วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Life after life



เพราะว่ายังรู้ว่าความยากลำบากที่สุดของการมีชีวิตอยู่คือ การรู้จักคุณค่าในตัวเอง มันถึงมีวันใหม่เริ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า

“เมื่อวานผมรับประทานข้าวและกินยาครบมื้อตามที่หมอบอก แล้วยังปลูกต้นไม้ด้วยหนึ่งต้น” เขาพูดแล้วอมยิ้ม แม้นัยน์ตายังดูลอยๆ

ผู้ชายในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตา ท่าทางดูยิ้มแย้ม เป็นมิตรกับคนทั่วไป ทว่าเมื่ออยู่ใกล้ชิดเด็กชายอายุ 14 ปี เขากลับดูอบอุ่นใจดีเป็นมิตรขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ ลองปลูกต้นไม้เพิ่มอีกต้นสิ ปลูกเผื่อหมอด้วย” เขาตอบกลับไปว่าอย่างนั้น

“ครับ อาหมอ” เด็กชายรับคำพร้อมแววตาสุกใสเปล่งประกาย ขอบปากเหยียดมุมกระดกขึ้นเล็กน้อย ทำทีท่าว่ากำลังยิ้มนิดๆ

1.
แต่ไหนแต่ไรมา เขารู้สึกว่าการทำหน้าที่หมอผู้บำบัดจิตใจคนให้ผ่องแผ้ว ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของเขาแล้ว หากเสมือนชีวิตจิตใจ เขาเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว วันหนึ่ง...เขาหดหู่เสียใจให้กำลังใจใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง วันนั้นเขาจะทำอย่างไรกับชีวิต จะร้องไห้ จะเงียบงัน หรือหัวเราะให้กับชีวิต เขาพยายามนึกถึงห้วงเวลาที่เสมือนว่าตนเองเดินอยู่ท่ามกลางละอองอากาศขาวขุ่นดั่งปุยเมฆที่นวลฟูจับตัวเป็นหมอกหนา แต่ข้างหน้ากลับไม่มีอะไรให้มองเห็นมากไปกว่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าไม่มีใครที่เขาจะให้คุณค่ากับคนคนนั้นได้คอยอยู่ ในทางกลับกันถ้าเขาไม่มีใครเลยสักคนที่จะมอบรอยยิ้มอันแสดงถึงคุณค่าเล็กๆ ที่เขามีอยู่พอให้ใจได้ฉ่ำชื้น

เขาคิดอยู่ชั่วครู่

2.
“พี่เปิดซิงเกิลใหม่ของ “Flo Rida” ให้หน่อย มิกซ์จ๊าบๆ นะเพ่ แตร๊งค์ๆๆ” เขาใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้จ่อที่ริมหน้าผากคล้ายกระทำวันทยาหัตถ์แทนการขอบคุณอีกรอบแล้วเดินหันหลังจากไป

ในยามค่ำคืน ผับเธคที่เปิดเพลงเสียงดังอึกทึก แสงสีและไฟสลัวๆ ที่ฉาบเคลือบทั้งเวลาและสถานที่ไว้ให้ดูเหมือนเป็นยี่ห้อของมัน ผู้คนแต่งสวยแต่งหล่ออวดโฉมเฉลา แน่นอนว่าพวกเขาตั้งใจแต่งมาเพื่อให้คนอื่นดูชม หรือไม่ก็เพื่อเคารพและให้เกียรติกับเวลาและสถานที่ เวลาแบบนี้แต่งตัวมอซอมาก็ได้ มันก็ไม่ได้ผิดกฎ กฎที่แท้จริงอาจมีอยู่แค่ว่า มาพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วมีเงินจ่ายเท่านั้น หากแต่ถ้าอยากแต่งชุดอยู่บ้านมาผับบาร์ซึ่งมีคนมารวมกันเพื่อฉลอง สังสรรค์ ทำความรู้จักก็อาจจะดูเหมือนเขาน่าจะอยู่บ้านรู้จักกับตัวเองมากกว่าที่จะมาในสถานที่แบบนี้

“มาร์การิต้า 1 โซดาเพิ่มอีก 2 โต๊ะ 4” ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ ซึ่งดูก็รู้ว่าคือบริกร กำลังพูดกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่หน้าบาร์ด้วยเสียงก้องแต่เรียบรื่นคล้ายว่าไม่มีเจตนาหรือจุดประสงค์ที่จะหมายความอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น ในตอนแรกที่เขาทำงานที่นี่ เขาไม่เคยชอบมันเลย แม้จะเป็นงานที่เขาท่องไว้ในใจเสมอว่าคือ การให้ความสุขแก่ผู้อื่น ยิ่งพยายามก็เหมือนยิ่งฝืน เพราะเมื่อต้องรองรับคำสั่งของผู้คนทุกอย่างที่มากกว่าออร์เดอร์อาหารและเครื่องดื่ม แม้ว่าเขาจะตอบคำถามการสมัครงานเข้ามาว่า เขามาทำงานที่นี่เพราะรักงานบริการ นั่นก็หมายถึงการทำให้คนอื่นมีความสุข เขาก็ยังรู้สึกว่า งานหน้าบาร์ที่คอยเตรียมเครื่องดื่มให้ผู้อื่นกลับดูมีความสุขมากกว่า

3.
“กินข้าวหน่อยสิลูก อย่ามัวกินแต่ขนม แม่ต้องทำงานนะ หนูโตแล้วนะ กินข้าวอีกหน่อย ดูสิ คิตตี้ดูเหี๊ยว...เหี่ยว”

“คร้า...ถ้าหนุกินแล้วคิตตี้โตขึ้น หนู๊จะได้คิตตี้ใหม่อีกตัวใช่ไหมค้า” สาวน้อยพูดกับมารดาเสียงอ่อนเสียงหวาน

“แม่บอกไม่ได้จ่ะ เพราะแม่ยังไม่คิดว่าคิตตี้จะโตขึ้น ถ้าหนูกินข้าวทีละคำสองคำแบบนี้”

“อ่า...แม่อ่ะ” เด็กหญิงคนเดิมบ่นอุบอิบพลันยืดตัวแมวคิตตี้บนเสื้อยืดให้ขยายใหญ่ขึ้น ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างกาย รอบตัวเธอมีแต่กองเอกสารหนาตึกที่นำกลับมาจากที่ทำงานมาตรวจแก้ไขในวันหยุดพักผ่อน...ชำเลืองมองแล้วได้แต่อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางมองค้อนสาวน้อยสุดที่รักนิดๆ

4.
บรรยากาศในโรงพยาบาลวันนี้อึมครึมเนื่องจากฟ้าฝนเบื้องบนเหมือนจ้องจะตกห่าใหญ่แต่หัววัน ผู้คนต่างรีบร้อนเข้ามาในโรงพยาบาล บ้างหนีฝน บ้างก็อยากได้คิวตรวจรักษาที่รวดเร็วขึ้น เขาเดินตรงจากด้านหน้าโรงพยาบาลมายังโต๊ะคิวรอตรวจอาการ แล้วจึงเข้าไปที่ห้องตรวจไข้อย่างรีบร้อน เพราะอยากตรวจประวัติคนไข้ที่เขานัดพบในวันนี้ก่อนการตรวจรักษาจริง ที่หน้าห้องของเขามีพยาบาลร่างบางยิ้มรับอรุณและกล่าวสวัสดีทักทายด้วยสีหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มทำงานจริงๆ เขาเอะใจเล็กน้อยที่เมื่อเปิดประตูห้องบานเดิมในวันนี้ เด็กชายคนเดิมผู้ซึ่งไม่มีคิวตรวจ มานั่งรอเขาอยู่ในห้องอยู่แล้ว

“อ้าว...ทำไมมาทำงานก่อนหน้าหมออีกเนี่ย” จริงๆ แล้วเขาตั้งใจแซวเด็กชายเล่น แต่แล้วก็สังเกตเห็นใบหน้าของเด็กชายที่เอี้ยวตัวกลับมามอง เขาตาบวมนิดหน่อยเหมือนผ่านการร้องไห้มาแล้วชั่วครู่

“หมอครับ ผมปลูกต้นไม้ให้หมอแล้วนะครับ” เด็กชายพูดแล้วเงียบไปอีกครู่

“สุนัขที่บ้านของผม ผมสนิทกับมันมาก มันตายแล้วครับหมอ ผมจะไม่มีวันได้เจอมันอีก ผมร้องไห้เพราะเสียใจมากจริงๆ แต่ผมก็ดีใจเหมือนกันครับ ที่มันตายอย่างสงบ...ตัวมันยังอุ่นอยู่เลยตอนที่ผมเดินออกจากบ้าน ข้ามถนนมาหาหมอ”


วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Celebrities Buzz


ถ้าให้นึกถึงค็อกเทลแก้วโปรดที่ฝังใจหนุ่มสาวทั่วโลกแล้วละก็ สำหรับคุณสุภาพบุรุษ คงไม่มีค็อกเทลแก้วไหนจะไฮเอนด์ไปกว่าการได้นั่งละเลียด “Vodka Martini” ตามแบบฉบับสายลับอังกฤษ 007 ของเอียน เฟลมมิ่ง ขณะที่สาวเก๋ทั้งหลายคงไม่มีใครไม่โหวตให้ “Cosmopolitan” เครื่องดื่มคู่กายของแครี่ แบรดชอว์ ที่สวมบทบาทโดยซาร่าห์ เจสซิก้า ปาร์กเกอร์ จากซีรีส์ดังอย่าง Sex and the City

Dry Martini

“เขย่าห้ามคน” คือสูตรว็อดก้ามาร์ตินี่ที่สายลับเจมส์ บอนด์ดื่มทุกภาค นอกจากนี้เขาเพิ่มรายละเอียดของมาร์ตินี่แก้วนี้ขณะอยู่ระหว่างวงพนันสุดหรูในภาค Casino Royale (นำแสดงโดยแดเนียล เคร็ก) ว่า “ใส่กอร์ดอน (จิน ของประเทศอังกฤษ) 3 ส่วน ว็อดก้า 1 ส่วน (ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นยี่ห้อ Smirnoff) และ Kina Lillet (ไม่ใช่เวอร์มุธอย่างเคยๆ) เชกกับน้ำแข็ง แล้วใส่เปลือกเลมอนฝานด้านบน”

ส่วนผสม

ว็อดก้าแช่เย็น 60 มิลลิลิตร
เวอร์มุธ 2 หยด

วิธีทำ

01 นำส่วนผสมทั้งหมดมาคนในน้ำแข็ง 10 ครั้ง
02 รินเฉพาะน้ำลงในแก้วมาร์ตินี่แช่เย็น
03 ตกแต่งด้วยเปลือกส้มหรือมะกอก



Cosmopolitan

นี่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวนิวยอร์กเกอร์ในทศวรรษ 90 ซึ่งได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ จากสาวๆ ในซีรี่ส์ยอดฮิต ผู้มีภาพลักษณ์ เก๋ ฉลาด สวยซ่อนเปรี้ยว อย่างกลุ่มแก๊งเพื่อนสาวของแครี่ แบรดชอว์ ที่มักจะออเดอร์แก้วนี้บ่อยครั้งยามตั้งวง (อาหาร-ดื่ม-สนทนา...ทุกยามที่ได้อยู่ครบวง) ล่าสุด การเอ่ยชื่อค็อกเทลแก้วนี้ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ Sex and the city ปี 2008 มิแรนด้าตั้งคำถามว่า “ทำไมพวกพวกเราถึงเลิกดื่มคอสโมโพลิแทน” แครี่สวนตอบทันควันว่า “ก็เพราะคนอื่นๆ ดื่มไงจ๊ะ” อ่ะ! ต้องยอมให้เทรนด์เซ็ตเตอร์ตัวแม่เขาล่ะ

ส่วนผสม

ว็อดก้ามะนาว 30 มิลลิลิตร
น้ำมะนาวสด 7.5 มิลลิลิตร
ทริปเปิล เซ็ก 22 มิลลิลิตร
น้ำเครนเบอรี่ 30 มิลลิลิตร


Classic Mojito

จัดเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของเจมส์ บอนด์ ในตอน Die Another Day (บอนด์ในภาคนี้นำแสดงโดยเพียซ บอสแนน) ยามอยู่ริมทะเลในคิวบา ตามที่มาที่ไปและรกรากของเครื่องดื่มแก้วนี้ที่มาจากประเทศคิวบา ดินแดนที่ผลิตซิการ์กันเป็นที่เอิกเกริก แถมผู้คนดื่มยังนิยมดื่มรัมเป็นว่าเล่น ว่ากันว่า โมฮีโต้เข้ากันได้ดีกับชายทะเล ฤดูร้อน และเมืองร้อนเป็นที่สุด เนื่องจากความหวานของน้ำตาลทรายผสานความเปรี้ยวของผลไม้ Citrus อย่างมะนาว ผนึกกับกลิ่นของใบมินต์สดๆ นั้นชื่นใจดีแท้

ส่วนผสม
ฮาวาน่า โกล์ด รัม 45 มิลลิลิตร
น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนชา
มะนาวสด 12 ชิ้นเล็ก
ใบสะระแหน่ 8 ใบ

วิธีทำ
01 บดส่วนผสมต่างๆ
02 เติมเหล้ารัมลงไป
03 รินโซดาเพิ่มด้านบน
04 เติมน้ำแข็งบดลงไป คน 10 ครั้ง
05 ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ เสิร์ฟในแก้วไฮน์บอล

Part III

Famous Caviar Restaurant, Please!

01.Caviar Russe (538 Madison Avenue, ใกล้กับ 55th Street, New York)ร้านหรูที่มีคาเวียร์ให้เลือกรับประทานเยอะที่สุดแล้วในนิวยอร์ก “Caviar Russe” ตั้งอยู่ใกล้ๆ ถนนสายธุรกิจ ร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านผู้คนพลุกพล่าน บรรยากาศภายในร้านตบแต่งแบบรอยัล รัสเซียน บริเวณด้านหน้ามีบาร์คาเวียร์เล็กๆ กับวอดก้าขวดหรูระยับวางเรียงรายเป็นแถวยาว ผู้จัดการยังเป็นคนเดิม Scott Skey ถ้าไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับคาเวียร์ก็ถามเขาได้เลย คำอธิบายฟังง่ายๆ มีให้ลูกค้าทุกคน ส่วนของดีของเด็ดที่ต้องลองมี “พาร์ม สเต๊กทาร์ทาร์กับคาเวียร์” และ “โกลเด้น ออสตร้า” คาเวียร์รสนุ่ม สดชื่นและไม่เค็มมาก ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะขนาดบรรณาธิการนิตยสาร Gourmet อย่าง Ruth Reichel ยังชมเปาะ


02.Petrossian Caviar Restaurant (321 North Robertson Boulevard, north of Beverly Boulevard, Los Angeles) เหมาะสำหรับคาเวียริต้าตัวจริง ฟู้ดดี้แอลเอบอกเป็นเสียงเดียวว่าอร่อยด้วยและเดิ้นด้วย แหม...ก็แค่การตกแต่งร้านแบบ Cozy (บ้านสวยใสสีอ่อนๆ แบบบ้านชานเมืองของชาวอังกฤษ) ชวนผ่อนคลายก็กินขาด แต่ละเมนูก็ราคาไม่แพงมาก คนไม่รวยมากก็พอกินได้ คาเวียร์พร้อมกับไข่ปลาอร่อยๆ ชนิดอื่น หรือจะเป็นฟัวกราส์กินกับโทตส์หรือขนมปัง แค่เมนูละ 19 ดอลลาร์ แล้วอย่าพลาดช็อกโกแลตใส่วอดก้า (เมนูนี้เรียกว่า “Caviar Pearls”) เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้


03.Maison du Caviar (21, Rue Quentin-Bauchart, Paris) เบลูก้าและเซโวรกร้าของที่นี่ไม่มีคำว่า “ผิดหวัง” เพราะนอกจากจะเปิดร้านอาหารแล้วยังมีบริษัทจัดจำหน่ายคาเวียร์ชื่อ “Caviar Volga” เป็นของตัวเอง ส่วนเมนูอื่นๆ เช่น สโม้กแซมอน และแครป รอยัล สลัด ก็เป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน อาหารส่วนมากเป็นของดีตำรับดั้งเดิม นำเสนออาหารจานปลาและอาหารรัสเซียนสไตล์เป็นหลัก ร้านนี้จึงเหมาะกับลูกค้าระดับผู้บริหารหรูเลิศ ป้องปากบอกว่า เฟิร์สต์คลาสกว่าเฟิร์สต์คลาส สำหรับผู้ที่ต้องการลองแวะไปชิม เตรียมบัตรเครดิตแพตตินั่มไว้ให้ดี บัตรของคุณอาจฉีกได้ถ้ามาร้านนี้

Part II

Did you khow?
01. International Caviar :
ในต่างประเทศ (นอกเหนือจากประเทศอิหร่านและประเทศรัสเซีย) อนุโลมให้เรียกไข่ปลาสายพันธุ์อื่น นอกเหนือจากปลาสเตอร์เจี้ยนว่า “คาเวียร์”

ในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส “ไข่ปลาแซมอน” “ไข่ปลาเทราต์” “ไข่ปู” “ไข่กุ้งล็อบสเตอร์” “ไข่ลัมป์ฟิช” และ “ไข่ไวต์ฟิช” ก็คือคาเวียร์

“Red Caviar” ที่นิยมในตลาดสหรัฐอเมริกา มาจาก “Chum Salmon” และ “Coho Salmon” ในอลาสก้าและประเทศแคนาดา ที่นั่นถือเป็นแหล่งผลิตเรด คาเวียร์ ที่ดีที่สุด

ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอุรุกวัยผลิตคาเวียร์ได้จากปลาสเตอร์เจี้ยนสายพันธุ์ “Baerii” ซึ่งแม้จะมาจากสายพันธุ์เดียวกันแต่ก็แตกต่าง คาเวียร์จากฝรั่งเศสค่อนข้างนุ่ม เม็ดสีดำ กลิ่นเค็มเกลือนำโด่ง มีรสหวานปะแล่มซ่อนอยู่น้อยๆ ส่วนคาเวียร์อุรุกวัย เม็ดจะเล็กกว่า เนื้อเหนียวนิดหน่อย รสเค็มมาก และมีกลิ่นซับซ้อนยากจะอธิบาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ในประเทศจีน, ก็มีคาเวียร์ชั้นเลิศภายใต้การผลิตของบริษัทอเมริกันชื่อ “California Sunshine Fine Food” อยู่เช่นกัน

02.The Highest Price!
“Almas” คือคาเวียร์ที่หายากที่สุดและแพงที่สุดในโลก (กิโลกรัมละ 11,000 ดอลลาร์) ผลิตจากสเตอร์เจี้ยนเผือกในทะเลสาบแคสเปี้ยนเพียงปีละ 3-5 กิโลกรัม สีคาเวียร์จึงเป็นสีขาวทองสะท้อนแสง ว่ากันว่า ผู้ที่จับปลาชนิดนี้ได้ โชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก

03.Packaging : คาเวียร์เกรดดีจากรัสเซียจะติดฉลากด้วยคำว่า “malossol” มีความหมายว่า “เค็มอ่อนๆ” ซึ่งก็คือวิธีเก็บคาเวียร์ไว้ด้วยการใช้เกลือจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามธรรมชาติ คาเวียร์เป็นอาหารที่เสียได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องแช่เย็นไว้เสมอ ส่วนถ้าหน้ากระป๋องมีคำว่า “Pasteurized Caviar” คือไข่ที่ผ่านการปรุงแล้วเพื่อการเก็บรักษาให้ยาวนาน โดยไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็นก่อนเปิดกระป๋อง

04. Benefit : คาเวียร์ 1 ช้อน บรรจุวิตามินบี 12 ที่ร่างกายต้องการภายใน 1 วัน แม้ว่า “คาเวียร์” จัดเป็นอาหารที่มีแคเลสเตอรอลและเกลือสูง การเสิร์ฟคาเวียร์ในขณะที่เย็นมากจะช่วยให้รสคาเวียร์อ่อนลง เป็นธรรมชาติเหมือนเพิ่งมาจากท้องทะเล

Common, Caviar Craving! Part 1(From food of life Vol.14 Star&Celebrities)


หากเปรียบโต๊ะอาหารประหนึ่งโลกเซลลูลอยด์แล้ว “คาเวียร์” ก็คงไม่ต่างอะไรกับดาวดวงเด่นที่ประดับอยู่บนโลกแห่งแสงสี ประดุจอัญมณีสีดำที่ควรค่าแก่การเป็นเพชรบนยอดมงกุฏ ค่าที่เป็นเมนูล้ำค่า ประหนึ่งสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งหรูหรา ผสานกับการตกแต่งที่งดงามอมตะ บ่งบอกถึงรสนิยมอันแสนพิลาสพิไลและหรูระยับ

หากจะถามว่าเพราะเหตุใดคาเวียร์จึงเป็นอาหารเลิศหรู? ทั้งหมดนั้นคงต้องยกคุณงามความดีให้กับชาวรัสเซีย ผู้สรรค์สร้างให้คาเวียร์เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและร่ำรวย นาทีนี้ขอให้ลืมความเป็นคอมมิวนิสต์-สงครามเย็น-ภาพลักษณ์ความยากจนทั้งหลายทั้งปวงของชาตินี้ (ที่เคยมี) เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ราชวงศ์รัสเซียได้รับการยกย่องว่าเป็นราชสำนักที่ร่ำรวยหรูหราไม่แพ้ชาติใดในโลก “คาเวียร์” จึงถือเป็นอาหารที่ถูกเสิร์ฟบ่อยครั้งยามมีการเลี้ยงอาหารสุดสัปดาห์ งานแต่งงาน และงานเทศกาลอื่นๆ

ตามธรรมเนียมการเสิร์ฟคาร์เวียแบบเก่าก่อน มักเสิร์ฟคาเวียร์มาในสแตนด์น้ำแข็ง รับประทานด้วยช้อนมุก (Mother-of–Pearl Spoons) ดื่มกินพร้อมกับวอดก้าเย็นเชี้ยบ หากอยากเห็นภาพวิธีการรับประทานให้ย้อนกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง “The Curious Case of Benjamin Button” ที่ดัดแปลงจากนิยายของเอฟ สก๊อต ฟิทซ์เจอราลด์ ฉากที่ Abbott ชู้รักของ Button กำลังปันคาเวียร์และวอดก้า ภายในบรรยากาศเงียบๆ ในร้านอาหารยามค่ำคืนขณะที่เรือเดินสมุทรกำลังแล่นอยู่ในอาณาเขตรัสเซีย ฉะนั้น จึงมีคำกล่าวว่า ตามปกติพ่อครัวชื่อดังปรุงอาหารย่อมช่วยเพิ่มมูลค่าอาหารเป็นเท่าตัว เว้นแต่คาเวียร์ที่ยิ่งปรุงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คาเวียร์ด้อยค่า เนื่องเพราะคาเวียร์จะมีค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นคาเวียร์ล้วนๆ เท่านั้น

Where is caviar from?
ตามปกติแล้ว เจ้าไข่ปลาที่เรียกว่า “คาเวียร์” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำนั้นจะต้องเป็นไข่ปลาสเตอร์เจียน (ยกเว้นบางประเทศ) จากข้อมูลที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ ทั่วโลกมีปลาสเตอร์เจียนอยู่ 25 สายพันธุ์ ในจำนวน 25 สายพันธุ์ มีอยู่ 5 สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแคสเปี้ยน (ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในทวีปเอเชีย อาณาเขตครอบคลุมรัสเซีย อิหร่าน และเตอกิสสถาน) แล้วในจำนวน 5 สายพันธุ์นี้ มีเพียง 3 สายพันธุ์เท่านั้นที่สามารถผลิตคาเวียร์ได้ นั่นก็คือ สายพันธุ์ “Beluga” สายพันธุ์ “Osetra” และสายพันธุ์ “Sevruga”

01. Beluga จัดได้ว่าเป็นคาร์เวียร์ที่ดีที่สุดและมีราคาแพงที่สุด คาเวียร์ชนิดนี้ผลิตจากปลาสเตอร์เจี้ยนขนาดใหญ่ที่สุด (ราว 6 เมตร) หนักราว 600 กิโลกรัม มีน้ำหนักไข่ 15-18 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว เบลูก้าตัวเมียไม่สามารถผลิตไข่ได้ก่อนอายุ 17 ปี (นี่เองทำให้มีราคาแพงหูฉี่) ส่วนมากอาศัยในทะเลสาปแคสเปี้ยน พบบ่อยในบริเวณพรหมแดนระหว่างอิหร่านและรัสเซีย บางครั้งหาได้ในทะเลดำและทะเลอะเดรียติก เพราะฉะนั้น เบลูก้าคาเวียร์ของแท้ส่วนมากจึงมาจาก 2 แหล่งนี้ จะพบเพียงแค่ประปรายในละแวกประเทศใกล้เคียง

หากให้พิจารณาหาความต่างของเบลูก้า คาเวียร์ประเภทนี้แยกได้ง่ายกว่าอันอื่นๆ พินิจพิเคราะห์ดูก็จะเห็นลักษณะของไข่ที่ใหญ่เท่าเมล็ดถั่ว (pea size) สีเทาค่อนไปทางสีเงินจางๆ หรือบางครั้งก็ดำสนิท รสชาตินั้นต้องขบเบาๆ กลั้วด้วยวอดก้า รสดรายของว็อดก้าจะสามารถดึงรสครีมมี่และรสเค็มจากเกลืออ่อนๆ ออกมา เมื่อกัดไข่แต่ละหน่วยจะพบความมัน-ไม่มีกลิ่นโคลนดินหลังเทสต์ เนื้อแน่น ผนึกกับความสดกรอบและกลิ่นสดชื่นพิเศษของท้องทะเลหอมฟุ้งในปาก การรับประทานเบลูก้าอย่างถูกวิธีควรรับประทานด้วยช้อนมุก ช้อนกระดูกสัตว์ ช้อนกระเบื้อง ช้อนที่ทำมาจากเครื่องเคลือบ หรือช้อนที่ไม่ได้ทำจากวัสดุเมธาลิก ในเมืองไทย เบลูก้าจะเสิร์ฟเฉพาะในร้านอาหารโก้หรู หรือสั่งพิเศษเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ราคาขายในท้องตลาดอยู่ที่ 7,000-10,000++ ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ลองนึกดูเล่นๆ ก็จะรู้...ว่าต้องเป็นใครถึงจะรับประทานได้!!!

02. Osetra หรือ “Osetra Caviar” นอกจากนี้ยังสามารถเรียกได้อีกหลายชื่อ อาทิ Asetra, Oscetra, Ossetra และ Ossetrova ตามแต่ใจสะดวก ว่ากันว่าไข่ปลาชนิดนี้ผลิตจากปลาสเตอร์เจี้ยนสายพันธุ์ใกล้กันกับเบลูก้า ขนาดจะย่อมลงมา อาศัยอยู่ในน้ำลึก กินสาหร่ายและพืชในน้ำเป็นอาหาร ลำตัวยาวประมาณ 2 เมตร น้ำหนักสูงสุด 200 กิโลกรัม ถือว่ามีชื่อเสียงมากถ้าผลิตในบริเวณทะเลสาบแคสเปี้ยน (เหมือนกับสายพันธุ์เบลูก้า แต่ราคาถูกกว่า) แม้ว่าปลาชนิดนี้จะตัวเล็กกว่าเบลูก้า แต่ค่าเฉลี่ยอายุของสัตว์ชนิดนี้อายุยืนถึง 50-80 ปี โตเต็มที่เมื่ออายุ 12-15 ปี วางไข่เฉพาะเขตอบอุ่นเท่านั้น เอาเป็นว่าด้วยวงจรชีวิตของมัน ทำให้ค่าราคาของคาเวียร์ยังคงราคาแพง (แต่ก็ยังถูกกว่าเบลูก้าเกือบครึ่ง)

คำถามต่อมา...แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นออสตร้า คาเวียร์ ให้สังเกตลักษณะหลักๆ ได้ง่ายๆ ก็คือ ไข่ปลาจะมีขนาดกลาง เนื้อสัมผัสค่อนข้างแข็ง รสจัดกว่าเบลูก้า นอกเหนือจากนั้น ความพิเศษของคาเวียร์ชนิดนี้ก็คือ มีหลายสี อาทิ สีเทา สีดำเทา สีน้ำตาลเทา สีน้ำตาลเข้ม สีเทาอมทอง สีทองอำพัน ทั้งยังมีหลายรสชาติตามแต่สิ่งที่เจ้าปลารับประทานเข้าไป โดยราคาขายในเมืองไทยประมาณ 125,000 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนของดีของแพงชนิดที่ต้องท่องเอาไว้เผื่อมีคนสั่งให้กินก็คือ “Iranian Caviar” อ่านว่า อิ-ราน-เนี่ยน-คา-เวีย มันก็คือคาเวียร์จากประเทศอิหร่าน--นั่เนอง

03. Sevruga โดดเด่นที่รสแน่นข้น ไข่ใบเล็กๆ รสมันและเค็มจางๆ กลิ่นทะเลและสาหร่ายหอมระรื่น เคี้ยวแล้วจะเหนียวกว่าเบลูก้า (แต่ขอบอกว่าราคาถูกกว่าถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์) คาเวียร์ชนิดนี้มาจากปลาสเตอร์เจี้ยนขนาดเล็กที่สุด ยาวประมาณ 1.5 เมตร หนักเพียง 25 กิโลกรัม ทั้งยังมีจำนวนมากกว่าปลาสเตอร์เจี้ยน 2 พันธุ์แรก ข้อดีของปลาชนิดนี้คือผลิตไข่ได้รวดเร็ว แล้วยังผลิตได้อีกหลายครั้งหลายครา เซฟรุก้าเพศเมียเติบโตเต็มที่ได้รวดเร็วกว่าสเตอร์เจี้ยนพันธุ์อื่น (เรียกว่าปลาแก่แดดได้ไหม) สามารถผลิตไข่ได้เมื่ออายุเพียง 7-8 ปี

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ผลิตไข่ได้ดีที่สุดก็เมื่ออายุประมาณ 18-22 ปี ไข่จะมีน้ำหนัก 10-12 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ครั้นเมื่อชาวประมงจับเซฟรุก้าตัวเมียที่กำลังท้องได้ พวกเขาก็จะผ่าท้อง ชำแหละเอาไข่ออกมา ไข่เม็ดเล็กๆ ยุบยับถูกห่อหุ้มด้วยพังผืด ต้องใช้วิธีขยำให้ไข่หลุดออกมา จากนั้นนำไปคลุกเคล้ากับเกลือให้สะอาดจนขึ้นเงา แล้วบรรจุไว้ในกล่องดีบุก แช่เย็นเพื่อรักษาความสด

นอกจากนั้น เมื่อเชฟรุก้าสุกจัด ไข่จะมีความอ่อนนุ่ม แตกง่าย ไข่ส่วนมากที่อยู่ในพังผืดมักสุกไม่เท่ากัน หลังชำแหละ ไข่ที่แตกแล้วจึงนำมาอัดไว้ในกระป๋องให้แน่น รู้จักกันในชื่อ “Pressed Caviar” รสสัมผัสจะหนืดหยุ่นๆ บางคนเท่านั้นที่จะชอบมัน ส่วนไข่เซฟรุก้าที่หายากและแพงมากคือ เซฟรุก้าสีทอง ลักษณะไข่จะใบเล็กๆ ธรรมเนียมแต่โบราณ เซฟรุก้าชนิดนี้นิยมเสิร์ฟให้กับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย กษัตริย์อิหร่าน และจักรพรรดิ์แห่งออสเตรียน
ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆ หากสังเกตเซฟรุก้าตามท้องตลาด เลือกมองหาง่ายๆ ส่วนมากไข่จะเป็นสีเทาเขียวหรือไม่ก็เป็นสีดำเทา ด้วยความที่รสชาติเข้มข้น จึงต้องรับประทานกับเครื่องเคียง อันประกอบด้วยมันฝรั่งบดอุ่นๆ ก้อนเล็กๆ วางบนแป้ง Blini รับประทานกับซาวร์ครีม ครีมสด หอมใหญ่สับ ไข่ขาวต้มจนแข็งโป๊กแล้วนำไปสับ หรือร้านอาหารบางแห่งอาจใช้ไข่นกกระทาแข็งๆ เสิร์ฟแทนก็ไม่ผิด ส่วนเครื่องดื่มที่ใช้ดื่มคู่กันก็หนีไม่พ้นวอดก้า หากแต่ในระยะหลังเมื่อเชฟรุก้าถูกเสิร์ฟในแวดวงอาหารฝรั่งเศส ธรรมเนียมก็แปรเปลี่ยน เริ่มมีการเสิร์ฟคาเวียร์พร้อมโรเซ่ไวน์ ไวน์ขาว และแชมเปญ เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมการรับประทานอาหารเคียงไวน์ของเขา

Food Inspiration on food of life Vol.14 Star&Celebrities







King of Kitchen’s Media

แรงดีไม่มีตกสำหรับผู้ชายชื่อ Gordon Ramsay ถึงขั้นนิตยสารเล่มที่ตรึงรสนิยมผู้ชายทั่วโลกไว้ อย่าง GQ มอบตำแหน่ง Man of the year ปีล่าสุดไปครอง

อย่างที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเขาคือเชฟติดดาวมิชลิน 16 ดวง ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้านอาหารให้กับคนทั่วโลกผ่านสื่อต่างๆ ว่ากันว่าเขาเปิดบริษัทให้คำปรึกษาด้านอาหารและการจัดการงานร้านอาหาร ด้วยค่าตัวจัดที่แพงหูฉี่ แต่เหล่าคนดังไม่ว่าจะเป็นบารัค โอบามา วิกตอเรีย แบคแฮม ต่างก็ตบเท้าเป็นแฟนประจำอาหารของเขาทั้งน้าน

Hell’s Kitchen (U.S.) (นำแสดงโดย: Gardon Ramsay, Jean-Philippe Susilovic/ สร้างสรรค์โดย Gardon Ramsey/ ปี 2005-ปัจจุบัน)

แรมเซย์ผูกขาดตัวเองไว้กับช่อง Fox ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ Hell’s Kitchen (U.S.) ไอเดียนี้นำมาจากซีรีส์ดังชื่อเดียวกัน (แต่จัดฉายในประเทศอังกฤษ) ว่าด้วยการแข่งขันทำอาหารโดยแบ่งเป็นทีมสีแดงและทีมสีน้ำเงินประลองความสามารถจากการทำอาหารนานาชนิด จากนั้น คัดจำนวนคนออก รวมทีมให้เป็นทีมสีดำ แล้วจึงคัดเชฟที่ดีที่สุดเป็นวินเนอร์ โดยทั้งหมดต้องผ่านตากรรมการที่ชื่อ Gordon Ramsey ผู้ซึ่งวิจารณ์ด้วยสายเฉียบคม (เขามองปราดตาเดียวก็รู้ว่า อะไร คือข้อด้อยของเชฟคนนั้นในครัว) ฝีปากจัด (เมื่อไม่พอใจก็ค่อนขอด ตามด้วยขว้างจานทิ้ง) แต่งานนี้หลายคนบอกว่าคุ้ม เพราะผู้ชนะในรายการนี้กลายเป็น Celebrity Chef ในที่สุด แล้วยังได้โอกาสเข้ามาเป็น Head Chef ในร้านอาหารของแรมเซย์อีกต่างหาก โขกสับอย่างไรก็คุ้ม—ว่างั้น!

Ramsay’s Kitchen Nightmares USA (นำแสดงโดย: Gardon Ramsay/ กำกับการแสดง : Brad Kreisberg ปี 2007-ปัจจุบัน)

ดังออกจะขนาดนี้ เห็นทีว่าเป็นดาราหน้าจอแค่รายการเดียวคงไม่พอ ดังนั้น ปลายปี 2007 จึงได้เกิด Ramsay’s Kitchen Nightmares USA ฉายช่อง 4 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเรียลลิตี้ซีรีส์ที่แรมเซย์ตระเวนช่วยเหลือร้านอาหารที่ต้องการการปรับปรุง ภารกิจนี้มีผู้คนติดตามชมด้วยความตระหนกว่าเขาจะโผล่ไปร้านไหน ที่รู้ๆ เชฟทั่วแคลิฟอร์เนียต่างก็ไม่อยากเห็นเขาย่างกรายเข้ามาที่ร้าน เพราะการมาของเขานำพามาด้วยคำวิจารณ์อันแสบสัน (ก็รู้อยู่ว่าแรมซี่น่ะ...มาตรฐานสูง) บรรยากาศมาคุ ใครง่อยล่ะก็...แรมเซย์เหวี่ยง

Gordon Ramsey’s Great British (เขียนโดย: Gardon Ramsay, Mark Sargeant/ พิมพ์ที่: HarperCollins Publishers Ltd/ จำหน่ายที่ www.amazon.co.uk)

แน่นอนว่าหนังสือเล่มใหม่หมาดๆ (แม้จะไม่ล่าสุด) อย่าง “Gordon Ramsey’s Great British” ที่นิตยสารไฮโซอย่าง Hello จั่วหัวว่า “เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่เซเลบริตี้ เชฟ มากความสามารถร่วมมือครีเอตวิธีทำอาหารในผับ” อ่านแล้วรู้ซึ้งถึงรสลิ้นของชาวมหานครลอนดอน เนื้อหาในเล่มรวบตึงความเก๋ด้วยเมนูอาหารที่เขา ผับ-พาร์ตเนอร์ทั่วทุกระแหงในลอนดอน และหัวหน้าเชฟ Mark Sargeant คิดค้นเพื่อส่งทอดความอร่อยสู่ปลายลิ้นลอนดอนเนอร์ทั้งหลายในยามค่ำคืน เมนูโปรดปราน โฮมเมดคุ๊กกิ้ง บาร์ สแน็ก ชัดเจนด้วยสไตล์ยอดนิยมความคลาสสิกของผับ (โมเดิร์นและคงไว้ซึ่งประเพณีเดิมๆ) อัดแน่นในเล่ม วิธีเขียนไม่มีคำอธิบายที่เข้าถึงยาก ตรงไปตรงมาบ่งบอกถึงอุปนิสัยของคนเขียนที่ใครต่างหลงรัก

ไม่ใช่เรื่องคุยโวเลยถ้าจะบอกว่า Gardon Ramsay คือผู้ชายที่เกาะกุมหัวใจมวลชนไว้ด้วยสิ่งที่เขาเป็น

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องมันๆ ตอนที่ 1 ภาคคำนำเสนอ

เรื่องมันมีอยู่ว่าไปเจอมันฝรั่งและมันเทศญี่ปุ่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไฮโซแห่งหนึ่ง ก็เลยอยากลองชิมเพื่อคลายกำหนัดสักหน่อย ประจวบเหมาะกับกำลังจะเขียนเรื่อง "มัน" พอดี เพราะมี "มัน" มาวนเวียนในหัว วนไปเวียนมา เห็นแล้วก็ปวดเฮด คงเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้ทั้งวาระและโอกาสปลดปล่อยความกระหาย รวมถึงความใคร่รู้เกี่ยวกับมัน

...ช้าอยู่ไย

ครานี้อันดับต่อมาหลังจากซื้อเจ้ามันกลับมาบ้าน ก็เห็นว่าควรอวดโฉมพวกมันด้วยการถ่ายแบบให้สักหน่อย ประเดิมแทนคำนำ ก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่รู้ว่าพวกมันเสียใจหรือเปล่าน้า....

ผลแรกนี่เป็นพันธุ์ Romano ผลนี้นำเข้าจากออสเตรเลีย ลูกหนึ่งราคาตกประมาณ 40 กว่าบาท โลละสองร้อยกว่าบาท--บอกราคาคร่าวๆ เพราะทิ้งถุงไปแล้ว (ทำให้ตัดสินใจซื้อมาแค่ลูกเดียวนี่แหละ) รสชาติที่ลองกินกับลิ้นปรากฏว่ามัน waxy เอามากๆ จัดถ่ายโดยเอาดินโรยสักหน่อย ให้ได้กลิ่นดินบ้างอะไรบ้าง จานก็ใช้แบบบ้านๆ เลย กล้องก็ป๊อกแป๊ก แต่ก็นะ รูปก็ไม่แย่เกินใช่ไหมจ๊ะนางแบบมันฝรั่ง...

Red Sweet Potato หรือภาษาไทยเรียกว่า "มันเทศญี่ปุ่น" หัวนี้ก็แอบเนียนกับเรฟเฟอร์เรนต์ เขาถ่ายออกมาสวยก็เลยปรินช์และวางไว้ใกล้ๆ เผื่อจะสวยกับเขาบ้าง
(แนะนำเลยว่า ใครไม่ชอบกินมันทุกประเภท คุณต้องหลงรักความหอมหวาน เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนละเอียดของมันเทศญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะเพียงแค่เอาลิ้นเลียแผลบเดียว รสหวานยังค้างคาติดลิ้นเลย)



เจ้า Chats ลูกนี้นี่ก็อร่อยไม่แพ้ เพราะลูกเล็ก กินง่าย เปลือกร่อน เนื้อแน่น ฝรั่งเรียกกันอีกแบบว่า "New Potatoes" เป็นมันฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ที่ฮอตฮิตในหมู่อาหารที่ต้องเสิร์ฟมันฝรั่งหรูๆ เจ้าลูกนี้มีเรื่องราวสารพัดให้พูดกันอีกยาว


ส่วนเจ้าลูกนี้ชื่อ Francine Salad รสไม่มันมาก เป็นมันฝรั่งสัญชาติอังกฤษที่นิยมนำมาต้ม เสิร์ฟพร้อมเนยและใบกุยช่ายฝรั่ง (Chives)
จะบอกอีกอย่างหนึ่ง เวลากินเปล่าๆ นี่ ไม่อร่อยเลย คงเพราะไม่มีความมันแบบที่มันฝรั่งควรจะมี (ถึงต้องกินกับเนย) แต่ก็หอมกลิ่นเฮิร์บในตัวเนื้อ เวลากินเจ้าผลนี้นึกถึงมันฝรั่งไดเอต ยังไม่ได้ลองกินกับใบกุยช่ายซอย ท่าจะแหล่ม!!!





มันผลสุดท้าย แต่ไม่ท้ายที่สุด เพราะยังมีตอนต่อเนื่องอยู่ (นี่อ่ะ...แค่น้ำจิ้ม)
Coliban ผลนี้หัวกลมสีขาวนวลเนียนใหญ่เป้ง ทางซูเปอร์มาร์เก็ตแอบคีย์ราคาผิด เป็นราคามันฝรั่งไทย หุ...หุ เขาไม่เห็นน้า เลยราคาแค่ 20 กว่าบาท (ทั้งๆ ที่ลูกเดียวกินแล้วจุกไปทั้งวัน )