั้นเราแค่เที่ยวกัน สนุกตามวิสัยคนรักสนุก ฉันกับคิมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี เราสนิทกันมันก็เรื่องธรรมดา ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพิ่งเกิดขึ้นเดือนสองเดือน แต่คุณตามดูฉันมานานเท่าไหร่แล้ว คุณตีสีหน้าซื่อได้แนบเนียนมาก ฉันว่านักเขียนอย่างแกไปเล่นละครดีกว่า ความชั่วช้าสามานย์ของฉันไม่เทียบทันเทียบเท่าคุณ ใช่สิ! นักเขียนใหญ่ โกหกปดเป็นว่าเล่นได้ โธ่โว้ย!!!”
“เพิ่งสัมพันธ์กับไอ้นั่นเดือนสองเดือน ตอแหล! ผมเห็นกล้องถ่ายรูปนั่น ภาพนู้ด ภาพกอดจูบ สารพัด ดีนะที่ไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ แล้วมันก็นานแล้ว นั่นแหละชนวนของทุกอย่าง แกยังกล้าโกหกทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่ก็ทรยศมานาน ใจคอทำด้วยอะไร เศษหินเศษกรวดยังไม่กระด้าง ไร้ความซื่อสัตย์เท่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้โง่ แต่ก็โกหกแล้ว โกหกอีก...” น้ำตาผมไหล น้ำมูกก็สั่งมาจากหนใดไม่ทราบ
พิมพิศเท้าสะเอว น้ำตาไหลพราก น้ำเสียงหยัดยืนว่าต้องเอาชนะ ทัดทานความหยาบคายของฝ่ายชายทนไม่ไหว “อยากฟังความจริงทั้งหมดแน่นะ! ได้! ก็ได้! กูจะคายทุกอย่างให้ฟัง” พิมพิศเดินวนเป็นวงกลมไปรอบๆ เหมือนคนสติหลุด ผมก็เดินเพื่อตามจ้องหน้า เรากำลังค้นลึกในตากันอย่างคนเล่นหมากรุกที่พร้อมวางหมาก
“คิมรักฉันก่อนหน้าที่ฉันพบมึงเสียอีก แต่ฉันก็ไม่รับรัก วางเขาไว้ฐานะเพื่อน ไม่อยากรักคนที่ทำงานด้วยกัน มันมีผลกระทบถึงงาน”
พิมพิศเรียกผมว่า “มึง” ผมยิ่งทวีความเกลียดชังหล่อน พอๆ กับชังคิมคชิต--ชายหน้าขาวที่ก้อล่อก้อติกตั้งแต่หล่อนเป็นแค่แฟน
“แล้วไง พูดซะคุณดูเป็นคนดี ดูเป็นนางเอก…อีตอแหล” คราวนี้น้ำตาที่พรั่งพรูบอกกล่าวกล่าวว่าอารมณ์ข้างในย่ำแย่กว่าคำพูด
“ใช่แล้ว! สักวันมึงจะได้รู้ว่ากูเป็นของมีค่าในสายตาเขา
“กูปฏิเสธเขามาตลอด เราสนิทกันมานานแต่สัมพันธ์เกินเพื่อนเมื่อไหร่ฉันไม่ได้จดบันทึกไว้เหมือนแก ไอ้ชั่ว รู้แต่ว่าเขารักฉัน หลายครั้งหลายคราที่ชีวิตฉันต้องพึ่งเขา เพราะมึงมันห่วย ฉันทนความรักความซื่อสัตย์อดรนทนรอฉันดั่งผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงอัญมณีเพียงชิ้นเดียวในโลกไม่ได้” พิมพิศชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แขนอีกข้างกางผายมืออย่างคนตั้งใจพูดเปิดอก นิสัยนางเอกสวยเลือกได้นี้คือหนึ่งในองค์ประกอบนิสัยงูพิษ นั่นแหละหล่อน
“แต่มึงเป็นเมียกูแล้วนะ” ผมถึงกับตะโกน
อีกฝ่ายไม่ยอมหยุดเหตุผลของตัวเองเช่นกัน และไม่ฟังเหตุผลของใคร “มันไม่ใช่วันที่ฉันเมาอย่างที่คุณสงสัยหรอก ทำนบความรักที่มีต่อแกมันทลายหลังจากที่ฉันอ่านบันทึกเลวๆ นั่น จะมาอ้างว่า แต่งงานแล้ว เอาเปรียบผู้หญิงได้ กูผู้หญิงธรรมดาที่ไหน ถ้าธรรมดาแบกับดินก็ว่าไปอย่าง แล้วมันก็ทำให้ซึ้งภาพลักษณ์มารร้ายที่เคลือบมาดสุภาพบุรุษไว้ กูเริ่มแขยงมึงตั้งแต่วันนั้น รู้ไว้ซะด้วย กูก็เก่งเหมือนกันใช่ไหมที่ทำให้จับความรู้สึกแท้จริงไม่ได้ อยากรู้อะไรไหม วันที่แกไปมิลาน กูก็พาคิมมานอนที่โซฟาตัวโปรดของแก รู้ทั้งหมดแล้วพอใจหรือยัง”
ชั่ววูบแล่นที่พิมพิศใช้สรรพนามสลับไปสลับมาเป็นเพราะอารมณ์แกว่งไกว ไร้ศีลธรรมยึดเหนี่ยว
ผมตบหน้าเธอฉาดใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ผมทำร้ายผู้หญิงและพูดจาเหมือนแมงดาข้างถนน ผมร้องไห้หนักขึ้นๆ กำปั้นทุบกำแพงจนเนื้อช้ำเลือดห้อ คุกเข่าร้องไห้เหมือนเด็กๆ “คุณบอกผมสิว่าคุณรักเขาไหม” พูดไปน้ำมูกก็ไหลเข้าปาก
“รัก” พิมพิศนิ่งแล้วตอบเสียงเรียบ จ้องมองผมอย่างผู้เหนือกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้น
ผมพยุงร่างกายที่พังพาบขึ้นมา เพื่อพยายามซ่อนความอ่อนแอ ทว่าก็พลั้งปากออกไปว่า“คุณต้องทำอะไรสักอย่าง” ผมพูดทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจในคำตอบ
“เราเลิกกัน”