วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เกาะดับจิต บทที่ 2 (ต่อ)

เหวอ...

สาวหน้ารูปไข่เต่าคนเดิมกับผมมาโผล่ที่หน้าเวิ้งชายหาดที่ขนาบข้างด้วยผาหินสูงชันมีคราบตะไคร่เกาะเขียวแน่น น้ำทะเลเหือดแห้ง ผู้คนตัวม่วงช้ำเลือดช้ำหนอง หน้าคล้ำเป็นจ้ำๆ วิ่งหน้าผวาทว่าความเร็วค้างอยู่ที่เดิม

มันอะไรกันเนี่ย!!!

"อีกสักประเดี๋ยวพวกเขาจะขยับตัว" หล่อนบอก

นั่นไง พวกเขาวิ่งพุ่งมาข้างหน้าได้แล้ว แล้วนั่น...นั่นอะไรน่ะ คลื่นลูกยักษ์ลูกเบ้อเริ่มม้วนตัวเหมือนมือนางกวักใหญ่ๆ มันม้วนตลบรอบเล้วรอบเล่าแต่ไกล

"วิ่งเถอะ" ผมจับมือหล่อนวิ่งกะโผลกกะเผลกเพราะอะไรก็ไม่รู้ ก้มลงมองบนพื้นทราย มีปลาดาวยักษ์จับขาขวาไว้แน่น ส่วนขาอีกข้างปลาหมึกยักษ์อ๊อคโทพุสใช้หนวดยาวหยึ๋ยๆ ฟาดม้วนรัดไว้แน่นหนา

ปัดโธ่โว้ย!!!

เรื่องเป็นเรื่องตาย ทำไมไม่รู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตนบ้าง เซ็งเป็ด!!!

คลื่นลูกยักษ์ลูกใหญ่กว่าเมื่อสักครู่เมื่อมันมาใกล้ๆ นักวิ่งเดนตายก็วิ่งหน้าตั้งเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน คลื่นเองก็ไม่มีความเกรงใจสาดโกยพวกเขากระเด็นกระดอน รวมทั้งเรือหาปลาที่จอดตั้งไว้บนพื้นเสียสิ้นซาก มันกำลังเข้ามาใกล้เรา

ผมรีบหยิบผ้าคลุมอันเก่าคลุมตัวอีกครั้ง หยาาาาาา

ทำไมคนบนเกาะจึงมากมายและแต่งตัวแปลกๆ ใส่ชุดหมีกู้ภัยทำไมน่ะ แล้วนั่นก็หมอน้ำทิพย์คนดังที่ออกทีวีบ่อยๆ คร่ำเคร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย อ้าว! โคนต้นมะพร้าวมีศพหญิงฝรั่งผมบลอนด์ไม่ทราบสัญชาตินอนหงายไม่เป็นท่าแหงแก๋ง

หา.....

นี่มันที่เดิม แต่เวลาเปลี่ยน

"ใช่แล้ว ฉันไม่ได้พาคุณไปไหนไกลเลย ที่เดิม จุดเดิม นี่คือผ้าคลุมกาลเวลาแบบเดียวกับที่โดเรมอนใช้"

ผมคุกเข่าขอร้องให้หล่อนปล่อยผมไป

ได้โปรด

หว่าหล่อนขยายร่างกลายเป็นยักษ์ชุดขาวมีเขี้ยวสีงาช้างมันวาว มือที่ใหญ่แทบเท่าบ้านชันเดียวกวาดอุ้มผมไว้ในอุ้งมือ เหมือนกับที่นางผีเสื้อสมุทรจับพระอภัยมณีในนิทานปรัมปรา

ผมตายแน่! คราวนี้ตายจริงๆ

หวืออออ

ผมโดนผีหลอกครับ!!!

ยกมือกุมหน้าอกข้างซ้าย หัวใจเต้นยึกๆ ไม่ยอมหยุด ในทุกครั้งที่นึกถึงประสบการณืสยองขวัญ หัวใจเต้นดัง ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ อึ๋ย! สยองชะมัด ขอย้ายที่พักด่วน ผมอ้อนวอนพระเจ้าว่า ขอประทานพรจากพระองค์ให้การพักผ่อนครั้งนี้ราบรื่น เอเมน!

ปิ๊กจัดห้องพักในโรงแรมพร้อมยันต์กันผีทุกศาสนาแปะทั่วห้อง ประคำที่คอ กำชับว่าห้ามถอด

ในห้องจูเนียร์สวีตที่ถูกใจพอสมควร ระเบียบงส่วนตัวมีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้ดื่มเหล้าจิบกาแฟ เตียงนอนคิงไซส์เหมาะสำหรับคนนอนดิ้นอย่างผม จากุซซีกลางแจ้ง พร้อมห้องนั่งเล่น ไม่มีอะไรดีเกินกว่านี้อีกแล้ว ปิ๊กเสนอให้อยู่ฟรีกินฟรี แต่ว่า...ของฟรีไม่มีในโลก ขอจ่ายเงิน! มันบอกว่าไม่งั้นมันจะมาหามันทำจอกอะไร ถ้าอยากนอนโรงแรมแล้วจ่ายเงิน เออ...จริงของมัน ทว่าผมยืนกรานว่าไม่ขอรับน้ำใจ ปิ๊กจึงยอมโดยดี

หวังว่าห้องนี้คงไม่มีผีอีกนะ...

มีผีอีกแกต้องคืนเงินทั้งหมด!

แล้วผีก็ไม่มาให้เห็นอีกจริงๆ ยันต์ของปิ๊กได้ผลทันตาเห็น

วันผลัดวันผ่านไปราวสายธารไม่ไหลย้อนกลับ ตื่นนอนสายมากเป็นกิจวัตร อาหารเช้าเกือบถูกพนักงานเก็บเข้าหลังครัว บางวันผมก็ลงไปทันเวลา บางวันก็ทบยอดมื้อเช้ามื่อกลางวันเป็นมื้อเดียว อยู่โรงแรมไม่ต้องห่วงเรื่องทำวัฟเฟิลเอง ห้องรกไม่เกิน 6 ชั่วโมง แม่บ้านปัดฝุ่นสะอาดเช๊ง ดึงที่นอนตึงเปรี๊ยะ อยากนวดก็ลงมานอนริมชายหาด เรียกหมอนวดให้มาขยับขยี้เนื้อตัว

เสียอย่างเดียที่ชีวิตกลับมาน่าเบื่ออย่างที่คิด

เหตุเพราะไม่คิดออกไปดู พบปะ สังสรรค์ มีสังคมกับใครอื่นนอกจากปิ๊ก

แล้วบ่ายวันหนึ่ง ผู้หญิงที่ผมรู้จัก ใช่ไหม? นั่นน่ะ เพ่งดูให้ชัดๆ แองจี้! ผมทักเธอแน่คราวนี้

แองจี้สวมเสื้อแขนตุ๊กตาคอกว้างสีดำ ผ้าเนื้อบางเบาสยายตามลม ไหล่เล็กห่อลู่ลม เห็ตัวบางเฉียบแนบเนื้อ สะพายกระเป๋าข้างลำตัวทะมัดทแมง กล้องตัวใหญ่คล้องคอไว้ แว่นกันแดดคาดหัว

ผมยกมือโบกค้อมหัวลงทักเธอ เธอน้อมรับด้วยรอยยิ้มละไม

"แองจี้ ผมเอง ธรณ์" ผมบอกเธอเมื่อเราใกล้กันที่สุด

"สบายดีนะ"

"ก็ดี! ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่"

"มาทำงานสิ ดูสภาพ มาคนเดียว หิ้วกล้องเทอะทะ"

"คุณเป็นนักข่าว"

"ไม่เชิง จะเรียกว่าอะไรดีน้า...อ่อ! นักเขียนท่องเที่ยว...ประหลาดจัง จี้อยู่บนเกาะวันเดียว ไม่คิดว่าจะเจอใคร เกาะออกกว้างเนอะ อีก 20 นาที จะเริ่มทำงาน แล้วคุณล่ะ"

"ผมอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว พักร้อนน่ะ"

"ว้าว! น่าอิจฉาจัง" หล่อนเบิกตาโต

"ผมอิจฉาอาชีพคุณมากกว่า" ผมพูดจากใจจริงนะ

"เหรอ...ถ้าไม่รังเกียจไปช่วยฉันทำงานไหมล่ะ ดูเฉยๆ ก็ได้ ฉันทำงานนิดๆ หน่อยๆ เอง เก็บภาพ เก็บบทสัมภาษณ์ เดินสำรวจรอบเกาะ"

"น่าสนแฮะ ผมชอบเดินเล่น" สงสัยว่าเป็นวันพิเศษจริงๆ ฟ้าคราม สาวงาม สองเรา

"งั้นอีก 20 นาที เจอกันที่ล็อบบี้"

หมวกปีกไม่กว้างวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมล้างหน้าและทาครีมกันแดดกันผิวลอก รุดรีบลงชั้นล่าง
ที่ล็อบบี้ แองจี้นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษษอังกฤษฉบับเมื่อวานรอท่าอยู่

"ไปกันหรือยัง ผมพร้อมแล้ว ผมเป็นผู้ช่วยนักเขียนท่องเที่ยวคนใหม่" เอื้อมมือช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ที่อ่านเสร็จเก็บเข้าที่เข้าทาง แองจี้กับหมวกแบบเดียวกับที่เจสัน มาร์ซ น่ารักดีแฮะ
เอาล่ะ ไปได้แล้ว แอมยัวร์

เราเดินออกทางด้านหลังโรงแรม ใช้คำว่าเรากบแองจี้ ผมนึกคึกสนุกเหมือนตอนเด็กๆ ที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน อมยิ้มแก้มป่อง

"นึกอะไรอยู่เหรอ" แองจี้ใช้นิ้วจิ้มแขน

"เปล่าๆ แค่คิดถึงตอนเด็กๆ น่ะ ผมมองเห็นคุณกับผมตอนนั้นเดินอยู่ตรงโน้น ตลกดี ตอนนั้นเรายังเด็กๆ อยู่เลย เผลอแป๊บเดียว นึกว่าคุณจะตัวโตกว่านี้ คุณก็ตัวไม่เล็ก ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก"

"เหรอ"

เพราะแดดพาบพยับ ขนาดท้องทะเลยังเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าจัด แองจี้เลยพูดเบาๆ ว่า ร้อนผิว หยิบครีมกันแดด บีบหลอดดังปู้ด! ละเลงทั่วแขนเรียว

"ท่าทางคุณไม่ชอบออกแดด เป็นนักข่าวยังไงกัน เซกชั่นท่องเที่ยวต้องคนอึดๆ เท่านั้น ได้ยินมาอย่างนั้นน่ะนะ"

"ฉันไม่กลัว แต่เจอทุกวันก็เป็นมะเร็งได้ แองจี้คนนี้ไม่ได้ขี้แยเหมือนตอนอายุ14-15 แล้วนะที่จะกลัวโน่นกลัวนี่ ผ่านโลกมาพอสมควรเชียวล่ะ เพื่อนผู้ชายที่สำนักพิมพ์ต่างเรียกว่า "นังตัวแสบ" เพื่อนที่มหา' ลัย ตั้งฉายา "แม่เยี่ยวสาว" กัดไม่ปล่อย"

"ขนาดนั้น"

หล่อนปรับเลนส์โฟกัส เปลี่ยนหัวซูมกล้อง แล้วชักภาพท้องทะเลไปมา

"ท้องทะเลนี่ไม่เคยโกหกเลยนะ มันเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น สวยก็บอกว่าสวย สกปรกก็บอกว่าสกปรกจากคราบคลื่น ตรงไปตรงมาดีจัง"

"เราอยู่โลกใบเดียวกันหรือเปล่า ผมว่าทะเลมันไม่รู้สึกอะไรหรอก ยังไงมันก็เป็นทะเล"

"คุณใจเคบจัง แล้วเราก็อยู่ยโลกคนละใบจริงๆ ด้วย" เธอเก็บภาพอีกครั้ง หันมาปั้นหน้าเหยียดยิ้ม

"น่ากลัวนะเนี่ย เอ่อ...อย่าบอกนะว่าที่คุณพูดอย่างกับบทกวี คุณก็เขียนแบบนั้น คือผมไม่ค่อยอ่านงานของนักเขียนที่เอาของไม่มีความรู้สึกมาใส่ความรู้สึกแบบมนุษย์ โลกคงบ๊องค์ บิ๊กแบงครั้งใหญ่ ถ้าอะไรต่ออะไรมันคิดเองได้"

"แล้วโลกที่คุณอยู่นี่ไม่วุ่นวายอีกเหรอ? มาที่นี่ไม่ใช่หนีเคอร์ฟิวมา?"

"มันก็แค่ครั้งคราวน่า ไม่งั้นมันจะใช่โลกเบี้ยวๆ เหรอ" แองจี้ไม่สนใจคำตอบผม โน่น...หล่อนเดินไปโฉบสัมภาษณ์แหม่มฝรั่งสองคน นึกจะแยกตัวก็แยกไป นี่ล่ะแองจี้คนเดิม แม้ว่าอะไรหลายอย่างจะเปลี่ยน เธอช่างพูดช่างคุย ไม่ขี้อายม้วน พูดภาษาไทยชัดขึ้น

ผมลอบฟังเธอสัมภาษณ์ในระยะไกล แองจี้ถามข้อมูลและอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเกาะแห่งนี้ อ่อ...มีข้อมูล ชื่อ-สกุล เชื้อชาติ ความลับส่วนบุคคลนิดหน่อย

"คุณเปลี่ยนไปมาก"

"อย่างไรคะ อาจเพราะอาชีพล่ะมั้ง ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนไปมาก แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งชีวิตแล้วนะ อะไรๆ ก็เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน คุณไม่เคยได้ยิน?"

"ที่รู้ๆ คุณตอบคำถามยาวผิดปรกติ"

หล่อนหัวเราะคิกคัก แวะสั่งน้ำมะม่วงปั่นจากซุ้มไม้ไผ่เล็กๆ ป้าคนขายตัวดำเหนี่ยง แองจี้ถามว่าลองสักแก้วไหม ผมส่ายหัว ว่าแต่แล้วเราไม่เจอกัน คุณหายไปไหน...

แองจี้หลังเราเลิกกัน ผมไม่ได้เจอคุณอีก จำไม่ได้ว่าเราเลิกกันเพราะอะไร"

"เธอไม่ได้ให้ดอกไม้วาเลนไทน์ไง...ตาบื้อ หลังจากนั้นฉันก็ย้ายบ้านตามพ่อไปทำงานที่สิงคโปร์ เรียนที่นั่นยาวเลย จนจบไฮสคูล กลับมาเมืองไทยก็ไม่ได้ เคยคิดลองโทร. ไปที่บ้านเธอเหมือนกัน แต่เบอร์หายเกลี้ยงตอนขนของ ไม่รู้แม่เก็บพวกของจุกจิกฉันไว้ที่ไหน พลัดหลงตอนย้ายของ จี้นั่งเซ็งเป็นวันๆ เลย อืมมม เบอร์บ้านเธอ ฉันก็จำได้นะ 0-2242- ลืมสี่ตัวหลังน่ะ" แองจี้หัวเราะร่วนอย่างคนอารมณ์ดี เกาหัวเสียผมยุ่ง

"วันนี้บังเอิญจังเลยนะ"

ใช่! มันคือความบังเอิญ

แองจี้หลีกตัวจากแสงแดดร้อนเข้าร่มเงาร่มผ้าใบ สัมภาษณ์คู่หนุ่มสาวที่กำลังสวีตหวาน คำถามแรก เราก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนออสเตรเลีย

ทั้งคู่เป็นนักศึกษา

แต่งงานแล้วด้วย

โอ้! ดูเหมือนพวกเขาใช้ชีวิตผู้ใหญ่รวดเร็วกว่าชาวตะวันออกมาก

"คุณว่าพีพีมีเสน่ห์ตรงไหน ในเมื่อโต้คลื่นที่บ้านคุณสนุกกว่าเยอะ" แองจี้ยิงคำถาม

"ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ที่นี่ถูก วัฒนธรรมแตกต่าง เราอยู่ได้ยาว อาหารสดใช้ได้ แดดดี ลมทะเลมีกลิ่นอย่างที่มันควรจะเป็น ดำน้ำดูปะการังสวยๆ ชีวิตวัยรุ่นต้องการอะไรมากกว่านี้"

"สรุปว่าที่นี่ประหยัด" แองจี้ตบประเด็นให้เหลือเพียงหนึ่ง

"ไม่ธรรมชาติก็สวยด้วย" นักท่องเที่ยวคนนั้นบอกหล่อนว่าขาดไปอีกประเด็น

"แล้วพวกเราเป็นนักศึกษา รายได้ยังไม่มาก มาเมืองไทยก็อยากเที่ยวให้ครบ สมุย พะงัน พีพี เชียงหใม่ กรุงเทพฯ เมืองไทยแต่ละที่สวยแตกต่าง" แฟนสาวให้ความเห็นเพิ่มเติม

แองจี้กดMP3 หยุดการสัมภาษณ์

ทะเลยามบ่ายผู้คนพลุกพล่าน แดดดีอย่างนี้ นักท่องเที่ยวกอบโกยแสงเปลี่ยนสีผิวแทน กีฬาชายหาดกลางแจ้ง น้ำกำลังลง แองจี้สัมภาษณ์อีก 2-3 คน เก็บภาพนักท่องเที่ยวและกิจกรรมชายหาด

"ไปจิบชาไหม เสร็จงานภาพบ่ายแล้วล่ะ"

ถนนตัดเชื่อมอ่าวกับเขตร้านค้า ร้านอาหาร ผู้คนสัญจรเข้า-ออกอ่าวเรื่อยๆ เรามองหาร้านสะดวกๆ น่านั่งสักร้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น