วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น : ร้องไห้ทำไม???

ดิฉันเป็นคนหนึ่งค่ะ ที่ไม่ชอบเขียนเรื่องตัวเองออกอากาศ

ไมมีวันหรอกค่ะ ที่ใครจะรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ชอบ/ไม่ชอบอะไร ผ่านสิ่งที่ดิฉันเขียน เคยได้ยินหรือเปล่าคะว่า...คนที่โกหกที่สุดในโลกนั่นก็คือ...ใช่แล้วค่ะ! ดิฉันคิดว่าเออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ โกหกเก่งและแนบเนียนที่สุดในโลก

ในงานเขียน, คุณจะเป็นคนต่ำต้อยด้อยค่าไร้ราคาหรือสูงส่งคนเอื้อมไม่ถึงแค่ไหนก็ได้ ใครจะว่าคุณ? หรือใครว่า จำเป็นต้องสนใจนักหรือ?

ถ้างานเขียนนั้นจัดเป็นฟิกชั่น หรือว่าจะเป็นสารคดี คุณก็สามารถเป็นใครก็ได้ ตราบใดที่คุณให้ข้อเท็จจริงกับคนอ่าน ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ ก็ใช้นามแฝงซะก็หมดเรื่อง ใส่หน้ากากป้องกันชีวิตส่วนตัวของคุณไว้ ในเมื่อคุณไม่ใช่นักเขียนที่ห้าวหาญ มีความรับผิดชอบ มีจุดยืน มีตัวตน เปิดเผยต่อสังคมสาธารณะ

ในตรรกะที่ว่า ดิฉันจึงจัดเป็นนักเขียนที่หดหัวอยู่ในกระดอง มีจุดยืนในความไม่มีจุดยืน ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะดิฉันเป็นนักเขียนนะคะ ไม่ใช่พ่อแม่ของคุณคุณ แล้วคุณก็ไม่ใช่เด็กอายุแปดขวบที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่มีตัวตน เพราะงานเขียนของดิฉันจัดอยู่ในประเภทปล่อยผีร้ายในตัว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดิฉันให้คุณได้คือ รสชาติ คล้ายกับว่าคุณเสพภาพยนตร์ การ์ตูน และที่สำคัญ ดิฉันยังเชื่ออีกว่านักเขียนบางคนไม่จำเป็นต้องเป็นดารา ไม่เห็นต้องเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนรัก ดิฉันแสดงผลงาน ไม่ได้ขายหน้าตา ถ้าขายหน้าตา ก็ขายอย่างที่เราเป็น ไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมในแบบที่พวกคุณชอบ (เชื่อว่าการศัลยกรรมเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมป๊อป ดิฉันขออยู่ในกลุ่มคัลต์ (กรณีที่สักวันมันจะดังน่ะนะ แต่ตอนนี้คงโดนเตะไปอยู่ในกระด้งนักเขียนอัลเทอร์เนทีฟก่อน) ในกรณีที่ต้องจัดวางสถานะของตัวเอง ดิฉันเลือกคนที่ชอบดิฉันด้วยวิธีนี้สะดวกใจกว่า)

เอาล่ะค่ะ! มาถึงบรรทัดนี้ ดิฉันขอร่ำไห้ (ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่า ดิฉันเสียใจ หรือว่าโกหกตอแหล) น้ำตาดิฉันก็ไหลพรากๆ เสียแล้ว ดิฉันอยากจะนั่งรถด่วนย้อนเวลาไปถามฟรอยด์ ไม่ก็คาร์ล จุง ถามว่าทำไม พวกท่านถึงไม่วิจัยเรื่องจิตใต้สำนึกในงานศิลปะบ้าง มัววุ่นอยู่กับความฝันยามหลับใหล ทั้งๆ ที่จิตใต้สำนึกยามตื่นน่าสนใจกว่ากันเยอะ ฟรอยด์จะจัดงานศิลปะไร้โครงสร้างไว้อยู่ในกลุ่มเดียวกับมโนสำนึกของคนยามหลับฝันหรือเปล่าคะ (ถ้ามันไม่ผ่านกระบวนการดัดจริต ตัดเล็มเสียเรียบร้อย) คุณลุงจุงคะ เวลาที่คนเราคิดโดยที่ไม่พูดออกมาเป็นกระสายๆ ทั้งๆ ที่ยังตื่น มันคงไม่จัดเป็นจินตนาการนะคะ และมันก็คงไม่ได้เป็นความฝันด้วย อยากให้คุณลุงจุงศึกษาประวัติศาสตร์จิตใต้สำนึกยามตื่นค่ะ ดิฉันขอคุณช้าเกินไปใช่ไหมคะ

ดิฉันสะอึกสะอื้น ไร้วี่แววคนมองเห็น ทางพระ, ท่านว่ากระบวนการร้องไห้นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ เพราะคุณต้องรื้อความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งปวง มานั่งใคร่ครวญ บังคับเพ่ง ให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเศร้าโศกเสียใจ ยิ่งร้องไห้หนักหน่วงเป็นเวลานาน นั่นแสดงว่า คุณมีสมาธิในการทำให้อยู่ในสภาวะใจเสียได้ดีเยี่ยม

ยันขั้วความคิดนั้นให้อยู่ฝั่งตรงข้ามความรู้สึกได้เลย ดิฉันกำลังมีความสุขอยู่ มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกข์ไม่เคยบังเกิดกับคนที่ไม่คิดว่าปัญหาคือตัวทุกข์ มองว่าดิฉันมองโลกในแง่ดีหรือเปล่าคะ ไม่เลยค่ะ ถ้าดิฉันจัดเป็นคนประเภทนั้น ป่านนี้คุณคงได้อ่านเรื่อง นกผู้อิสระกระพือปีกหักๆ ของมัน แล้วบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าเวหาในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ท้องฟ้าสีครามผู้ที่คิดว่าท้องฟ้าสีเทาหม่นเศร้า สวยไม่เท่า แต่เราก็เป็นเพื่อนกัน อึ่ม! ดูเป็นคนดีเนอะ ท้องทะเลงามอยากรู้จักภูเขาเขียวขจี เด็กที่มีรอยยิ้มเปื้อนทะเลคลั่งบนใบหน้าวิ่งไล่ฆ่าตั๊กแตนอย่างมีความสุข ทุกตัวอักษรช่างดูอารมณ์ดี มองอะไรตาวาวไปหมด (แต่อย่างว่าคนที่เขียนเช่นนั้นได้ มีใครรับประกันหรือเปล่าว่ารู้สึกคิดอย่างนั้นจริงๆ--ข้อสันนิษฐานแรก เขาเขียนเช่นนั้นเพื่อที่เขาจะสะท้อนตัวอักษรเพื่อจัดกลุ่มประเภทงานเขียนหรือเปล่า--ข้อสันนิษฐานที่สอง มันเหนื่อยมากไหมกับการต้องแสดงออกแบบมีความรักความปรารถนาดีเหลือเฟือ--ข้อสันนิษฐานที่สาม เขาทำใจอย่างไร ให้มองว่า อะไรก็ดี อะไรก็สวยไปหมด--ข้อสันนิษฐานที่สี่ หรือว่าเขาเป็นคนขี้โกหกแบบดิฉัน--ข้อสันนิษฐานที่ห้า)

คราวนี้ก็รู้แล้วนะคะว่า ร้องไห้ทำไม

2 ความคิดเห็น:

  1. มึงร้องไห้ทำไมวะ กูไม่รู้ว่ะ บอกด้วยๆ

    จาก...หมวย

    ตอบลบ
  2. นั่นสิ
    กูคงความรู้สึกเยอะ อารมณ์แยะ

    ตอบลบ