วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกาะดับจิต บทที่ 1 และแล้ว

และแล้ว


“พี่ครับ ภูเก็ตช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะไหม?” ผมเรียกแท็กซี่ว่าพี่เสมอ เช็กสภาพความเป็นอยู่ท้องถิ่นจากคนพื้นที่จากพี่แท็กซี่นี่แหละ
“โลว์ ซีซั่น หน้าฝน ไม่มีใครมาเที่ยวหรอก เงียบจริงๆ พ่อหนุ่ม ผมขับแท็กซี่วันๆ ยังไม่ค่อยพอค่าเช่ารถเลย ลูกเมียยังไม่มี ถ้ามีผมซี้แหง ไม่รู้จะหาสะตุ้งสตางค์ที่ไหนมาส่งให้ ฝะหร่งฝรั่งจ่ายเงินดีๆ เดี๋ยวนี้มีน้อยเต็มทน ส่วนมากต่อราคาเก่ง เก่งกว่าคนไทยด้วยซ้ำ บางครั้งคนที่นี่ทนสภาพร้างคนไม่ไหว ขึ้นทำงานที่กรุงเทพ พี่ยังเคยขับแท็กซี่ที่นั่น แต่ไม่ไหวอากาศแย่ อยู่กรุงเทพปวดหัวปวดปอดทุกวัน” เขาพักร่ายแร๊ป หายใจสั้นๆ แล้วถามว่า
“พ่อหนุ่มมุ่งหน้าไปไหนล่ะ เกาะลันตา หรือเกาะพีพี”
“ผมไปเกาะวีไอพีครับ” แม้ว่าผมอยู่ในสภาพโศกสลด แต่ก็อดกวนทีนไม่ได้
“งั้นพ่อหนุ่มคงรวยมาก” พี่แท็กซี่ต่อยอดมุกตลกฝืด “อกหักหรือพ่อหนุ่ม หรือมาทำงาน”
“พี่เป็นหมอดูหรือเปล่า ผมขอไม่ตอบนะครับ คำถามมันส่วนตัวเกิน”
“โธ่เอ๊ย อย่าคิดมากเลย อยู่คนเดียวสบายกว่ากันเยอะ หาผู้หญิงก็เหมือนหาเหาใส่ตัว ยิ่งอยู่นานเหายิ่งเต็มหัว”
“พี่เปรียบเทียบได้เห็นภาพ”
“ไม่อยากจะคุย พี่เคยเป็นนักเขียนตอนอยู่ ป. 4 เขียนเรียงความส่งประกวดชนะที่ 1 ด้วยนะ แต่ดันโต้วาทีแพ้”
“อ่อ!”

อาคารท่าเรือชั้นเดียวสงบสงัด แท็กซี่จอดยาวเป็นหางว่าวนิ่งนาน ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงต้องมีใครนั่งคอยตบยุ่งให้ใคร ผู้โดยสารขาขึ้นฝั่งทยอยเดินออกมา ตั้งท่าหารถเข้าเมืองออกเมือง คนขับแท็กซี่ป้ายดำล้อมหน้าล้อมหลังนักท่องเที่ยว
“Do you go to the airport? I can take you there.” ภาษาอังกฤษสำเนียงทองแดงคนใต้น่าเอ็นดู
“How much?”
“300 baht” ชายผู้นั้นชูนิ้วสามนิ้ว เหมือนยุวกาชาดปฏิญาณ
“So expensive, half price, please?”
“No no, finally 200 baht. You can share with your friends” ชายผู้นั้นคือคนขับแท็กซี่สวมหมวกแก๊ปสีเขียวจาไมก้าสะท้อนแสง ต่อรอง
“O.k!” นักท่องเที่ยววัยรุ่นกระทง คนหนึ่งถือขวดเบียร์ไทเกอร์หน้ามึนแก้มแดงก่ำ ผมหยิกกระเซิงไม่เป็นทรง คนที่ดื่มน้ำแร่มิเนเร่ กัดกินไส้กรอก ร่างกายสูงผอมราวอาหารที่แทะ กำลังลอบมองผู้หญิงไทยผิวคล้ำร่างเล็ก ผมเคยอ่านหนังสือท่องเที่ยวเขาว่าไว้ว่าเกาะพีพีมีแต่น้ำแร่ยี่ห้อนี้ขาย พวกเขาคงมาจากที่นั่น ...หรือเปล่า? ทว่าหนุ่มผมบลอนด์ผู้ต่อราคาบอกใบ้ใช้ภาษามือโบ้ยเบ้กับแท็กซี่ชายไทยไม่ทราบชื่อ ท่าจะเป็นหัวหอกตัวริสต์
ท้องกิ่วร้องจ้อกๆ หลังจากมอบขนมที่ไม่มีกะจิตกะใจกินให้ผู้โชคดีบนเครื่องบินแล้ว พอเห็นผู้คนดูมีชีวิตล่ะมั้ง ท้องผมก็เกิดแสบหิวแกร่ว เขาเรียกว่าพฤติกรรมลอกเลียนแบบฝูงชน ใครทำอะไรก็อยากทำตาม ผู้ชายต่างชาติใครก็ไม่รู้เดินดูดกาแฟเย็น เขมือบฮอตด็อก ผมเห็นเฟรนไชส์ร้านไส้กรอกแว๊บๆ นู่นนั่นโน่นแน่ะข้างๆ กันมีกาแฟสดขาย
ยืนจ้องเลือกประเภทไส้กรอกอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกไส้กรอกเวียนนาธรรมดา 2 ชิ้น มัสตาร์ด มายองเนส ซอสมะเขือเทศอะไรไม่เอาทั้งนั้น ลาเต้แก้วพอเหมาะมือ น่าดื่ม อร่อยสดชื่น ชีวิตปลอดโปร่งอีกครั้ง...เหรอ
ผมกลับมาสลดอีกครั้งหลังจากที่ท้องอิ่ม มันเหมือนกับว่าเวลานี้อาหารอร่อยไม่สามารถเติมเต็มจิตใจที่เว้าแหว่งด้วยเรื่องราวสารพัดที่ประสบ ผมด่าตัวเองในใจ เอายังไงกันแน่ผู้ชายคนนี้ คราบสุภาพบุรุษมาดลูกผู้ดีหายวับไปเพราะผู้หญิงคนเดียว มันเสียเชิงชาย ทว่าบังคับใจหักหัวเรือหัวเสือก็แล้ว ทำใจยังไงหรือไม่ให้เสียใจ ทุรนทุรายขาดอากาศหายใจทุกครั้งเมื่อพบว่ากลับมาคิดเรื่องเดิมๆ ผมคบกับแฟนมา 4 ปี ไม่เคยนอกลู่นอกทางเสียหาย แต่เธอดันท้องกับเพื่อนสนิท ย้ำว่าท้องกับเพื่อน ทิ้งผมดื้อๆ ใจก็เจ็บอยู่แล้ว เสียหน้าจนไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนอีก ใครถามผมก็อ้าปากบอกความจริงให้ใครไม่ออก
ตรงช่องขายตั๋ว มีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติยืนล้ำหน้า 2 คน รอสักครู่เพื่อซื้อบัตรผ่านข้ามทะเล พนักงานเดินตั๋วทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด ผมยืนน้ำตาไหล ปาดน้ำตาป้อยๆ คนเหลียวหลังหันมอง ก็ทำเฉยสิ ผู้ชายร้องไห้ยุคนี้มีถมเถ กระทั่งถึงคิว ผมบอกปลายทาง ยื่นเงิน นายเดินตั๋วส่งบัตรโดยสารพร้อมเงินทอน บอกเวลา คันที่ และลำดับจอดเรือ น้ำตาผมหยุดไหลแล้ว
ตั๋วข้ามฟากหลบอยู่ในกระเป๋าแจ็กเก็ตหนังสีฟ้าควันบุหรี่ ผมหอบหิ้วข้าวของที่มีเพียงกระเป๋าใบเดียวกระชับมือ เดินสู่สายพานหน้าตาคล้ายสะพานสีดำ ซอกหลืบมุมมีป้ายปักบอกให้รู้ว่าเรือเดินทะเลลำไหนมุ่งตรงไปไหน ผมก้าวเข้าสู่ลำเรือ ชื่อและนามสกุลตรงกับตั๋วบ่งบอก ท้องเรือมีสองชั้น ผมไม่เสน่หานั่งตากลมชมวิวทะเล มันไม่ใช่เวลาเอื่อยๆ แบบนั้น ในที่สุดก็เลือกนั่งชั้นล่างที่มีเพดานเตี้ยทอดเกือบทับหัว ไม่สนใจเปิดหูเปิดตาชมท้องทะเลที่โปรยเสน่ห์ไว้ทั่วตรงกาบเรือ เด็กน้อยไม่ทราบสัญชาติดูดดื่มน้ำอัดลมเสียงสู่ดส้าด มีเรื่องต้องอดทนอีกแล้ว คนข้างๆ อีกฝั่งมือก็เล่าเรื่องเหตุการณ์สึนามิที่ถูกนำมาเล่าซ้ำเล่าซากเป็นเรื่องเล่ารอบที่ล้านล้าน ทว่าก็ปลุกชีพให้ใครกลับคืนไม่ได้ ผมใส่หูฟังเปิดเสียงดนตรีกล่อมนอน คล้ายใช้ยาเสพติดบังคับจิตใจไม่ให้คิดอะไรจอมปลอมฟุ้งซ่าน
เสแสร้งทำท่าเผลอหลับ ก็ยังรู้สึกได้ถึงกระแสความโกโลหลจากที่นั่งแถวหน้าพาดผ่าน อันที่จริงผมควรเช่าเรือส่วนตัว ไม่น่าเลือกตกระกำลำบากเช่นนี้ ความสะดวกสบายอะไรๆ อัตโนมัติหาใช้มีไม่ ทว่าความวุ่นวายมันเป็นการบ่งบอกถึงชีวิตที่ไม่ได้อยู่ลำพัง แม้ผมไม่รู้จี่รู้จักพวกเขาเลยสักคนเดียว แต่ก็อย่างว่าแม้เราอยู่กับคนรู้จักมักจี่ ก็สามารถแปรพวกเขาให้แปลกแยก แยกโลกของเรา โลกของเขา ทว่ากระแสความวุ่นวายใจในตัวเองต่างหากเล่า ทำให้มองอะไรรำคาญหูรำคาญตาไปหมด ความอดทนดูไร้เรี่ยวแรง ผมตวัดตามองรอบข้าง ความวุ่นวายกระหน่ำตรงบริเวณที่ผมนั่งเพียงกระจุกเดียว เหมือนฟ้าประทานให้ หวนไห้ถึงชีวิตที่เขาว่ามีทางเลือก ถ้ามันมีจริง ตามแบบแปลนที่มีให้เลือกหลากหลาย ท่ามกลางภยันตรายจากมลพิษครึกครื้น ผมตระหนักแล้วว่าอยู่คนเดียวได้ แบกกระเป๋าคืบคลานขึ้นชั้นสองดาดฟ้า นั่งให้ลมทะเลตีหัวก็พอจำนน
ทีนั่งพลาสติกนับสามสิบตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งนั้นที่จับจองหย่อนร่างใช้บริการส่วนนี้ ผมหยิบหมากฝรั่งสเปียร์มินต์ใส่ปากเคี้ยวหยุบหยับ ความเพลิดเพลินกลบปาก หยิบหูฟังไอพอดหนีบหู เพลงขาวหรือดำของราชาเพลงป็อปสลายร่างอย่างรวดเร็ว ความกลัวจากสาวฝีปากกล้ากำลังบ่น ขยับตัวดึ้กๆ ดั๊กๆ เพราะคันเนื้อครั่นลมทะเล หูฟังไอพอดหล่นข้างหนึ่ง รีบรั้งมาเสียบที่เดิม จินตนาการตามคำร้อง ผู้หญิงสมัยนี้แข็งกร้าวแข็งแกร่งจนผมหัวหด ขนาดเพลงยังเสียดสีไถถลอก เรื่องจริงช้ำชอกยิ่งกว่า ผมถึงต้องนั่งอยู่จุดนี้ไง คนข้างๆ จากเคยไม่มีใคร ที่นั่งว่างๆ ตรงคืบนั้น ชายนิโกรร่างยักษ์หย่อนก้นบึ้บๆ ลง เวลานี้แสงแดดเพลาสายแก่ๆ ไม่สามารถแผดเผาให้เขาดำไปกว่านี้ได้ ทว่ามองไปมองมาก็เท่อย่างศิลปินฮิบฮอปชื่อดังเชียวนะ กลิ่นระคนนั่นคงเป็นเหงื่อไคลนักท่องเที่ยวที่แฝงฝังไว้นานกระทั่งแบคทีเรียระเบิดกำจายกลิ่น ผมไม่เคยจำกัดความตัวเองว่าเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ทั้งๆ ที่เดินทางข้ามประเทศบ่อยครั้ง เจ็บสิบกว่าจังหวัดทั่วไทยก็ย่ำมาแล้ว กระนั้นก็อ่อนซ้อมทุกครั้งที่ห่างไกลบ้านเกินสิบกิโลเมตร
พื้นเหล็กทาสีขาวทว่าปอกเปิดคือพื้นที่เท้าเหยียบ ยกขาไขว่ตามเวลายืดแข้งยืดขาอำนวย ฟังเพลงนานเข้าก็วางกระเป๋าปราด้า วนเดินรอบกาบเรือ เหล็กล้อมกั้นพลัดไม่ให้ใครตกหล่น ลมตีหน้าแรงๆ คล้ายปุกให้ตื่น ผมนึกอยากเดินไปห้องควบคุมเรือด้านล่าง กัปตันผู้เป็นชายแก่ ผมเห็นศีรษะด้านหลังของเขาโผล่หน้ากระจกใส เมื่อคราวที่นั่งอยู่ชั้นล่าง ใคร่รู้ใคร่เห็นว่าเขารู้ทิศทางซ้ายขวาหน้าหลังได้อย่างไร ในเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลสวยทว่าเวิ้งว้าง สวยทว่าเวิ้งว้าง ใช่แล้ว กลุ่มอากาศที่ผมกำลังรู้สึกรู้หาเข้าไส้
หมากฝรั่งหมดความหวานจ๋อย จืดสนิท ทิชชูอยู่ในกระเป๋าบนตัก แต่จำไม่ได้แล้วว่าซ่อนใส่ไว้ตรงไหน ควานมือล้วงรอบปราด้าทรงเข้ารูป บอกให้นะ ถึงผมเป็นผู้ชายก็เถอะ กระเป๋า กางเกง แม้กระทั่งเสื้อทุกอย่างต้องพอเหมาะพอดี ขากางเกงห้ามยาวลากพื้น ยกขาไขว่ห้างชายกางเกงต้องเลิกพอเห็นถุงเท้าแพลม ห้ามเห็นเนื้อหนัง เสื้อกระดุมมีกี่เม็ด ทรงพอเหมาะตัวไม่ให้คับไม่ให้หลวม บุกบ่าฝ่าดงทะเลคราวนี้ผมยังใช้เสื้อยืดมียี่ห้อ...ไม่บอกหรอกว่ายี่ห้ออะไร กางเกงยีนส์แบรนด์เนมมีทั้งอาร์มานี่และท็อปแมน สั่งตัดขาให้พอดีเรียบร้อย ใครเห็นเหมือนผมบ้างว่า บุคลิกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แม้ในยามที่ไม่มีใครสนใจบุคลิกใครเหมือนเวลาเดินทางเยี่ยงนี้ ยังมีแหม่มสาวเหลียวมองผมบ้าง โอเค! ใช้ได้ ไม่เสียแรงแต่งตัว
ฟองคลื่นตีแผ่กระจายขณะเรือแล่น ทะเลมีอะไรงาม แค่ น้ำ ฟ้า เกาะแก่ง ทว่าหลายคนก็มองว่ามันสวย หรือความสวยงามมีทุกที่ ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสน จริงเหรอ? แล้วผมมาทำอะไรที่นี่ หลบหนีความรักหักพังหรือซ่อนตัวเลียแผลบาดเจ็บ?
เกือบห้าสิบนาทีที่ต้องฝ่าคลื่นทะเลแนบนิ่ง เกาะน้อยเกาะใหญ่ที่คนอื่นชี้มือชมโบ้เบ้อย่างคนเคยมาครั้งแรก ผมมาที่นี่หลายรอบ เพราะบ้าน ‘ปิ๊ก’ เพื่อนรักชั้นมัธยมอยู่ที่นี่ คนในเกาะเรียกมันว่า “นายหัว” เพราะเนื้อที่ครึ่งเกาะนั่นขานกล่าวกันว่าเป็นของบรรพบุรุษมันแต่โบราณ ไม่สิ! ทางบ้านมันซื้อเป็นรายแรก ผมจึงได้มาเที่ยวที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ สมัยสิบกว่าปีที่แล้วสวยงามมากกก ตั้งแต่ยังไม่มีนิยายและภาพยนตร์เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ แต่หลังจากนั้น มันทำให้บ้านปิ๊กรวยเละ เอางี้! มันเคยบินตามผมไปเรียนที่อังกฤษ เรียนปี เถลไถลอีกปีก็กลับมาช่วยงานครอบครัว มันบอกว่ากูรวยอยู่แล้ว แล้วจู่ๆ ก็กลับเกาะมาอยู่บ้านไม่บอกไม่กล่าว ปิ๊กแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยมองเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม ทว่าผมเป็น ปิ๊กไม่ทะเยอทะยาน ไม่ว่าเขารวยขนาดไหน เขาก็ใส่เสื้อตารางลายสก็อตคาดเข็มขัดเส้นเก่าคู่กับกางเกงขาสั้นสีกากี เป็นเครื่องแบบ ขณะที่ผมทะเยอทะยาน แต่งตัวเนี๊ยบ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมกลับจากอังกฤษ แล้วมาหามันที่นี่ ปิ๊กขึ้นไปกรุงเทพฯ บ้าง นานๆ ครั้ง จะเจอตบหัวเล่นกันที ต่างคนต่างยุ่ง ขอโทษเถอะ ไอ้ห่ะ! นี่มันมีทุกอย่าง เรือยอร์ช เจ็ตสกี เลยเถิดถึงเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินส่วนตัวที่จอดไว้ในสนามบินกระบี่ เหลือแค่เรือดำน้ำล่ะมั้งที่มันอยากมี

ท่าเรือเกาะพีพีเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนแต่ไรมามีแค่สะพานยาวแคบๆ จอดเรือรับ-ส่งคนขนาดกลาง และเรือหางยาวชาวเล มีเรือยอร์ชลูกคนรวยเทียบท่าบางวัน ทว่าตอนนี้กลายเป็นท่าเรืออย่างที่ภาพในหัวคิดว่ามันเป็น ดูเป็นการเป็นงานโข จอดเรือได้มากคันกว่าเดิม ไม่อยากจะบอกอีกว่า ท่าเรือนั่นก็เป็นธุรกิจของบ้านมัน ปิ๊กตบไหล่ผมดังปึ๊ก ใฟ้ลูกน้องหิ้วข้าวของ ผมเดินตัวเปล่าปลิวคุยกับมันเรื่อยทางเดิน
“โทร. บอกกกูข้ามวัน มึงก็มาถึง เป็นไรว่ะ”
“เขารู้กันให้ทั่วเมืองว่ากูอกหัก ถูกหักหลัง มึงก็ดันถามอีก”
“เออ กูไม่ได้อยู่ในเมือง กูอยู่เกาะ มึงดังมากหนักนี่ไอ้หอก” ดูเหมือนว่าไอ้หอกจะเป็นชื่อผมสำหรับปิ๊ก
“ที่นี่ไม่มีอะไรมาก กลางคืนเที่ยว กลางวันดูคน ถ้ามึงจะคิดมาอยู่โดยไม่ทำงานทำการ” ปิ๊กออกตัวออกความเห็น “มึงมีไรให้กูทำบ้าง” ผมว่า ไม่ได้เกรงใจมันหรอก แต่อยากหาอะไรทำให้หายฟุ้งเศร้า
“กูรึจะกล้าใช้มึงไอ้หอก! ถ้าอยากมาช่วยกู กูเพิ่งเปิดบาร์ ไหนๆ มึงชำนาญ ก็มาดูให้กูหน่อย กูเปิดแบบเพิงเล็กๆ เหล้า ค็อกเทลแบบเดิมๆ เออเฮอะ! กูว่ามึงอยู่เฉยๆ ให้สบายใจก่อนดีกว่า อย่างอื่นไว้ว่ากันทีหลัง”
ผมค้างอารมณ์เพื่อนหนุ่ม คุยกับเพื่อนหนุ่ม ขออนุญาตคุยเป็นภาษาดิบเถื่อนชั่วคราว
ไอ้ห่ะนี่ มันมีโรงแรมสามดาวใกล้ท่าเรือ มันเสนอให้ผมอยู่โรงแรม กินข้าวโรงแรมสะดวกดี ผมบอกว่าไม่ต้องหรอก เกรงใจ ขอจัดการเองดีกว่า มันเลยเปิดบ้านใกล้โรงแรมให้อยู่ บ้านที่มีทะเลอยู่หน้าบ้าน ข้างๆ ป่าต้นปี้ปี้ (ที่มาของเกาะพีพี) ที่แม่บ้านคอยดูแลให้บ้านแจ่มเอี่ยม เหล้ายาพรั่งพร้อม ตู้เย็นข้าวของแน่นเพียบราวกับรีสอร์ต 5 ดาว มันบอกว่าเป็นบ้านเก็บตัวผู้หญิงของมัน ห่ะ (ไม่รู้กี่ห่ะแล้ว) อย่างกับในละครแบบนั้น นายหัว และสาวๆ ของนายหัว ผมนึกถึงลิขิต เอกมงคล และหน้ามันเทียบกัน
ปิ๊กลากลับบ้าน ผมทอดตัวบนเตียงนุ่ม จ้องเพดานที่มันค้างไว้ตรงนั้นเนิ่นนาน ผมจ้องอีกครั้ง มันมองเขม็งตอบกลับ เนื้อตัวที่ครั่นแล้วครั่นอีกขอร้องให้ผมอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จผมก็เข้านอน สงสัยว่าวันต่อๆ ไป ชีวิตจะมีแค่นี้หรือ นอนหลับสนิทตื่นอีกทีเกือบสี่โมงเย็น ระหว่างนั้นก็หลับสลับตื่นสั้นๆ ตอนที่แม่บ้านเข้ามาเตรียมอาหารว่าง ทำความสะอาดก็อกๆ แก็กๆ ทิ้งโน้ตที่เพื่อนฝากให้ไว้บนโต๊ะกับข้าว
ตื่นแล้วเดินมาหาด้วย โทรมาก่อน
ลมเล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานเฟี้ยมที่แง้มไว้ ช่องลมรูปลายโบราณสาดแสงบอกว่าเวลาเย็นใกล้เข้ามาทุกที ผมยืดตัวบิดเหมือนแมวบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา ขนม-น้ำชายามบ่ายพร้อม ในห้องน้ำ แม่เจ้าโว้ย! บ้านนี้ใช้เครื่องสำอางโคตรหรูครบชุด แหมะ! ไอ้หอกหัก ใจป้ำสมให้สาวๆ เรียกป๋า ห้องน้ำไม่มีอะไรมาก สุขภัณฑ์ทุกชิ้นขาวสะอาด ประดับเทียนหอมดอกลีลาวดีแม่ลูกเป็นชุด ทว่าไร้จากุซซี่ ขาดอีกนิดก็อู้ฟู่เต็มที่
ความหรูหราไม่เคยฉายบนร่างกายปิ๊ก ยกเว้นโรเล็กซ์ฝังเพชรหลายเม็ด ทว่าเขาส่องแสงให้ผู้ที่สนองปรนเปรอเขาอยู่เสมอ เสื้อผ้า หน้า ผม เพชรทองหยอง... ผมเคยคิดเหมือนกัน ถ้าผมเป็นปิ๊ก จะอุทิศชีวิตให้เกาะเกาะหนึ่งไหม เกาะที่เขาเหมือนเจ้าของอาณาจักร ไม่สิ! แต่ใครๆ ก็นับหน้าถือตา ยำเกรง ผมไม่ได้หาคำตอบ แล้วก็โทร. หาเขา ตอนนั้นเกือบห้าโมงเย็นแล้ว เปิดหน้าต่างออกไปดูข้างนอก ไกลลิบๆ กลุ่มคนเล่นฟุตบอลชายหาดสนุกสนาน
“ว่าไง ไอ้หอก ตื่นเต็มที่หรือยัง” ปิ๊กว่า ผมเออออห่อหมก
“ออกมาแ-กข้าวกับกูไหมล่ะ คืนนี้เลี้ยงรับรองแขกผู้ใหญ่ในเมือง อยู่ที่บาร์ที่เล่าให้ฟัง ไม่ไกลจากท่าเรือนัก เดินมาเห็นหน้าก็เลี้ยวเข้ามา” แหม...อธิบายทางได้แจ่มชัดเชียว ผมตอบรับคำเชิญและตัดสายดื้อๆ จากบ้านที่พักเดินไปยังร้านเหล้าไม่ไกลเกินครึ่งกิโล อ้อมสระว่ายน้ำ เดินผ่านโรงแรม ตัดเลาะแผนกต้อนรับ พนักงานโค้งไหว้ยิ้มรับ ไต่ถามว่าจะไปไหน เธอบอกทางละเอียดหยิบ ใครหลงก็โง่แล้ว
จุดที่ผมเดินอยู่ เป็นทางเดินทรายละเอียด แม้ว่าเป็นเวลาเย็น ทว่ามีนักท่องเที่ยวบางรายเดินทางมาถึงด้วยเรือเร็วลำเล็ก เข้าเช็กอินในโรงแรม เบลล์บอยหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายคนใต้ ตัวเล็ก ใช้รถเข็นขนกระเป๋าเดินทางหรูตามติด เราสวนทาง เทียบเขากับผมเป็นบัญญัติไตรยางศ์
เขากำลังทำงาน/ผมว่างงาน
เขาท่าทางไม่รวย/ผมยอมยกมือขึ้น ตอบว่า รวย!
เขาคล้ำเข้ม/ผมตี๋ขาว แต่ Love is color blind!
เราไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง บางที ผมอาจเป็นคนแปลกหน้าของเกาะนี้ก็เป็นได้ คนที่ผลัดเข้ามาที่พร้อมผลักตัวออกไป การจากหายของผมคงกระทบกระเทือนต่อการหมุนเม็ดเงินในธุรกิจท่องเที่ยว ทว่าการจากไปของเขาคือปากท้องอีกหลายๆ ชีวิต ที่รอคอยเงินจำนวนน้อยนิดและโอกาสที่ดีวันต่อวัน

เพิงที่คล้ายกาเซโบเปิดโล่งรับลมขนาดใหญ่ มันทำด้วยไม้ใหม่สีเข้ม หลังคามุมจาก ตรงกลางมีบาร์เหล้า โต๊ะรอบๆ ตัวไม่ใหญ่ เก้าอี้ไม้แบบที่ร้านกาแฟคนจีนรุ่นพ่อนิยมนับสิบกว่าตัว เวลานี้ยังไม่เห็นผู้ใหญ่สักรายนอกจากปิ๊ก
“หาทางเจอด้วยโว้ย! ไอ้หอก”
“ก็มึงบอกทางเก่ง”
เราทักกันด้วยภาษาแปลกดิบ ภาษาเพื่อนหนุ่มยังไม่เปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากคุยกับผม ปิ๊กพูดภาษาไทยสำเนียงภาคใต้ติดปาก ภาษากลางของเขาไม่ได้ทองแดงสักนิด เพราะร่ำเรียนและเติบโตในกรุงเทพฯ นานสิบกว่าปี ทว่ากลับมาอยู่ที่นี่ เขาก็พูดใต้คล่องปากเช่นกัน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเจอปิ๊กครั้งแรกตอนไหน ทว่าจำได้เพราะเขาเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง เขาเกลียดผม ใช่! ตอน ป. 3 ผมจำได้ว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง หน้าเข้ม ผิวขาว เดินเข้ามาผลักบ่า แล้วพูดภาษาไทยเร็วๆ ว่า “กูเกลียดมึง” เล่าอีกครั้ง เราขำอุจจาระแตกอุจจาระแตน ปิ๊กบอกว่าไม่ชอบเด็กตัวขาว หน้าตี๋ ซึ่งมีอยู่เกลื่อนโรงเรียน ทว่าเขาไม่ชอบผมมากที่สุด เพราะเล่นกีฬาอะไรๆ ผมก็ชนะเขา โดยเฉพาะฟุตบอล หลังๆ เขายอมย้ายมาอยู่ทีมเดียวกับผม ด้วยน้ำใจนักกีฬาทีมเดียวกัน เราจึงเลิกเหม็นขี้หน้าตั้งแต่นั้นมา
ปิ๊กสั่งออนเดอะร็อกให้ผม เขาไม่ถามสาเหตุความเป็นมาเป็นไปอะไรเลย ด้วยกลัวรื้อความเจ็บปวดของเพื่อนเพื่อสร้างแผลใหม่ให้อีก หรือเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ ผมสังเกตปิ๊กตั้งแต่แรกเห็นว่า ผิวคล้ำกร้านแดดทำให้เขาดูเป็นหนุ่มชาวเลยิ่งกว่าหนุ่มผิวคล้ำในเมือง แล้วพาลพาน้ำจิตน้ำใจงดงามตามชาวบ้านไร้พิษสงเคมีมาด้วยหรือไม่ เปล่าเลย
“ไอ้หอก ทำตัวยังกับตุ๊ด อกหักมารักกะผม กูไม่ใช่เกย์นะมึง มาหากูเนี่ย”
“ไอ้เจี้ยปิ๊ก”
“เออ กูไม่ล้อมึงแล้ว สะใจว่ะ ใครทำมึงเป็นอย่างนี้ กูขอให้หล่อนเจริญๆ ตอนเด็กอวดตัวว่าหล่อ ว่าสาวตรึม พอเริ่มแก่ก็โดนสาวทิ้ง”
“ไอ้เจี้ยปิ๊ก” สิ่งที่ผมทำตลอดมาคือ เถียงมันไม่ทัน
แล้วมันก็เริ่มสอนวิธีทำใจตั้งรับความอกหัก ที่มันตั้งใจสั่งสอน เพราะเคยแค้นเคืองที่ผมเคยแย่งสาวมันตอนเด็ก ตอนนี้ผมเริ่มเกลียดมันทีละนิด
“เอ็งฟังข้านะโว้ย ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของ ซื้อขายยึดครองไม่ได้”
“ข้าไม่อยากบอก ว่าเวลาอกหักแรงๆ น่ะ มันเหมือนผลัดตกลงจากหน้าผา ผู้ช่วยชีวิตเราคือลวดสลิง หาเพื่อนดีๆ สักคน”
“ข้าเข้าใจว่าเอ็งไม่เคยอกหัก แต่อกหักไม่ยากเกินคนธรรมดาตั้งรับมือหรอกว่ะ เชื่อข้า”
ผมรีบกระดกเหล้า หวังว่าจะทำให้ปิ๊กล่มจมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางทีเวลาเมามากๆ ผมอาจลุกขึ้นยืนคว้าหมัดชกหน้ามันเข้าให้ ทว่ามันกระดกเหล้าตาม และมันก็ไม่หยุด
“ฉันมีฟ้าเป็นมุ้ง ฉันมียุงเป็นเพื่อน....” ไอ้ปิ๊กเริ่มเพี้ยนแล้ว ผมเตือนสติว่านี่มันหัววัน ดึกๆ เอ็งรับแขกผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ
“เออว่ะ ข้าก็แกล้งเอ็งจนเพลิน” ปิ๊กว่า ผมขอตัวกลับบ้านพัก วันแรกเหนื่อยจากการเดินทาง ไม่อยากพบผู้คนมาก เพื่อรักษาความเสถียรทางอารมณ์ ทว่า ทำได้หรือ? ปิ๊กแซวตอก
ผู้ชายท่าทางภูมิฐาน 5-6 คน กำลังเดินมาจากท่าเรือ
“แขกข้ามาแล้วว่ะ” ปิ๊กว่าอีกที

ก่อนที่ผมสวนทางกับแขกเหรื่อของเพื่อน ผมเล็งแต่ไกล เห็นว่าผู้หญิงหน้าสวย ผิวขาว อย่างหมวยญี่ปุ่น ในชุดกระโปรงคล้องคอสีแสบตา หมวกปีกแคบคลุมทับผมยาวดำสยาย คือหนึ่งในคนกลุ่มนั้น เวลาที่สวนทาง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลีลาวดีลอยละล่องมาจากหญิงผู้นี้ หรือว่า...
หินกาบที่โรยทางเดินสู่ทางเข้าบ้าน เวลาดึกดื่น เสียงดังกร๊วบกร๊าบกร๊อบแกรบ ราวหินบอกทาง “ออกจากเสียงนี้ไป คุณกำลังหลงทางอยู่” แสงจากไฟทางเดินมัวสลัว อาการเมามากๆ ผมเชื่อว่า ไม่สามารถหาบ้านพบ ในระยะไกลกันพอสมควร ไฟจากบ้านเรือน 3 หลัง เปิดแช่ไว้ คงเป็นบ้านที่ปิ๊กเตรียมรับรองแขกผู้ใหญ่ นับว่ามันยังมีเลือดรักเพื่อนอยู่บ้าง บ้านที่ผมพักอยู่ริมทะเล ทำเลดีที่สุด

เมื่อกลับมาอยู่ตัวคนเดียวลำพังอีกครั้ง ความเหงาพากเพียรทำงานหนัก โดยมีความหลังวิ่งไล่ต้อนมาติดๆ ผมยกแก้วเหล้ากรอกปากระลอกแล้วระลอกเล่าคลายทุกข์

พิมพิศ...คุณช่วยทำให้ผมเจ็บน้อยกว่านี้ได้หรือไม่? คุณไม่น่าเข้ามาในชีวิตผม
พิมพิศ...คุณนั่นแหละ ตัวการทำชีวิตผมล่มจม!
พ่อครับแม่ครับผมขอโทษที่เกิดเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง ผมเข้าใจแล้วว่า ความรักความหวังดีบริสุทธิ์หาได้ที่แรกในครอบครัว พ่อครับแม่ครับอย่าโกรธผมที่ดื้อดึงมาอยู่ที่นี่ให้ได้
ใครเข้าใจความเจ็บปวดนี้บ้าง รักที่ชั่วร้าย รักที่ขมขื่น…

ผมพูดประโยคเดิม วลีเดิมในใจ (เท่านั้น) จนเผลอหลับ คืนแรกบนเกาะจิตใจแตกละเอียดยับ ต่อไม่เป็นชิ้นอีกครั้ง

เกาะดับจิต บทนำ


เกาะดับจิต
เรื่องเล่าความรักที่วกวนและมิตรภาพบนเกาะของคนหลบเมือง

บทนำ

เปลือกตาปิดพักปิดฉากความวุ่นวายจากโลกภายนอก ผมจมจ่อมไร้สภาพ นั่งหนีบบัตรโดยสารไว้ตรงหว่างขาไว้ชิด
ที่นั่งรอผู้โดยสารภายในประเทศไม่ชุกคนอย่างที่คิดไว้ กระเป๋าเดินทางจังก้าบนเก้าอี้ข้างๆ ใครสักคนต้องการที่นั่ง ผมถ่ายเปลี่ยนจุดวางกระเป๋าไว้บนพื้น ทั้งๆ ที่กระเป๋าเดินทางปราด้าสีดำไม่เคยแตะต้องฝุ่นธุลีสักครั้ง เวลานี้ช่วงนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจรักษาหวงแหนข้าวของอะไรทั้งนั้น ประกาศเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินกรุงเทพ-ภูเก็ต สายการบินบางกอก แอร์เวย์ ย้ำซ้ำเป็นครั้งที่สอง ผมอึกอักที่จะลุกเดิน ทว่าความจำเป็นบีบคอแน่นเกินปฏิเสธก้าวต่อไปไหว ผมเดินบนทางเดินธรรมดา ไม่ได้สไลด์เคลื่อนที่เหมือนภาพฝัน ที่เห็นตัวเองอีกคนวิ่งลู่ลมไวกว่าแสง ทางเดินเข้าสู่เครื่องบินมีสาวสวยสุขภาพดียกมือน้อมไว้พร้อมยิ้มหวานๆ ฝรั่งไม่เคยสนใจยิ้มหวานๆ ของน้องแอร์หน้าหมวย ทว่าผมสน ทว่าอีกที ผมไม่แสดงออก

ที่นั่งริมทางเดินไม่ได้แย่อย่างที่คิด ถ้าเป็นปรกติ ไม่พ้นที่ผมจะเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง แต่ครั้งนี้ไม่ได้จับจองล่วงหน้าจึงจำยอมโดยดุษฎี เวลาหนึ่งชั่วโมงที่นกเหล็กลัดเลาะกลีบเมฆมุ่งลงทางทิศใต้ บริกรบนฟ้าหน้าตาสะสวยเสิร์ฟข้าวของกล่องขนม ผมยกให้คนข้างๆ เขาตกอกตกใจแต่ก็รับไว้อย่างเสียไม่ได้ ทันทีที่ล้อนกแตะรันเวย์ ตรวจสอบข้าวของครบถ้วน ผมไม่รู้ว่าโบกมือเรียกแท็กซี่หรือแท็กซี่จับผมกันแน่ อย่างไรก็แล้วแต่ ผมก็นั่งโตโยต้า วีออส มาเทียบท่าเรือเฟอร์รี่ ข้ามไปสู่เกาะที่มุ่งหมาย