วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จาระไนความ


แม้จะมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมบ้าง แต่มักไม่ค่อยมีคอมเมนต์
ก็อยากจะบอกไว้ว่า เหตุที่นำงานเก่าๆ มาลงไว้ซึ่งเป็นส่วนที่เลือกไว้เล็กน้อยว่ามันพอยังมีประโยชน์บ้างมาลงให้ได้อ่าน จะเก็บไว้แต่ในไดร์ฟ มันก็ทำได้อยู่ (แต่ไม่ทำ)

โอเค เลยเลือกนำบางส่วน ในคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ มาลงในนี้อีกรอบ

ขอบพระคุณบรรณาธิการทุกคนที่ผ่านเข้ามาสอนสั่งในชีวิต
รวมถึงคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน

In the meaning of fashion

Volume Magazine
Rewind May01 2007
เรื่อง นงนภัส

ความหมายของแฟชั่น

โลกของแฟชั่นคือโลกที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกและธรรมเนียมปฏิบัติ ถ้าแฟชั่นนั้นโดดเด่น คนจำนวนมากชื่นชอบก็จะสามารถสร้างเทรนด์ได้ในเวลาต่อมา

‘แฟชั่น’ จึงจัดเป็นป๊อป คัลเจอร์ (วัฒนธรรมประชานิยม) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม

อย่างงไปเลยค่ะ...ว่าสินค้าแฟชั่น(ส่วนมาก)ที่แสนแพงจะเกี่ยวโยงอย่างไรกับประชาชนที่มีกำลังการซื้อต่ำ นั่นเพราะคนกลุ่มนี้มีความจำเจอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าดูชม ทำให้พวกเขาจินตนาการถึงสิ่งสวยๆ งามๆ เช่น เสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆ เพื่อหลีกหนีจากโลกความเป็นจริงที่ซ้ำซากน่าเบื่อ โดยใช้วิธีเปิดดูนิตยสารแฟชั่น การเปิดรับข่าวสารจากโทรทัศน์ในระบบฟรีทีวี แม้กระทั่งเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับแฟชั่น อาทิ ในห้องแฟชั่นของ www.pantip.com หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับแฟชั่นโดยตรงจากต่างประเทศ อาทิ www.instyle.com หรือ www.fashionwiredaily.com หรือแม้แต่ New York times เวอร์ชั่นแมกกาซีนเป็นต้น

แต่อย่างไรเสีย ‘ความชื่นชอบ’ และ ‘การครอบครอง’ สินค้าแฟชั่นของคนไทยนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เส้นกราฟดีมานด์และซัพพลาย ไม่สามารถบรรจบกันได้อย่างลงตัวในราคาที่พึงใจ ผลที่ออกมาคือการใช้สินค้าปลอม สินค้าแปลง (ปรับเปลี่ยนลูกเล่นเล็กน้อยแต่คงรูปแบบไว้เหมือนเดิม และเปลี่ยนแบรนด์ใหม่เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่ของปลอม) อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

สำหรับประชาชนในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ผู้คนนิยมใช้สินค้าแฟชั่นราคาสูง อาทิ สินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย เพราะนอกจากคัตติ้งที่ละเอียดลออ การออกแบบที่ทันสมัย ความใส่ใจในเนื้อผ้าและรายละเอียดของลูกเล่นแล้ว ผู้คนยังเคารพแบรนด์ที่สวมใส่ นั่นคือกุญแจดอกสำคัญของการสร้างแบรนด์ไม่ว่าในธุรกิจใดก็ตาม

หากย้อนไปหาต้นกำเนิดของแฟชั่น แฟชั่นเกิดขึ้นครั้งแรกจากการที่ Worth นักออกแบบเสื้อออกแบบเสื้อให้กับจักพรรดินี Eugénie พระมเหสีของจักรพรรดิ Napoleon lll แห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นี่กระมังคือที่มาของคำว่าปารีส...เมืองแฟชั่น

ในยุคแรกๆ ผู้ที่สร้างแฟชั่นนั้นทำขึ้นเพื่อตอบสนองความสวยงาม แต่เมื่อแฟชั่นผ่านกระบวนการผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความรื่นรมย์ในสังคมระบบทุนนิยม (ซึ่งมาพร้อมกับกระแสบริโภคนิยม) เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายตามแฟชั่นนั่นก็คือ ‘สินค้าเริงรมย์’

ยิ่งไปกว่านั้น แท้จริงแล้วแฟชั่นคือกระบวนการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง โดยมีผู้ส่งสารอันได้แก่ ดีไซเนอร์ ผู้ตัดเย็บ ผู้จำหน่าย รวมไปถึงเสื้อผ้าสุดเลิศ กระเป๋าแสนหรู รองเท้าคู่งาม ฯลฯ สารพัดสินค้า ผ่านช่องทางการสื่อสารเริ่มตั้งแต่ นางแบบที่สวมใส่เสื้อผ้า เวทีเดินแบบ หนังสือ นิตยสารที่มีคอลัมน์หรือรูปภาพเกี่ยวกับแฟชั่น รวมไปถึงการตกแต่งหน้าร้าน การจัดวางเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในห้างสรรพสินค้า โดยแฝงแมสเสจลงในรายละเอียดที่บรรจุอยู่ในแฟชั่น อาทิ การใช้สีของเสื้อผ้าในแต่ละฤดูกาลลวดลายการปัก ลูกเล่นที่ใช้กับเสื้อผ้าของแต่ละคอลเล็กชั่น โดยเนื้อหาที่กล่าวมาทั้งหมดจะถูกส่งไปยังผู้ที่รับสารผ่านทางสื่อต่างๆ หรืออาจจะบังเอิญพบเห็นแฟชั่นนั้นจากห้างช็อปต่างๆ แมสเสจดังกล่าวมีผลก็ต่อเมื่อมีคนมองเห็น
แต่จะมีใครเคยคิดไหมว่าการที่แต่ละบุคคลแต่งตัวตามแฟชั่นนั้นสื่อนัยยะอะไรบ้าง

บางคนใส่เพื่อเป็นความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ การได้แต่งตัวออกจากบ้านสามารถทำให้สดชื่น สบายใจ พวกเขาสรรหาคำเรียกตัวเองว่า ‘แฟชั่นนิสต้า’ ซึ่งแปลว่าผู้คลั่งไคล้การแต่งตัว

บางคนก็ใช้แฟชั่นเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น สาวใดที่สวมชุดแซกสั้นทำจากผ้าไหมพลาสติกสีแดงเข้มแบบไวน์บอร์โดซ์ เว้าร่องอกลึกเล็กน้อยของดอลเช แอนด์ กับบานา สามารถสร้างภาพลักษณ์ให้สาวนั้นดูสวยเซ็กซี่ หรือแต่การเกล้าผมรวบตึง แต่งหน้าเฉดเอิร์ธโทน สวมเดรสสีเชสต์นัตของแอร์แมส ถือกระเป๋าแบรนด์หลุยส์ วิตตองก็ดูเรียบหรู ดึงดูดความสนใจไปอีกแบบ

บางคนใช้แฟชั่นเพื่อปกป้องอำพรางความละอาย อาทิ คนเจ้าเนื้อใช้แฟชั่นเสื้อผ้าสีดำช่วยพรางรูปร่างให้ดูเพรียวขึ้น

และอีกหลายคนก็ใช้เพื่อเป็นการบอกสถานะและคุณค่าทางสังคม แน่นอนว่าถ้าใครสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดังคอลเลกชั่นล่าสุดเดินเล่นที่ห้างหรูหรือไปแฮงก์เอาต์ในชิกบาร์ คุณไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าไม่มีอันจะกิน (เขาจะว่าคุณโกหกได้) การสวมเสื้อผ้าราคาแพงนั้นนอกจากจะบอกรสนิยมของผู้สวมใส่ ยังเป็นเครื่องบ่งชี้สถานภาพทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น การแต่งกายในนานาความหมายดังกล่าวจึงมีความสัมพันธ์แนบแน่นในชีวิตประจำวัน และเมื่อสั่งสมเป็นระยะเวลานาน แฟชั่นจะมีอำนาจในฐานะเครื่องมือบ่งบอกความทันสมัย เมื่ออำนาจมีพละกำลังมากขึ้นจากการยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ ความหมายของคำว่า ‘แฟชั่น’ ก็จะกลายเป็นอุดมการณ์ทางความคิดของคนในสังคม

ถ้าไม่เชื่อลองหยิบกางเกงขาสั้นเอวสูงและบาร์คล้องคอของลา เพอร์ลา คอลเล็กชันสปริง-ซัมเมอร์ 2007 ใส่ดูสิ แต่ถ้าอยู่เมืองไทยกลัวใครจะว่าโป๊ สวมแจ๊กเก็ตเท่ๆ ของอาร์มานีทับ ที่สำคัญอย่าลืมสวมรองเท้าส้นสูงปรี๊ดของจิมมี่ ชู ใส่งานปาร์ตี้สิอย่างไรเสียต่อให้คุณมีรูปร่างท้วมนิดหน่อย ไม่เพรียวลมเหมือนนางแบบ ใครๆ ก็ต้องบอกว่าคุณเป็นคนเก๋และเป็นสาวแฟชั่นนิสต้าตัวจริง

แต่จะมีสักกี่คนที่สวมใส่ตามเทรนด์ได้ดั่งใจ ซึ่งไม่กี่คนนั้นก็คือยอดปิรามิดของคนในสังคม ถ้ามองในมุมกลับ ‘แฟชั่น’ นี่แหละที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของคนในสังคมเรื่องความไม่เท่าเทียมกันได้อย่างชัดเจนที่สุด

ด้วยเหตุที่แฟชั่นคือภาพลักษณ์ทางสถานะ บทบาทและตำแหน่งทางสังคมของผู้สวมใส่
Volume Magazine
Rewind August 02 2007
เรื่อง นงนภัส

Modern Bangkoker

คนกรุงเทพเริ่มใช้ชีวิตเป็นคนเมืองสมัยใหม่ตั้งแต่เมื่อใด

คนเมืองรุ่นใหม่ของกรุงเทพเริ่มปรากฏและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนนับตั้งแต่ช่วงกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว--ช่วงที่มีการขยายตัวของระบบการศึกษาสมัยใหม่ทำให้คนที่มีการศึกษาเริ่มแสวงหาอาชีพใหม่ๆ ได้หลากหลาย ประกอบกับเริ่มมีการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้คนกรุงเทพรุ่นใหม่มีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริโภคจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน

ในรัชสมัยนี้เช่นกันที่ธนาคารต่างชาติเริ่มมีการทำ ‘แบงก์โน้ต’ ของตนเองออกมาขับเคลื่อนการทำธุรกิจ ในระยะแรกแบงก์โน้ตถูกใช้กันในหมู่พ่อค้าชาวต่างประเทศและราษฎรชั้นสูงในกรุงเทพเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อความมีเอกราชทางการเงินของประเทศ หนึ่งปีให้หลังรัฐบาลสยามได้สั่งพิมพ์ธนบัตรของตนเอง แต่ยังไม่ได้ใช้งานเนื่องจากเกิดวิกฤตหลายประการ จึงต้องเลื่อนการใช้ธนบัตรออกไป

หลังจากที่รวบรวมการปกครองตามระบบมณฑลเทศาภิบาลได้แล้ว ถึงได้มีการกระจายตัวของเงินตรามาตรฐานเดียวเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการสั่งทำธนบัตรจากห้างโทมัส เดอ ลา รู แห่งกรุงลอนดอน เป็นธนบัตรราคา 5 บาท 10 บาท 20 บาท 100 บาท และ1,000 บาทขึ้น ธนบัตรดังกล่าวส่งมาถึงกรุงเทพในปี พ.ศ. 2445 พิธีเปิดกรมธนบัตรวันที่ 19 กันยายน และเปิดกิจการทั่วไปในอีก 4 วันต่อมา

ในช่วงเวลาที่เงินตรากระจายในสังคมอย่างรวดเร็ว ลักษณะการบริโภคของชาวเมืองกรุงเทพ ทั้งในเรื่องอาหารการกินและการบริโภครสนิยมในชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไป

ถนนสายสำคัญในย่านธุรกิจการค้า อาทิ ถนนเจริญกรุงทั้งในและนอกพระนคร ถนนเฟื่องนคร ถนนสำเพ็งและถนนรอบพระนครชั้นใน มีการขายเหล้าและยาฝิ่นสูงที่สุด ตามติดมาด้วยร้านขายของต่างๆ ร้านจำหน่ายของทั่วๆ ไป บ้านเรือนร้านค้าที่ประกอบกิจการต่างๆ อาทิ โรงรับจำนำ ร้านเขียนหวย โรงรถเช่า โรงโสเภณี อันดับสุดท้ายคือ ร้านขายอาหาร ขนมและผลไม้

ในเวลานั้น ร้านขายอาหารประเภทข้าวแกง ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ขนมจีน ยังมีไม่มากในกรุงเทพ (ถนนเจริญกรุงถือเป็นถนนที่มีการตั้งร้านประเภทดังกล่าวมากที่สุดในกรุงเทพ) ซึ่งจำนวนของร้านอาหารประเภทดังกล่าวสามารถบ่งชี้ว่าคนไม่ได้ทำอาหารรับประทานเองที่บ้านเพิ่มจำนวนมากขึ้น นั่นย่อมทำให้สภาพเมืองสมัยใหม่ของกรุงเทพเด่นชัดขึ้น

ประเด็นเรื่องการกินอาหารนอกบ้านของชาวเมืองไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่รีบเร่งในการทำงานเท่านั้น หากแต่การรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นการพักผ่อนหย่อนใจลักษณะหนึ่ง ยิ่งคนในสังคมมีแรงจับจ่ายใช้สอย อาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความมั่งคั่งของบุคคล ดังนั้นจึงเกิดร้านอาหารหรูหราขึ้นเพื่อเป็นการเสริมฐานะและรสนิยมของคนที่มีฐานะ

เมนูอาหารที่โดดเด่นเป็นที่นิยมของชาวเมืองในขณะนั้นหนีไม่พ้นสตูไก่ ไอศกรีม และอาหารในภัตตาคารจีนหรูหรา อาหารราคาแพงเริ่มมีมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ‘ร้านบันไดทอง’ ตั้งอยู่ที่ตรอกแดง ถนนสำเพ็ง และภัตตาคารห้อยเทียนเหลา สถานที่ที่นิยมเสิร์ฟอาหารราคาแพงรองรับลูกค้าผู้มีฐานะดีโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าสินค้าฟุ่มเฟือยและหรูหราประเภทอื่นๆ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในเขตวังในฐานะสิ่งแปลกใหม่อีกต่อไป หากแต่ยังดำรงอยู่ในสังคมตามแต่ผู้มีกำลังซื้อหา ซึ่งจะทำให้บุคคลผู้นั้นโก้เก๋ต่างจากคนอื่นๆ อาทิ รองเท้าห้างยอนแซมสัน ซองบุหรี่ตรา จ. สาม จ. กระดุมลงยาตราแผ่นดิน สูบกล้องห้างพระปฏิบัติ ผ้าเช็ดหน้าลินินเนื้อหนาอย่างยุโรป บุหรี่อียิปต์ก้นทอง ไม้ขีดไฟสวีเดน ไม้เท้าเชอรี่ รับประทานอาหารโอเรียนเต็ล ดื่มวิสกี้ลอซันและบรั่นดีสามดาวเจือโซดา เป็นต้น

หากกล่าวชีวิตกลางคืนของคนกรุงเทพสมัยใหม่นั้นยังไม่คึกคักนัก คลับชาวตะวันตกในระยะแรกมีเพียง 2 คลับที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ คือ คลับอังกฤษและคลับเยอรมัน ซึ่งในตอนนั้นยังไม่เปิดกว้างให้สำหรับบุคคลทั่วไป นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2430 (ปลายรัชกาลที่ 5) อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้ามากลายเป็นสิ่งบันเทิง ลักษณะการพักผ่อนหย่อนใจรูปแบบใหม่เริ่มปรากฏเด่นชัด ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนชั้นสูงที่เลียนแบบชาติตะวันตก เพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้นสโมสรและคลับในเมืองไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ‘บางกอกกันคลับ’--คลับสำหรับกิจกรรมยิงนกพิราบ ‘ราชกรีฑาสโมสรณ์ กรุงเทพ’--คลับที่จำลองรูปแบบการจัดสโมสรและกิจกรรมต่างๆ มาจากเมืองนอกแทบทั้งสิ้น

กระนั้นชีวิตกลางคืนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ใน ปี พ.ศ. 2464 สีสันของไนต์ไลฟ์เริ่มต้นตั้งแต่พลบค่ำเป็นต้นไป กรุงเทพสว่างไปด้วยแสงไฟ ภัตตาคาร ร้านอาหารหลายร้านเน้นบริการเสิร์ฟอาหารรสเลิศในยามค่ำคืน ถนนราชวงศ์เป็นถนนหลักแห่งความบันเทิง ราวกับว่าถนนสายนี้หลังเที่ยงคืนคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน ผู้คนออกจากโรงหนังโรงละคร มุ่งสู่ร้านขายไอศกรีมโซดา ร้านขายอาหารคับคั่งริมถนน หลังจากรับประทานเสร็จผู้คนอาจเดินไปต่อที่ภัตตาคารย่านเยาวราช หรือสถานที่อื่นๆ ได้ตลอดทั้งคืน

เชื่อว่าตอนนั้นคนที่นิยมบริโภคความหรูหราโดยการแสดงออกผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน คงยังไม่ทราบว่าตนเองกำลังก้าวเข้าสู่ลัทธิอันทรงพลังไปทั้งโลก--‘บริโภคนิยม’

ว่ากันว่าลัทธินี้แทรกซึมผู้คนอย่างช้าๆ เพื่อตอบสนองกิเลสมนุษย์อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผู้คนเห็นว่าการมีบ้านหลังใหญ่ มีรถยนต์คันโก้และมีสินค้าแบรนด์เนมไว้ครอบครองช่วยสร้างเสริมสถานภาพทางสังคมให้ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาว่าเป็นผู้ดีมีเงิน

กระทั่งถึงวันนี้ที่คุณบริโภคนิยมได้ลงลึกฝังในหัวของทุกคนแล้ว สบัดทิ้งเท่าไรเชื่อขนมกินได้ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด

จากสาวรำวงถึงโคโยตี้

Volume
Rewind Jan02 2007
เรื่อง นงนภัส

จากสาวรำวงถึงโคโยตี้

ในทุกยุคทุกสมัยความบันเทิงกับสังคมไทยเป็นเรื่องที่เข้ากันได้ดีเสมอมา

อาจเป็นเพราะคนไทยชอบหลีกหนีความเครียด ถ้าเครียดเมื่อไรต้องหาวิธีดับทุกข์ ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง หรือเที่ยวตามสถานบันเทิงยามราตรี หน้าที่ปลดทุกข์ปลดเครียดจึงตกไปอยู่ที่ความบันเทิง
เมื่อผู้หญิงเครียด มักหาทางบำบัดด้วยการดูแลตัวเอง อาทิ ทำสปา ชมละครเวที หรือไม่ก็คุยเรื่องเซ็กซ์กับเพื่อนสาว

แล้วผู้ชายล่ะ…สถานบันเทิงคือตัวเลือกอันดับแรกที่ชายหนุ่มพร้อมใจไปสังสรรค์เฮฮาในหมู่เพื่อน และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสาวๆ ดาวเต้น คือกลุ่มคนที่ช่วยคลายเครียดให้คุณผู้ชายที่แสวงหาความบันเทิงในทุกยุคทุกสมัย

พวกเธอรอให้ความสุขด้วยการยักย้ายส่ายสะโพก

สาวรำวง หางเครื่อง แดนเซอร์ สาวโคโยตี้ และสาวเอนเตอร์เทนเนอร์ คือชื่อเรียกของสาวดาวเต้นที่กาลเวลาพัฒนาลีลาของพวกเธอขึ้นมาตามลำดับ

ในสมัยก่อนเรามีสาวรำวงไว้แสดงในงานวัด ก่อนที่เพลงลูกทุ่งจะโด่งดังเป็นพลุแตก วงดนตรีที่มีชื่อส่วนมากจะมีหางเครื่องไว้คอยเต้นลีลาประกอบเพลง เพราะส่วนใหญ่นักร้องหัวหน้าวงลูกทุ่งที่หน้าตาดีมีน้อยมากถ้าเทียบกับสมัยนี้ น้ำจิ้มดีๆ จึงเป็นหน้าที่ของหางเครื่อง--ผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นสะโอดสะองในชุดเร้าอารมณ์ กระตุกต่อมความสนใจของผู้ชมให้ชุ่มชื่นหัวใจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นปลุกใจเสือป่า

สำหรับ ‘อะโกโก้’ นั้นได้รับอิทธิพลจากฝั่งอเมริกาแผ่เข้ามาถึงย่านพัทยาในเมืองไทย การเต้นประเภทนี้โดดเด่นด้วยลีลาเย้ายวนและการแต่งกายยั่วยุอารมณ์ทางเพศ ลักษณะการเต้นเป็นแบบหางเครื่องแต่เพิ่มดีกรีความเซ็กซ์ติดเรตเอกซ์เข้าไป โดยมีเสาเป็นอุปกรณ์ประกอบการเต้น อะโกโก้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘เต้นรูดเสา’ ทำให้ในเวลาต่อมาการเต้นชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักเต้นย่านสีลม และพัฒน์พงษ์

และเมื่อเพลงสตริงได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเกิดการเต้นแดนเซอร์ขึ้นมา ในระยะแรกยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไร แต่เมื่อมีการเลียนแบบท่าเต้นจากต่างประเทศประกอบกับการพัฒนาลีลาท่าทาง ทำให้อาชีพแดนเซอร์เป็นที่ต้องการของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ นอกจากรายได้งามแล้ว ข้อดีของอาชีพนี้คือมีอิสระในการรับงาน โดยที่ไม่ต้องผูกขาดกับการเต้นของวงดนตรีใดเหมือนกับหางเครื่อง

และถ้าพูดถึงที่มาของ ‘สาวโคโยตี้’ เป็นอันรู้กันว่ามีที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Koyote Ugly’ เรื่องราวเกี่ยวกับนักสร้างความบันเทิงตามไนต์คลับที่พยายามหาทางให้นักดื่มได้เมาเร็วขึ้น ด้วยลีลาการเต้นเร้าใจบนเคาน์เตอร์บาร์

ในเมืองไทย เดอะฟอร์เต้ ‘The Forte’ คือแหล่งบันเทิงแห่งแรกที่นำหญิงสาวขึ้นเต้นบนเคาน์เตอร์บาร์ กระทั่งร้านนี้ย้ายจากสุขุมวิท 24 มาอยู่ในอาร์ซีเอ ก็ยังคงจุดขายไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้เดอะฟอร์เต้เป็นคลับเดียวที่โดดเด่นด้วยนักเต้นโคโยตี้ ก่อนที่การเต้นของสาวกลุ่มนี้จะกระจายตัวไปตามสถานบันเทิงอื่น
การเต้นโคโยตี้เป็นส่วนผสมของการเต้นรำหลายๆ ประเภทเข้าไว้ด้วยกัน โดยปกติจะเต้นในช่วงที่ดีเจเปิดเพลงเป็นรอบ รอบละ 30-45 นาที และต้องเต้นบนเคาน์เตอร์บาร์ด้วยเสื้อผ้าที่หนีไม่พ้นเสื้อตัวจิ๋วกับกางเกงขาสั้นรัดรึงเรือนร่าง โดยมีลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นผู้ชายนั่งรายล้อมอยู่รอบเคาน์เตอร์

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าเหล่านั้นทำได้แค่เพียงดูด้วยตา มืออย่าต้อง ไม่เช่นนั้นจะโดนตบ แต่ไม่ห้ามเลี้ยงดริงก์หรือให้ทิปสำหรับสาวที่เต้นถูกใจ ส่วนจะพูดคุยหรือมีการสานสัมพันธ์อะไรต่อ เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับเกรดของร้านและกฎอันเข้มแข็งของสถานที่

สาวๆ ที่ทำอาชีพนี้สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือ ‘รายได้ดีๆ สำหรับการเลี้ยงชีพ’ ในหนึ่งเดือนสาวโคโยตี้จะมีรายได้อยู่ระหว่าง 30,000-100,000 บาท มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสียตัวเองเรียนและหารายได้ให้ครอบครัวด้วยอาชีพดังกล่าว

นอกจากนี้สาวโคโยตี้ยังถูกนำมาใช้กับการตลาด เช่น การโปรโมตสินค้า โดยเฉพาะสินค้าสำหรับผู้ชาย อาทิ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ บางงานที่มีสาวโคโยตี้เต้นประกอบการประชาสัมพันธ์ ถ้างานนั้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคก็จะมีการบันทึกการแสดงเพื่อออกจำหน่ายในรูปแบบวิดีโอซีดี การดึงดูดลูกค้าด้วยการเต้นโคโยตี้จึงไม่ใช่งานในสถานบันเทิงยามค่ำคืนเท่านั้นอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้การเต้นโคโยตี้จึงเป็นนโยบายส่งเสริมการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม อย่างไรก็ตาม กาลเทศะยังเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ควรนำการแสดงนี้ไปจัดผิดที่ผิดทาง เช่น ในโรงเรียนหรือวัดอย่างที่เคยเป็นกรณีโด่งดัง--กรณีเต้นโคโยตี้หน้างานศพ หรือกรณีที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชปรารภแสดงความห่วงใยถึงความไม่เหมาะสม อันเนื่องมาจากพระองค์ได้ทอดพระเนตรการเต้นโคโยตี้ในงานบุญบั้งไฟที่จังหวัดหนองคาย จนทำให้กระทรวงวัฒนธรรมต้องออกมาจัดวาระแก้ไขนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติ

อันที่จริงเรื่องแบบนี้ไม่ควรต้องร้อนไปถึงกระทรวงวัฒนธรรม เพียงแค่ใช้สามัญสำนึกรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรกระทำ เท่านี้ก็ไม่เป็นการแก้ปัญหาแบบวัวหายแล้วล้อมคอกอย่างเคยๆ

เปลือยนู้ด

Volume
Rewind ก.พ.แรก 50
เรื่อง นงนภัส

เปลือยนู้ด

กามารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ และต้องยอมรับว่าภาพนู้ด คือหนึ่งในกลไกการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ

เนื่องจากนู้ดคือภาพนิ่งที่มีภาษาภาพชัดเจนในเรื่องการเร้าอารมณ์ให้เกิดความกำหนัดและความต้องการทางเพศ ประเทศไทยเริ่มมีการถ่ายนู้ดครั้งแรกเมื่อปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2450) โดยช่างภาพนู้ดคนแรกๆ คือ เจอันโต นีโอ และโรเบิร์ต เลน งานในยุคแรกคือนู้ดในโปสการ์ด

คนไทยรุ่นแรกที่จับงานถ่ายภาพนู้ดเป็นนักเรียนนอกที่มีแนวคิดสมัยใหม่--หลวงวิลาสปริวัติ หรือครูเหลี่ยม ได้ออกหนังสือชื่อสำราญวิทยา พิมพ์ครั้งแรกเมื่อราว พ.ศ. 2450-2452 อีกทั้งครูเหลี่ยมยังเป็นนักเขียนอีโรติกในยุคแรกของไทย

หนังสือแนวอีโรติกที่เก่าแก่ที่สุดของไทยคือ พระตำรับโยนี ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2450 จำนวน 200 เล่ม ผลจากกระแสทุนนิยมตะวันตกทำให้ภาพนู้ดได้รับการตีพิมพ์มากขึ้นและมากขึ้น จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2500 กระแสนู้ดเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อสุราไทยยี่ห้อหนึ่ง ได้จัดพิมพ์ปฏิทินเพื่อแจกลูกค้า ผลคือปฏิทินแม่โขงฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง สร้างความฮือฮาให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เท่าที่ทราบมาปฏิทินแม่โขงได้ยุติบทบาทตัวเองลงเมื่อปี 2542 อันเนื่องมาจากพิษเศรษฐกิจ มิเช่นนั้นต้นปีที่ผ่านมาคงมีกระแสนู้ดแม่โขงให้ประชาชนตื่นเต้นไม่น้อย

กระนั้นภาพนู้ดก็ได้รับการยอมรับว่าแรงจริง กับการปรากฏตัวของนิตยสารหนุ่มสาวและนิตยสารแมน ในช่วงปี 2520-2530 นับว่าหนังสือสองเล่มนี้เป็นผู้นำกระแสนู้ดในช่วงนั้น อีกทั้งยังเป็นชนวนให้เกิดหนังสืออื่นตามมา ไม่ว่าจะเป็น นิตยสาร M, Formen, Penthouse หรือแม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์อื่นก็แฝง ‘นู้ด’ ไว้แทบทั้งสิ้น ทั้งรูปภาพแฟชั่น บทความ และเรื่องสั้น ฯลฯ

ตั้งแต่สื่อมวลชนนำเสนอเรื่องโป๊ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่อยมา บทบาทนี้ถูกวิจารณ์ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นไปในทางลบ อันเนื่องมาจากเรื่องทางเพศเป็นเรื่องต้องห้ามของสังคมไทย เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่กระนั้นแรงสนับสนุนจากสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ก็ยังคงมีผู้ซื้อ ซึ่งเป็นพลังเงียบคอยอุดหนุนผู้จัดทำด้วยดีตลอดมา แม้คนในสังคมจะยอมรับว่าไม่เหมาะสม แต่ปริมาณยอดขายนั้นเป็นตัวบอกว่ายังมีความต้องการอยู่มาก แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าปากไม่ตรงกับใจ หรือสังคมไทยเป็นพวกปากว่าตาขยิบ

การนำเสนอภาพนู้ดของสื่อมวลชนมักถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างสม่ำเสมอว่าเป็น ‘ศิลปะ’ หรือ ‘อนาจาร’ แม้บางสื่อจะเสนอนู้ดอย่างไม่โจ่งแจ้ง ปิดโน่นนิด เปิดนั่นหน่อย ไม่สามารถเห็นอวัยวะเซ็กซี่อย่างหน้าอก บั้นท้าย และโยนี ได้ทั้งหมด มีผลให้เปลี่ยนการเรียกจาก ‘ภาพนู้ด’ มาเป็น ‘ภาพเซ็กซี่’
ในเมื่อนู้ดคือภาพเปลือยกายล่อนจ้อน ดั้งนั้น เมื่อไม่เปลือยจนหมดเปลือก ก็ไม่ถือว่าเป็นนู้ด

ย้อนหลังไปเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว กระแสการต่อต้านภาพดาราถ่ายหวิวค่อนข้างรุนแรง บางรายถูกต้นสังกัดสั่งระงับงาน และห้ามออกสื่อต่างๆ เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน แต่เม็ดเงินจำนวนมากที่จ้างให้นางแบบเปลื้องผ้านั้นช่างล่อตาล่อใจ จึงทำให้ดารา-นางแบบหลายคน อาทิ อังคณา ทิมดี, โยโกะ ทาคาโน่, วีนัส มีวรรณ สุกัญญา มิเกล ฯลฯ ยกขบวนประชันโฉมความเซ็กซี่กันอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะเมื่อลูกเกด-เมทนี กิ่งโพยม และเฮเลน-ปทุมรัตน์ วรมาลี ออกมาถ่ายภาพเซ็กซี่ ก็ยิ่งทำให้กระแสเซ็กซี่บังเกิดขึ้นโดยชอบธรรมในหมู่ดารา-นางแบบในที่สุด

นอกจากนี้เพื่อลดกระแสการต่อต้านจากสังคม ผู้ผลิตภาพยังคิดค้นกระบวนการสร้างความยอมรับจากมวลชลต่างๆ นานา อาทิ จ้างผู้มีชื่อเสียงทางศิลปะมาจัดท่าทางการแสดงแบบ หรือสรรหาบุคคลมีชื่อเสียงมาเป็นแบบ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง อีกนัยหนึ่งก็คือการทำให้สังคมยอมรับเรื่องเพศมากขึ้น

ทั้งนี้ การเรียนรู้เรื่องเพศเป็นสิ่งจำเป็น การนำเสนอภาพนู้ดต่อสาธารณชนก็ควรเสนออย่างสมเหตุสมผล ถูกกาลเทศะ และไม่ควรละเลยแง่มุมความงามทางศิลปะ

มิเช่นนั้นภาพนู้ดที่เคยถือเป็นความงามทางศิลปะแขนงหนึ่ง จะถูกลดค่าเหลือเพียงผลผลิตความดิบเถื่อนเท่านั้นเอง

สาวเชียร์เบียร์

Volume magazine
Rewind October 02 2007
เรื่อง นงนภัส

สาวเชียร์เบียร์

พรายฟองเบียร์ที่ถูกรินจากมือคู่เรียวสวยของสาวเชียร์เบียร์หน้าหวาน--ภาพที่เห็นได้อย่างกลาดเกลื่อนตามร้านอาหาร ลานเบียร์ และคาเฟ่ในชั่วโมงนี้

หากจะกล่าวถึงที่มาของสาวเชียร์เบียร์ คงต้องจัดกลุ่มคนอาชีพนี้เป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมพริตตี้ (สาวเชียร์สินค้า) อุตสาหกรรมที่ใช้ความงามและเรือนร่างกระตุ้นยอดขายสินค้า ร่างกายสวยงามย่อมเป็นต้นทุนชั้นดีในการสร้างทรัพย์ อาชีพสาวพริตตี้ถือเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีของวัยรุ่นหญิงที่อยู่ในวัยเล่าเรียน

ทั้งนี้ รากเหง้าของอาชีพพริตตี้เกิดมาจากอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยสาวพริตตี้จะมีลักษณะการจ้างงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ การจ้างงานชั่วคราวในช่วงปิดภาคเรียน ประเภทที่ 2 คือ จ้างเป็นพนักงานประจำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว คนที่ทำงาน พริตตี้ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการจ้างงานชั่วคราว เพราะนอกจากได้สลับสับเปลี่ยนหน้าตาของ พริตตี้แล้ว ความสวยงามอ่อนวัยคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้จ้างต้องการลูกจ้างชั่วคราวประเภทนิสิตนักศึกษามากกว่าลูกจ้างประจำ

หน้าที่หลักของสาวพริตตี้คือ ให้คำแนะนำสินค้า หรือพูดง่ายๆ ว่าเชียร์ให้ลูกค้าซื้อสินค้า เพราะการขายไม่ได้หมายถึงค่าคอมมิชชั่นที่สาวพริตตี้ควรจะได้ลดลง

อย่างไรก็ตาม อาชีพพริตตี้ไม่ได้มีดีแค่เพียงความสวยเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีความอดทนเป็นเลิศ ห้ามโกรธ ห้ามฉุนเฉียว และบึ้งตึงใส่ลูกค้า หากลูกค้าคนใดไม่สุภาพกับตนต้องหาวิธีแก้หรือวิธีเลี่ยงที่สงบและสุภาพที่สุด อีกทั้งยังต้องดูแลร่างกาย ห้ามอ้วน ห้ามมีสภาพร่างกายร่วงโรย สุขภาพทรุดโทรมเป็นพริตตี้ไม่ได้เป็นอันขาด

นี่แหละหนาความยากลำบากของอาชีพที่ขายเรือนร่าง (ผ่านทางสายตา)

สำหรับสาวเชียร์เบียร์--อาชีพที่สะท้อนให้เห็ถึงนโครงสร้างของสังคมแบบจำลอง ซึ่งกำลังอธิบายระบบความคิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การต่อรองเชิงอำนาจระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ด้วยการที่ผู้หญิงต้องใช้เรือนร่างของตัวเองเพื่อสร้างความต้องการเสพเบียร์ (สินค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชาย) ซึ่งทำให้ผู้ชายดูมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน

เพราะกว่าสาวเจ้าจะเชียร์เบียร์ได้แต่ละขวดต้องใช้ทั้งความงามของหน้าตา จริตมารยา รอยยิ้มหวาน และคำพูดจาไพเราะเสนาะหู บอกได้เลยว่าอาชีพนี้เหนื่อยแสนเหนื่อย ที่สำคัญที่สุดสาวเชียร์เบียร์ไม่ได้มีรายได้งามเหมือนพริตตี้ขายรถยนต์ ที่จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเยอะๆ ให้หายเหนื่อย

ปัจจุบันสาวเชียร์เบียร์ร้อยละ 70 เป็นแรงงานหญิง--นิสิตนักศึกษาที่หารายได้พิเศษด้วยรูปแบบอาชีพสาวเชียร์เบียร์ บริษัทที่รับพนักงานเชียร์เบียร์จะคัดเลือกผู้หญิงผิวพรรณสวย หน้าตาและรูปร่างดี (ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าสาวเชียร์คนนั้นขายอยู่ที่ใด หากขายอยู่ในร้านอาหารเกรดเอย่อมต้องสวยมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าเป็นร้านอาหารทั่วไปคุณสมบัติหลักคือขอให้รูปร่างดีไว้ก่อน) เพราะว่าต้องใส่ยูนิฟอร์มสั้นรัดรูป สวมรองเท้าส้นสูง ยืน เดินและเชียร์ให้ลูกค้าซื้อเบียร์ทั้งคืน

แน่นอนว่าสำหรับผู้ที่เริ่มอาชีพสาวเชียร์เบียร์ ก่อนการปฏิบัติงานจะมีการอบรมการเอาใจลูกค้า โดยเน้นวิธีและหนทางที่จะทำให้ลูกค้าซื้อเบียร์ การตั้งเป้ายอดขายทำให้พวกเธอทราบถึงจำนวนยอดเบียร์ที่ขาย หากขายได้ตามยอด สาวเชียร์เบียร์จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม ซึ่งยากมากที่พวกเธอจะได้ค่าคอมมิชชั่นนั้น เพราะความต้องการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาของลูกค้ามีอย่างหลากหลาย

ดังนั้น อัตราค่าจ้างของพวกเธอจึงได้รับเป็นรายวัน สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ตกอยู่ที่วันละ 150 บาท และผู้มีประสบการณ์ตกอยู่ที่วันละ 200-250 บาท โดยเริ่มงานเวลา 18.00-24.00 น. แต่สามารถกลับบ้านได้เมื่อเวลา 01.00 น. เพราะสาวเชียร์เบียร์จำต้องอยู่ช่วยเก็บร้าน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเธอ

นอกจากนี้พวกเธอยังมีโอกาสเสี่ยงมากที่จะถูกคุกคามทางเพศ (เพราะด้วยหน้าที่ของเธอนั้นเปรียบเสมือนวัตถุทางเพศอยู่แล้ว) เชื่อไหมว่าแค่พวกเธอบางคนเสียงห้วนและลูกค้านำไปฟ้องกับนายจ้าง อาจเป็นเหตุให้ค่าจ้างในวันนั้นถูกหัก ในกรณีที่บริการลูกค้าไม่สุภาพ ดังนั้น ฉันในฐานะคนนอกอาชีพบอกได้เลยว่าสาวเชียร์เบียร์คืออาชีพที่ขาดอำนาจการต่อรอง และเท่าที่ทราบยังไม่มีกฎหมายออกมาคุ้มครองพวกเธออย่างจริงจัง

ถ้าคุณแวะไปรับประทานที่ร้านอาหารแล้วได้ยินเสียงว่า "พี่คะดื่มเบียร์ไหมคะ" หรือว่า "พี่คะเบียร์ตัวนี้รสชาติดีนะคะ" ขอให้คุณตอบเธออย่างสุภาพเถอะค่ะ แม้ว่าคุณไม่ได้กระหายเบียร์ก็ตาม

เพราะพวกเธอทำงานแลกเงินด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ เปื้อนรอยยิ้มหวานๆ และหยาดเหงื่อชุ่มตัว

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Life after life



เพราะว่ายังรู้ว่าความยากลำบากที่สุดของการมีชีวิตอยู่คือ การรู้จักคุณค่าในตัวเอง มันถึงมีวันใหม่เริ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า

“เมื่อวานผมรับประทานข้าวและกินยาครบมื้อตามที่หมอบอก แล้วยังปลูกต้นไม้ด้วยหนึ่งต้น” เขาพูดแล้วอมยิ้ม แม้นัยน์ตายังดูลอยๆ

ผู้ชายในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตา ท่าทางดูยิ้มแย้ม เป็นมิตรกับคนทั่วไป ทว่าเมื่ออยู่ใกล้ชิดเด็กชายอายุ 14 ปี เขากลับดูอบอุ่นใจดีเป็นมิตรขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ ลองปลูกต้นไม้เพิ่มอีกต้นสิ ปลูกเผื่อหมอด้วย” เขาตอบกลับไปว่าอย่างนั้น

“ครับ อาหมอ” เด็กชายรับคำพร้อมแววตาสุกใสเปล่งประกาย ขอบปากเหยียดมุมกระดกขึ้นเล็กน้อย ทำทีท่าว่ากำลังยิ้มนิดๆ

1.
แต่ไหนแต่ไรมา เขารู้สึกว่าการทำหน้าที่หมอผู้บำบัดจิตใจคนให้ผ่องแผ้ว ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของเขาแล้ว หากเสมือนชีวิตจิตใจ เขาเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว วันหนึ่ง...เขาหดหู่เสียใจให้กำลังใจใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง วันนั้นเขาจะทำอย่างไรกับชีวิต จะร้องไห้ จะเงียบงัน หรือหัวเราะให้กับชีวิต เขาพยายามนึกถึงห้วงเวลาที่เสมือนว่าตนเองเดินอยู่ท่ามกลางละอองอากาศขาวขุ่นดั่งปุยเมฆที่นวลฟูจับตัวเป็นหมอกหนา แต่ข้างหน้ากลับไม่มีอะไรให้มองเห็นมากไปกว่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าไม่มีใครที่เขาจะให้คุณค่ากับคนคนนั้นได้คอยอยู่ ในทางกลับกันถ้าเขาไม่มีใครเลยสักคนที่จะมอบรอยยิ้มอันแสดงถึงคุณค่าเล็กๆ ที่เขามีอยู่พอให้ใจได้ฉ่ำชื้น

เขาคิดอยู่ชั่วครู่

2.
“พี่เปิดซิงเกิลใหม่ของ “Flo Rida” ให้หน่อย มิกซ์จ๊าบๆ นะเพ่ แตร๊งค์ๆๆ” เขาใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้จ่อที่ริมหน้าผากคล้ายกระทำวันทยาหัตถ์แทนการขอบคุณอีกรอบแล้วเดินหันหลังจากไป

ในยามค่ำคืน ผับเธคที่เปิดเพลงเสียงดังอึกทึก แสงสีและไฟสลัวๆ ที่ฉาบเคลือบทั้งเวลาและสถานที่ไว้ให้ดูเหมือนเป็นยี่ห้อของมัน ผู้คนแต่งสวยแต่งหล่ออวดโฉมเฉลา แน่นอนว่าพวกเขาตั้งใจแต่งมาเพื่อให้คนอื่นดูชม หรือไม่ก็เพื่อเคารพและให้เกียรติกับเวลาและสถานที่ เวลาแบบนี้แต่งตัวมอซอมาก็ได้ มันก็ไม่ได้ผิดกฎ กฎที่แท้จริงอาจมีอยู่แค่ว่า มาพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วมีเงินจ่ายเท่านั้น หากแต่ถ้าอยากแต่งชุดอยู่บ้านมาผับบาร์ซึ่งมีคนมารวมกันเพื่อฉลอง สังสรรค์ ทำความรู้จักก็อาจจะดูเหมือนเขาน่าจะอยู่บ้านรู้จักกับตัวเองมากกว่าที่จะมาในสถานที่แบบนี้

“มาร์การิต้า 1 โซดาเพิ่มอีก 2 โต๊ะ 4” ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ ซึ่งดูก็รู้ว่าคือบริกร กำลังพูดกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่หน้าบาร์ด้วยเสียงก้องแต่เรียบรื่นคล้ายว่าไม่มีเจตนาหรือจุดประสงค์ที่จะหมายความอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น ในตอนแรกที่เขาทำงานที่นี่ เขาไม่เคยชอบมันเลย แม้จะเป็นงานที่เขาท่องไว้ในใจเสมอว่าคือ การให้ความสุขแก่ผู้อื่น ยิ่งพยายามก็เหมือนยิ่งฝืน เพราะเมื่อต้องรองรับคำสั่งของผู้คนทุกอย่างที่มากกว่าออร์เดอร์อาหารและเครื่องดื่ม แม้ว่าเขาจะตอบคำถามการสมัครงานเข้ามาว่า เขามาทำงานที่นี่เพราะรักงานบริการ นั่นก็หมายถึงการทำให้คนอื่นมีความสุข เขาก็ยังรู้สึกว่า งานหน้าบาร์ที่คอยเตรียมเครื่องดื่มให้ผู้อื่นกลับดูมีความสุขมากกว่า

3.
“กินข้าวหน่อยสิลูก อย่ามัวกินแต่ขนม แม่ต้องทำงานนะ หนูโตแล้วนะ กินข้าวอีกหน่อย ดูสิ คิตตี้ดูเหี๊ยว...เหี่ยว”

“คร้า...ถ้าหนุกินแล้วคิตตี้โตขึ้น หนู๊จะได้คิตตี้ใหม่อีกตัวใช่ไหมค้า” สาวน้อยพูดกับมารดาเสียงอ่อนเสียงหวาน

“แม่บอกไม่ได้จ่ะ เพราะแม่ยังไม่คิดว่าคิตตี้จะโตขึ้น ถ้าหนูกินข้าวทีละคำสองคำแบบนี้”

“อ่า...แม่อ่ะ” เด็กหญิงคนเดิมบ่นอุบอิบพลันยืดตัวแมวคิตตี้บนเสื้อยืดให้ขยายใหญ่ขึ้น ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างกาย รอบตัวเธอมีแต่กองเอกสารหนาตึกที่นำกลับมาจากที่ทำงานมาตรวจแก้ไขในวันหยุดพักผ่อน...ชำเลืองมองแล้วได้แต่อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางมองค้อนสาวน้อยสุดที่รักนิดๆ

4.
บรรยากาศในโรงพยาบาลวันนี้อึมครึมเนื่องจากฟ้าฝนเบื้องบนเหมือนจ้องจะตกห่าใหญ่แต่หัววัน ผู้คนต่างรีบร้อนเข้ามาในโรงพยาบาล บ้างหนีฝน บ้างก็อยากได้คิวตรวจรักษาที่รวดเร็วขึ้น เขาเดินตรงจากด้านหน้าโรงพยาบาลมายังโต๊ะคิวรอตรวจอาการ แล้วจึงเข้าไปที่ห้องตรวจไข้อย่างรีบร้อน เพราะอยากตรวจประวัติคนไข้ที่เขานัดพบในวันนี้ก่อนการตรวจรักษาจริง ที่หน้าห้องของเขามีพยาบาลร่างบางยิ้มรับอรุณและกล่าวสวัสดีทักทายด้วยสีหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มทำงานจริงๆ เขาเอะใจเล็กน้อยที่เมื่อเปิดประตูห้องบานเดิมในวันนี้ เด็กชายคนเดิมผู้ซึ่งไม่มีคิวตรวจ มานั่งรอเขาอยู่ในห้องอยู่แล้ว

“อ้าว...ทำไมมาทำงานก่อนหน้าหมออีกเนี่ย” จริงๆ แล้วเขาตั้งใจแซวเด็กชายเล่น แต่แล้วก็สังเกตเห็นใบหน้าของเด็กชายที่เอี้ยวตัวกลับมามอง เขาตาบวมนิดหน่อยเหมือนผ่านการร้องไห้มาแล้วชั่วครู่

“หมอครับ ผมปลูกต้นไม้ให้หมอแล้วนะครับ” เด็กชายพูดแล้วเงียบไปอีกครู่

“สุนัขที่บ้านของผม ผมสนิทกับมันมาก มันตายแล้วครับหมอ ผมจะไม่มีวันได้เจอมันอีก ผมร้องไห้เพราะเสียใจมากจริงๆ แต่ผมก็ดีใจเหมือนกันครับ ที่มันตายอย่างสงบ...ตัวมันยังอุ่นอยู่เลยตอนที่ผมเดินออกจากบ้าน ข้ามถนนมาหาหมอ”


วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Celebrities Buzz


ถ้าให้นึกถึงค็อกเทลแก้วโปรดที่ฝังใจหนุ่มสาวทั่วโลกแล้วละก็ สำหรับคุณสุภาพบุรุษ คงไม่มีค็อกเทลแก้วไหนจะไฮเอนด์ไปกว่าการได้นั่งละเลียด “Vodka Martini” ตามแบบฉบับสายลับอังกฤษ 007 ของเอียน เฟลมมิ่ง ขณะที่สาวเก๋ทั้งหลายคงไม่มีใครไม่โหวตให้ “Cosmopolitan” เครื่องดื่มคู่กายของแครี่ แบรดชอว์ ที่สวมบทบาทโดยซาร่าห์ เจสซิก้า ปาร์กเกอร์ จากซีรีส์ดังอย่าง Sex and the City

Dry Martini

“เขย่าห้ามคน” คือสูตรว็อดก้ามาร์ตินี่ที่สายลับเจมส์ บอนด์ดื่มทุกภาค นอกจากนี้เขาเพิ่มรายละเอียดของมาร์ตินี่แก้วนี้ขณะอยู่ระหว่างวงพนันสุดหรูในภาค Casino Royale (นำแสดงโดยแดเนียล เคร็ก) ว่า “ใส่กอร์ดอน (จิน ของประเทศอังกฤษ) 3 ส่วน ว็อดก้า 1 ส่วน (ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นยี่ห้อ Smirnoff) และ Kina Lillet (ไม่ใช่เวอร์มุธอย่างเคยๆ) เชกกับน้ำแข็ง แล้วใส่เปลือกเลมอนฝานด้านบน”

ส่วนผสม

ว็อดก้าแช่เย็น 60 มิลลิลิตร
เวอร์มุธ 2 หยด

วิธีทำ

01 นำส่วนผสมทั้งหมดมาคนในน้ำแข็ง 10 ครั้ง
02 รินเฉพาะน้ำลงในแก้วมาร์ตินี่แช่เย็น
03 ตกแต่งด้วยเปลือกส้มหรือมะกอก



Cosmopolitan

นี่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวนิวยอร์กเกอร์ในทศวรรษ 90 ซึ่งได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ จากสาวๆ ในซีรี่ส์ยอดฮิต ผู้มีภาพลักษณ์ เก๋ ฉลาด สวยซ่อนเปรี้ยว อย่างกลุ่มแก๊งเพื่อนสาวของแครี่ แบรดชอว์ ที่มักจะออเดอร์แก้วนี้บ่อยครั้งยามตั้งวง (อาหาร-ดื่ม-สนทนา...ทุกยามที่ได้อยู่ครบวง) ล่าสุด การเอ่ยชื่อค็อกเทลแก้วนี้ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ Sex and the city ปี 2008 มิแรนด้าตั้งคำถามว่า “ทำไมพวกพวกเราถึงเลิกดื่มคอสโมโพลิแทน” แครี่สวนตอบทันควันว่า “ก็เพราะคนอื่นๆ ดื่มไงจ๊ะ” อ่ะ! ต้องยอมให้เทรนด์เซ็ตเตอร์ตัวแม่เขาล่ะ

ส่วนผสม

ว็อดก้ามะนาว 30 มิลลิลิตร
น้ำมะนาวสด 7.5 มิลลิลิตร
ทริปเปิล เซ็ก 22 มิลลิลิตร
น้ำเครนเบอรี่ 30 มิลลิลิตร


Classic Mojito

จัดเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของเจมส์ บอนด์ ในตอน Die Another Day (บอนด์ในภาคนี้นำแสดงโดยเพียซ บอสแนน) ยามอยู่ริมทะเลในคิวบา ตามที่มาที่ไปและรกรากของเครื่องดื่มแก้วนี้ที่มาจากประเทศคิวบา ดินแดนที่ผลิตซิการ์กันเป็นที่เอิกเกริก แถมผู้คนดื่มยังนิยมดื่มรัมเป็นว่าเล่น ว่ากันว่า โมฮีโต้เข้ากันได้ดีกับชายทะเล ฤดูร้อน และเมืองร้อนเป็นที่สุด เนื่องจากความหวานของน้ำตาลทรายผสานความเปรี้ยวของผลไม้ Citrus อย่างมะนาว ผนึกกับกลิ่นของใบมินต์สดๆ นั้นชื่นใจดีแท้

ส่วนผสม
ฮาวาน่า โกล์ด รัม 45 มิลลิลิตร
น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนชา
มะนาวสด 12 ชิ้นเล็ก
ใบสะระแหน่ 8 ใบ

วิธีทำ
01 บดส่วนผสมต่างๆ
02 เติมเหล้ารัมลงไป
03 รินโซดาเพิ่มด้านบน
04 เติมน้ำแข็งบดลงไป คน 10 ครั้ง
05 ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ เสิร์ฟในแก้วไฮน์บอล

Part III

Famous Caviar Restaurant, Please!

01.Caviar Russe (538 Madison Avenue, ใกล้กับ 55th Street, New York)ร้านหรูที่มีคาเวียร์ให้เลือกรับประทานเยอะที่สุดแล้วในนิวยอร์ก “Caviar Russe” ตั้งอยู่ใกล้ๆ ถนนสายธุรกิจ ร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านผู้คนพลุกพล่าน บรรยากาศภายในร้านตบแต่งแบบรอยัล รัสเซียน บริเวณด้านหน้ามีบาร์คาเวียร์เล็กๆ กับวอดก้าขวดหรูระยับวางเรียงรายเป็นแถวยาว ผู้จัดการยังเป็นคนเดิม Scott Skey ถ้าไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับคาเวียร์ก็ถามเขาได้เลย คำอธิบายฟังง่ายๆ มีให้ลูกค้าทุกคน ส่วนของดีของเด็ดที่ต้องลองมี “พาร์ม สเต๊กทาร์ทาร์กับคาเวียร์” และ “โกลเด้น ออสตร้า” คาเวียร์รสนุ่ม สดชื่นและไม่เค็มมาก ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะขนาดบรรณาธิการนิตยสาร Gourmet อย่าง Ruth Reichel ยังชมเปาะ


02.Petrossian Caviar Restaurant (321 North Robertson Boulevard, north of Beverly Boulevard, Los Angeles) เหมาะสำหรับคาเวียริต้าตัวจริง ฟู้ดดี้แอลเอบอกเป็นเสียงเดียวว่าอร่อยด้วยและเดิ้นด้วย แหม...ก็แค่การตกแต่งร้านแบบ Cozy (บ้านสวยใสสีอ่อนๆ แบบบ้านชานเมืองของชาวอังกฤษ) ชวนผ่อนคลายก็กินขาด แต่ละเมนูก็ราคาไม่แพงมาก คนไม่รวยมากก็พอกินได้ คาเวียร์พร้อมกับไข่ปลาอร่อยๆ ชนิดอื่น หรือจะเป็นฟัวกราส์กินกับโทตส์หรือขนมปัง แค่เมนูละ 19 ดอลลาร์ แล้วอย่าพลาดช็อกโกแลตใส่วอดก้า (เมนูนี้เรียกว่า “Caviar Pearls”) เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้


03.Maison du Caviar (21, Rue Quentin-Bauchart, Paris) เบลูก้าและเซโวรกร้าของที่นี่ไม่มีคำว่า “ผิดหวัง” เพราะนอกจากจะเปิดร้านอาหารแล้วยังมีบริษัทจัดจำหน่ายคาเวียร์ชื่อ “Caviar Volga” เป็นของตัวเอง ส่วนเมนูอื่นๆ เช่น สโม้กแซมอน และแครป รอยัล สลัด ก็เป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน อาหารส่วนมากเป็นของดีตำรับดั้งเดิม นำเสนออาหารจานปลาและอาหารรัสเซียนสไตล์เป็นหลัก ร้านนี้จึงเหมาะกับลูกค้าระดับผู้บริหารหรูเลิศ ป้องปากบอกว่า เฟิร์สต์คลาสกว่าเฟิร์สต์คลาส สำหรับผู้ที่ต้องการลองแวะไปชิม เตรียมบัตรเครดิตแพตตินั่มไว้ให้ดี บัตรของคุณอาจฉีกได้ถ้ามาร้านนี้

Part II

Did you khow?
01. International Caviar :
ในต่างประเทศ (นอกเหนือจากประเทศอิหร่านและประเทศรัสเซีย) อนุโลมให้เรียกไข่ปลาสายพันธุ์อื่น นอกเหนือจากปลาสเตอร์เจี้ยนว่า “คาเวียร์”

ในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส “ไข่ปลาแซมอน” “ไข่ปลาเทราต์” “ไข่ปู” “ไข่กุ้งล็อบสเตอร์” “ไข่ลัมป์ฟิช” และ “ไข่ไวต์ฟิช” ก็คือคาเวียร์

“Red Caviar” ที่นิยมในตลาดสหรัฐอเมริกา มาจาก “Chum Salmon” และ “Coho Salmon” ในอลาสก้าและประเทศแคนาดา ที่นั่นถือเป็นแหล่งผลิตเรด คาเวียร์ ที่ดีที่สุด

ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอุรุกวัยผลิตคาเวียร์ได้จากปลาสเตอร์เจี้ยนสายพันธุ์ “Baerii” ซึ่งแม้จะมาจากสายพันธุ์เดียวกันแต่ก็แตกต่าง คาเวียร์จากฝรั่งเศสค่อนข้างนุ่ม เม็ดสีดำ กลิ่นเค็มเกลือนำโด่ง มีรสหวานปะแล่มซ่อนอยู่น้อยๆ ส่วนคาเวียร์อุรุกวัย เม็ดจะเล็กกว่า เนื้อเหนียวนิดหน่อย รสเค็มมาก และมีกลิ่นซับซ้อนยากจะอธิบาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ในประเทศจีน, ก็มีคาเวียร์ชั้นเลิศภายใต้การผลิตของบริษัทอเมริกันชื่อ “California Sunshine Fine Food” อยู่เช่นกัน

02.The Highest Price!
“Almas” คือคาเวียร์ที่หายากที่สุดและแพงที่สุดในโลก (กิโลกรัมละ 11,000 ดอลลาร์) ผลิตจากสเตอร์เจี้ยนเผือกในทะเลสาบแคสเปี้ยนเพียงปีละ 3-5 กิโลกรัม สีคาเวียร์จึงเป็นสีขาวทองสะท้อนแสง ว่ากันว่า ผู้ที่จับปลาชนิดนี้ได้ โชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก

03.Packaging : คาเวียร์เกรดดีจากรัสเซียจะติดฉลากด้วยคำว่า “malossol” มีความหมายว่า “เค็มอ่อนๆ” ซึ่งก็คือวิธีเก็บคาเวียร์ไว้ด้วยการใช้เกลือจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามธรรมชาติ คาเวียร์เป็นอาหารที่เสียได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องแช่เย็นไว้เสมอ ส่วนถ้าหน้ากระป๋องมีคำว่า “Pasteurized Caviar” คือไข่ที่ผ่านการปรุงแล้วเพื่อการเก็บรักษาให้ยาวนาน โดยไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็นก่อนเปิดกระป๋อง

04. Benefit : คาเวียร์ 1 ช้อน บรรจุวิตามินบี 12 ที่ร่างกายต้องการภายใน 1 วัน แม้ว่า “คาเวียร์” จัดเป็นอาหารที่มีแคเลสเตอรอลและเกลือสูง การเสิร์ฟคาเวียร์ในขณะที่เย็นมากจะช่วยให้รสคาเวียร์อ่อนลง เป็นธรรมชาติเหมือนเพิ่งมาจากท้องทะเล

Common, Caviar Craving! Part 1(From food of life Vol.14 Star&Celebrities)


หากเปรียบโต๊ะอาหารประหนึ่งโลกเซลลูลอยด์แล้ว “คาเวียร์” ก็คงไม่ต่างอะไรกับดาวดวงเด่นที่ประดับอยู่บนโลกแห่งแสงสี ประดุจอัญมณีสีดำที่ควรค่าแก่การเป็นเพชรบนยอดมงกุฏ ค่าที่เป็นเมนูล้ำค่า ประหนึ่งสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งหรูหรา ผสานกับการตกแต่งที่งดงามอมตะ บ่งบอกถึงรสนิยมอันแสนพิลาสพิไลและหรูระยับ

หากจะถามว่าเพราะเหตุใดคาเวียร์จึงเป็นอาหารเลิศหรู? ทั้งหมดนั้นคงต้องยกคุณงามความดีให้กับชาวรัสเซีย ผู้สรรค์สร้างให้คาเวียร์เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและร่ำรวย นาทีนี้ขอให้ลืมความเป็นคอมมิวนิสต์-สงครามเย็น-ภาพลักษณ์ความยากจนทั้งหลายทั้งปวงของชาตินี้ (ที่เคยมี) เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ราชวงศ์รัสเซียได้รับการยกย่องว่าเป็นราชสำนักที่ร่ำรวยหรูหราไม่แพ้ชาติใดในโลก “คาเวียร์” จึงถือเป็นอาหารที่ถูกเสิร์ฟบ่อยครั้งยามมีการเลี้ยงอาหารสุดสัปดาห์ งานแต่งงาน และงานเทศกาลอื่นๆ

ตามธรรมเนียมการเสิร์ฟคาร์เวียแบบเก่าก่อน มักเสิร์ฟคาเวียร์มาในสแตนด์น้ำแข็ง รับประทานด้วยช้อนมุก (Mother-of–Pearl Spoons) ดื่มกินพร้อมกับวอดก้าเย็นเชี้ยบ หากอยากเห็นภาพวิธีการรับประทานให้ย้อนกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง “The Curious Case of Benjamin Button” ที่ดัดแปลงจากนิยายของเอฟ สก๊อต ฟิทซ์เจอราลด์ ฉากที่ Abbott ชู้รักของ Button กำลังปันคาเวียร์และวอดก้า ภายในบรรยากาศเงียบๆ ในร้านอาหารยามค่ำคืนขณะที่เรือเดินสมุทรกำลังแล่นอยู่ในอาณาเขตรัสเซีย ฉะนั้น จึงมีคำกล่าวว่า ตามปกติพ่อครัวชื่อดังปรุงอาหารย่อมช่วยเพิ่มมูลค่าอาหารเป็นเท่าตัว เว้นแต่คาเวียร์ที่ยิ่งปรุงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คาเวียร์ด้อยค่า เนื่องเพราะคาเวียร์จะมีค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นคาเวียร์ล้วนๆ เท่านั้น

Where is caviar from?
ตามปกติแล้ว เจ้าไข่ปลาที่เรียกว่า “คาเวียร์” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำนั้นจะต้องเป็นไข่ปลาสเตอร์เจียน (ยกเว้นบางประเทศ) จากข้อมูลที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ ทั่วโลกมีปลาสเตอร์เจียนอยู่ 25 สายพันธุ์ ในจำนวน 25 สายพันธุ์ มีอยู่ 5 สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแคสเปี้ยน (ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในทวีปเอเชีย อาณาเขตครอบคลุมรัสเซีย อิหร่าน และเตอกิสสถาน) แล้วในจำนวน 5 สายพันธุ์นี้ มีเพียง 3 สายพันธุ์เท่านั้นที่สามารถผลิตคาเวียร์ได้ นั่นก็คือ สายพันธุ์ “Beluga” สายพันธุ์ “Osetra” และสายพันธุ์ “Sevruga”

01. Beluga จัดได้ว่าเป็นคาร์เวียร์ที่ดีที่สุดและมีราคาแพงที่สุด คาเวียร์ชนิดนี้ผลิตจากปลาสเตอร์เจี้ยนขนาดใหญ่ที่สุด (ราว 6 เมตร) หนักราว 600 กิโลกรัม มีน้ำหนักไข่ 15-18 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว เบลูก้าตัวเมียไม่สามารถผลิตไข่ได้ก่อนอายุ 17 ปี (นี่เองทำให้มีราคาแพงหูฉี่) ส่วนมากอาศัยในทะเลสาปแคสเปี้ยน พบบ่อยในบริเวณพรหมแดนระหว่างอิหร่านและรัสเซีย บางครั้งหาได้ในทะเลดำและทะเลอะเดรียติก เพราะฉะนั้น เบลูก้าคาเวียร์ของแท้ส่วนมากจึงมาจาก 2 แหล่งนี้ จะพบเพียงแค่ประปรายในละแวกประเทศใกล้เคียง

หากให้พิจารณาหาความต่างของเบลูก้า คาเวียร์ประเภทนี้แยกได้ง่ายกว่าอันอื่นๆ พินิจพิเคราะห์ดูก็จะเห็นลักษณะของไข่ที่ใหญ่เท่าเมล็ดถั่ว (pea size) สีเทาค่อนไปทางสีเงินจางๆ หรือบางครั้งก็ดำสนิท รสชาตินั้นต้องขบเบาๆ กลั้วด้วยวอดก้า รสดรายของว็อดก้าจะสามารถดึงรสครีมมี่และรสเค็มจากเกลืออ่อนๆ ออกมา เมื่อกัดไข่แต่ละหน่วยจะพบความมัน-ไม่มีกลิ่นโคลนดินหลังเทสต์ เนื้อแน่น ผนึกกับความสดกรอบและกลิ่นสดชื่นพิเศษของท้องทะเลหอมฟุ้งในปาก การรับประทานเบลูก้าอย่างถูกวิธีควรรับประทานด้วยช้อนมุก ช้อนกระดูกสัตว์ ช้อนกระเบื้อง ช้อนที่ทำมาจากเครื่องเคลือบ หรือช้อนที่ไม่ได้ทำจากวัสดุเมธาลิก ในเมืองไทย เบลูก้าจะเสิร์ฟเฉพาะในร้านอาหารโก้หรู หรือสั่งพิเศษเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ราคาขายในท้องตลาดอยู่ที่ 7,000-10,000++ ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ลองนึกดูเล่นๆ ก็จะรู้...ว่าต้องเป็นใครถึงจะรับประทานได้!!!

02. Osetra หรือ “Osetra Caviar” นอกจากนี้ยังสามารถเรียกได้อีกหลายชื่อ อาทิ Asetra, Oscetra, Ossetra และ Ossetrova ตามแต่ใจสะดวก ว่ากันว่าไข่ปลาชนิดนี้ผลิตจากปลาสเตอร์เจี้ยนสายพันธุ์ใกล้กันกับเบลูก้า ขนาดจะย่อมลงมา อาศัยอยู่ในน้ำลึก กินสาหร่ายและพืชในน้ำเป็นอาหาร ลำตัวยาวประมาณ 2 เมตร น้ำหนักสูงสุด 200 กิโลกรัม ถือว่ามีชื่อเสียงมากถ้าผลิตในบริเวณทะเลสาบแคสเปี้ยน (เหมือนกับสายพันธุ์เบลูก้า แต่ราคาถูกกว่า) แม้ว่าปลาชนิดนี้จะตัวเล็กกว่าเบลูก้า แต่ค่าเฉลี่ยอายุของสัตว์ชนิดนี้อายุยืนถึง 50-80 ปี โตเต็มที่เมื่ออายุ 12-15 ปี วางไข่เฉพาะเขตอบอุ่นเท่านั้น เอาเป็นว่าด้วยวงจรชีวิตของมัน ทำให้ค่าราคาของคาเวียร์ยังคงราคาแพง (แต่ก็ยังถูกกว่าเบลูก้าเกือบครึ่ง)

คำถามต่อมา...แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นออสตร้า คาเวียร์ ให้สังเกตลักษณะหลักๆ ได้ง่ายๆ ก็คือ ไข่ปลาจะมีขนาดกลาง เนื้อสัมผัสค่อนข้างแข็ง รสจัดกว่าเบลูก้า นอกเหนือจากนั้น ความพิเศษของคาเวียร์ชนิดนี้ก็คือ มีหลายสี อาทิ สีเทา สีดำเทา สีน้ำตาลเทา สีน้ำตาลเข้ม สีเทาอมทอง สีทองอำพัน ทั้งยังมีหลายรสชาติตามแต่สิ่งที่เจ้าปลารับประทานเข้าไป โดยราคาขายในเมืองไทยประมาณ 125,000 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนของดีของแพงชนิดที่ต้องท่องเอาไว้เผื่อมีคนสั่งให้กินก็คือ “Iranian Caviar” อ่านว่า อิ-ราน-เนี่ยน-คา-เวีย มันก็คือคาเวียร์จากประเทศอิหร่าน--นั่เนอง

03. Sevruga โดดเด่นที่รสแน่นข้น ไข่ใบเล็กๆ รสมันและเค็มจางๆ กลิ่นทะเลและสาหร่ายหอมระรื่น เคี้ยวแล้วจะเหนียวกว่าเบลูก้า (แต่ขอบอกว่าราคาถูกกว่าถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์) คาเวียร์ชนิดนี้มาจากปลาสเตอร์เจี้ยนขนาดเล็กที่สุด ยาวประมาณ 1.5 เมตร หนักเพียง 25 กิโลกรัม ทั้งยังมีจำนวนมากกว่าปลาสเตอร์เจี้ยน 2 พันธุ์แรก ข้อดีของปลาชนิดนี้คือผลิตไข่ได้รวดเร็ว แล้วยังผลิตได้อีกหลายครั้งหลายครา เซฟรุก้าเพศเมียเติบโตเต็มที่ได้รวดเร็วกว่าสเตอร์เจี้ยนพันธุ์อื่น (เรียกว่าปลาแก่แดดได้ไหม) สามารถผลิตไข่ได้เมื่ออายุเพียง 7-8 ปี

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ผลิตไข่ได้ดีที่สุดก็เมื่ออายุประมาณ 18-22 ปี ไข่จะมีน้ำหนัก 10-12 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ครั้นเมื่อชาวประมงจับเซฟรุก้าตัวเมียที่กำลังท้องได้ พวกเขาก็จะผ่าท้อง ชำแหละเอาไข่ออกมา ไข่เม็ดเล็กๆ ยุบยับถูกห่อหุ้มด้วยพังผืด ต้องใช้วิธีขยำให้ไข่หลุดออกมา จากนั้นนำไปคลุกเคล้ากับเกลือให้สะอาดจนขึ้นเงา แล้วบรรจุไว้ในกล่องดีบุก แช่เย็นเพื่อรักษาความสด

นอกจากนั้น เมื่อเชฟรุก้าสุกจัด ไข่จะมีความอ่อนนุ่ม แตกง่าย ไข่ส่วนมากที่อยู่ในพังผืดมักสุกไม่เท่ากัน หลังชำแหละ ไข่ที่แตกแล้วจึงนำมาอัดไว้ในกระป๋องให้แน่น รู้จักกันในชื่อ “Pressed Caviar” รสสัมผัสจะหนืดหยุ่นๆ บางคนเท่านั้นที่จะชอบมัน ส่วนไข่เซฟรุก้าที่หายากและแพงมากคือ เซฟรุก้าสีทอง ลักษณะไข่จะใบเล็กๆ ธรรมเนียมแต่โบราณ เซฟรุก้าชนิดนี้นิยมเสิร์ฟให้กับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย กษัตริย์อิหร่าน และจักรพรรดิ์แห่งออสเตรียน
ส่วนผู้บริโภคอย่างเราๆ หากสังเกตเซฟรุก้าตามท้องตลาด เลือกมองหาง่ายๆ ส่วนมากไข่จะเป็นสีเทาเขียวหรือไม่ก็เป็นสีดำเทา ด้วยความที่รสชาติเข้มข้น จึงต้องรับประทานกับเครื่องเคียง อันประกอบด้วยมันฝรั่งบดอุ่นๆ ก้อนเล็กๆ วางบนแป้ง Blini รับประทานกับซาวร์ครีม ครีมสด หอมใหญ่สับ ไข่ขาวต้มจนแข็งโป๊กแล้วนำไปสับ หรือร้านอาหารบางแห่งอาจใช้ไข่นกกระทาแข็งๆ เสิร์ฟแทนก็ไม่ผิด ส่วนเครื่องดื่มที่ใช้ดื่มคู่กันก็หนีไม่พ้นวอดก้า หากแต่ในระยะหลังเมื่อเชฟรุก้าถูกเสิร์ฟในแวดวงอาหารฝรั่งเศส ธรรมเนียมก็แปรเปลี่ยน เริ่มมีการเสิร์ฟคาเวียร์พร้อมโรเซ่ไวน์ ไวน์ขาว และแชมเปญ เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมการรับประทานอาหารเคียงไวน์ของเขา

Food Inspiration on food of life Vol.14 Star&Celebrities







King of Kitchen’s Media

แรงดีไม่มีตกสำหรับผู้ชายชื่อ Gordon Ramsay ถึงขั้นนิตยสารเล่มที่ตรึงรสนิยมผู้ชายทั่วโลกไว้ อย่าง GQ มอบตำแหน่ง Man of the year ปีล่าสุดไปครอง

อย่างที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเขาคือเชฟติดดาวมิชลิน 16 ดวง ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้านอาหารให้กับคนทั่วโลกผ่านสื่อต่างๆ ว่ากันว่าเขาเปิดบริษัทให้คำปรึกษาด้านอาหารและการจัดการงานร้านอาหาร ด้วยค่าตัวจัดที่แพงหูฉี่ แต่เหล่าคนดังไม่ว่าจะเป็นบารัค โอบามา วิกตอเรีย แบคแฮม ต่างก็ตบเท้าเป็นแฟนประจำอาหารของเขาทั้งน้าน

Hell’s Kitchen (U.S.) (นำแสดงโดย: Gardon Ramsay, Jean-Philippe Susilovic/ สร้างสรรค์โดย Gardon Ramsey/ ปี 2005-ปัจจุบัน)

แรมเซย์ผูกขาดตัวเองไว้กับช่อง Fox ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ Hell’s Kitchen (U.S.) ไอเดียนี้นำมาจากซีรีส์ดังชื่อเดียวกัน (แต่จัดฉายในประเทศอังกฤษ) ว่าด้วยการแข่งขันทำอาหารโดยแบ่งเป็นทีมสีแดงและทีมสีน้ำเงินประลองความสามารถจากการทำอาหารนานาชนิด จากนั้น คัดจำนวนคนออก รวมทีมให้เป็นทีมสีดำ แล้วจึงคัดเชฟที่ดีที่สุดเป็นวินเนอร์ โดยทั้งหมดต้องผ่านตากรรมการที่ชื่อ Gordon Ramsey ผู้ซึ่งวิจารณ์ด้วยสายเฉียบคม (เขามองปราดตาเดียวก็รู้ว่า อะไร คือข้อด้อยของเชฟคนนั้นในครัว) ฝีปากจัด (เมื่อไม่พอใจก็ค่อนขอด ตามด้วยขว้างจานทิ้ง) แต่งานนี้หลายคนบอกว่าคุ้ม เพราะผู้ชนะในรายการนี้กลายเป็น Celebrity Chef ในที่สุด แล้วยังได้โอกาสเข้ามาเป็น Head Chef ในร้านอาหารของแรมเซย์อีกต่างหาก โขกสับอย่างไรก็คุ้ม—ว่างั้น!

Ramsay’s Kitchen Nightmares USA (นำแสดงโดย: Gardon Ramsay/ กำกับการแสดง : Brad Kreisberg ปี 2007-ปัจจุบัน)

ดังออกจะขนาดนี้ เห็นทีว่าเป็นดาราหน้าจอแค่รายการเดียวคงไม่พอ ดังนั้น ปลายปี 2007 จึงได้เกิด Ramsay’s Kitchen Nightmares USA ฉายช่อง 4 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเรียลลิตี้ซีรีส์ที่แรมเซย์ตระเวนช่วยเหลือร้านอาหารที่ต้องการการปรับปรุง ภารกิจนี้มีผู้คนติดตามชมด้วยความตระหนกว่าเขาจะโผล่ไปร้านไหน ที่รู้ๆ เชฟทั่วแคลิฟอร์เนียต่างก็ไม่อยากเห็นเขาย่างกรายเข้ามาที่ร้าน เพราะการมาของเขานำพามาด้วยคำวิจารณ์อันแสบสัน (ก็รู้อยู่ว่าแรมซี่น่ะ...มาตรฐานสูง) บรรยากาศมาคุ ใครง่อยล่ะก็...แรมเซย์เหวี่ยง

Gordon Ramsey’s Great British (เขียนโดย: Gardon Ramsay, Mark Sargeant/ พิมพ์ที่: HarperCollins Publishers Ltd/ จำหน่ายที่ www.amazon.co.uk)

แน่นอนว่าหนังสือเล่มใหม่หมาดๆ (แม้จะไม่ล่าสุด) อย่าง “Gordon Ramsey’s Great British” ที่นิตยสารไฮโซอย่าง Hello จั่วหัวว่า “เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่เซเลบริตี้ เชฟ มากความสามารถร่วมมือครีเอตวิธีทำอาหารในผับ” อ่านแล้วรู้ซึ้งถึงรสลิ้นของชาวมหานครลอนดอน เนื้อหาในเล่มรวบตึงความเก๋ด้วยเมนูอาหารที่เขา ผับ-พาร์ตเนอร์ทั่วทุกระแหงในลอนดอน และหัวหน้าเชฟ Mark Sargeant คิดค้นเพื่อส่งทอดความอร่อยสู่ปลายลิ้นลอนดอนเนอร์ทั้งหลายในยามค่ำคืน เมนูโปรดปราน โฮมเมดคุ๊กกิ้ง บาร์ สแน็ก ชัดเจนด้วยสไตล์ยอดนิยมความคลาสสิกของผับ (โมเดิร์นและคงไว้ซึ่งประเพณีเดิมๆ) อัดแน่นในเล่ม วิธีเขียนไม่มีคำอธิบายที่เข้าถึงยาก ตรงไปตรงมาบ่งบอกถึงอุปนิสัยของคนเขียนที่ใครต่างหลงรัก

ไม่ใช่เรื่องคุยโวเลยถ้าจะบอกว่า Gardon Ramsay คือผู้ชายที่เกาะกุมหัวใจมวลชนไว้ด้วยสิ่งที่เขาเป็น

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องมันๆ ตอนที่ 1 ภาคคำนำเสนอ

เรื่องมันมีอยู่ว่าไปเจอมันฝรั่งและมันเทศญี่ปุ่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไฮโซแห่งหนึ่ง ก็เลยอยากลองชิมเพื่อคลายกำหนัดสักหน่อย ประจวบเหมาะกับกำลังจะเขียนเรื่อง "มัน" พอดี เพราะมี "มัน" มาวนเวียนในหัว วนไปเวียนมา เห็นแล้วก็ปวดเฮด คงเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้ทั้งวาระและโอกาสปลดปล่อยความกระหาย รวมถึงความใคร่รู้เกี่ยวกับมัน

...ช้าอยู่ไย

ครานี้อันดับต่อมาหลังจากซื้อเจ้ามันกลับมาบ้าน ก็เห็นว่าควรอวดโฉมพวกมันด้วยการถ่ายแบบให้สักหน่อย ประเดิมแทนคำนำ ก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่รู้ว่าพวกมันเสียใจหรือเปล่าน้า....

ผลแรกนี่เป็นพันธุ์ Romano ผลนี้นำเข้าจากออสเตรเลีย ลูกหนึ่งราคาตกประมาณ 40 กว่าบาท โลละสองร้อยกว่าบาท--บอกราคาคร่าวๆ เพราะทิ้งถุงไปแล้ว (ทำให้ตัดสินใจซื้อมาแค่ลูกเดียวนี่แหละ) รสชาติที่ลองกินกับลิ้นปรากฏว่ามัน waxy เอามากๆ จัดถ่ายโดยเอาดินโรยสักหน่อย ให้ได้กลิ่นดินบ้างอะไรบ้าง จานก็ใช้แบบบ้านๆ เลย กล้องก็ป๊อกแป๊ก แต่ก็นะ รูปก็ไม่แย่เกินใช่ไหมจ๊ะนางแบบมันฝรั่ง...

Red Sweet Potato หรือภาษาไทยเรียกว่า "มันเทศญี่ปุ่น" หัวนี้ก็แอบเนียนกับเรฟเฟอร์เรนต์ เขาถ่ายออกมาสวยก็เลยปรินช์และวางไว้ใกล้ๆ เผื่อจะสวยกับเขาบ้าง
(แนะนำเลยว่า ใครไม่ชอบกินมันทุกประเภท คุณต้องหลงรักความหอมหวาน เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนละเอียดของมันเทศญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะเพียงแค่เอาลิ้นเลียแผลบเดียว รสหวานยังค้างคาติดลิ้นเลย)



เจ้า Chats ลูกนี้นี่ก็อร่อยไม่แพ้ เพราะลูกเล็ก กินง่าย เปลือกร่อน เนื้อแน่น ฝรั่งเรียกกันอีกแบบว่า "New Potatoes" เป็นมันฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ที่ฮอตฮิตในหมู่อาหารที่ต้องเสิร์ฟมันฝรั่งหรูๆ เจ้าลูกนี้มีเรื่องราวสารพัดให้พูดกันอีกยาว


ส่วนเจ้าลูกนี้ชื่อ Francine Salad รสไม่มันมาก เป็นมันฝรั่งสัญชาติอังกฤษที่นิยมนำมาต้ม เสิร์ฟพร้อมเนยและใบกุยช่ายฝรั่ง (Chives)
จะบอกอีกอย่างหนึ่ง เวลากินเปล่าๆ นี่ ไม่อร่อยเลย คงเพราะไม่มีความมันแบบที่มันฝรั่งควรจะมี (ถึงต้องกินกับเนย) แต่ก็หอมกลิ่นเฮิร์บในตัวเนื้อ เวลากินเจ้าผลนี้นึกถึงมันฝรั่งไดเอต ยังไม่ได้ลองกินกับใบกุยช่ายซอย ท่าจะแหล่ม!!!





มันผลสุดท้าย แต่ไม่ท้ายที่สุด เพราะยังมีตอนต่อเนื่องอยู่ (นี่อ่ะ...แค่น้ำจิ้ม)
Coliban ผลนี้หัวกลมสีขาวนวลเนียนใหญ่เป้ง ทางซูเปอร์มาร์เก็ตแอบคีย์ราคาผิด เป็นราคามันฝรั่งไทย หุ...หุ เขาไม่เห็นน้า เลยราคาแค่ 20 กว่าบาท (ทั้งๆ ที่ลูกเดียวกินแล้วจุกไปทั้งวัน )



วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไฟน์ ไดน์นิ่ง

สไตล์ไฟน์ ไดน์นิ่ง

จำได้ว่าราวๆ 3-4 ปีที่แล้ว ยังไม่รู้จักคำว่า Fine Dinnig ในหัวสมองเลย ซึ่งเมื่อเทียบกับวันนี้แล้ว เรียกได้ว่าแทบจะสำลักและพยายามหลีกเลี่ยงใช้คำคำนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะคิดว่า "ไฟน์ ไดน์นิ่ง" เสมือนหีบห่อหลวมๆ ที่แพ๊คคำจำกัดความของอาหารมื้อเย็น ดูหรู บนโต๊ะที่เซ็ต (ถ้าหรูมากขึ้นก็ต้องเพิ่มสไตล์การจัดโต๊ะลงไปด้วย) ไว้อย่างดี อึดอัดใจทุกครั้งที่ต้องขึ้นเขียงรับประทานอาหารบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยจารีต จริตและมารยาท และกระอักกระอ่วนอย่างยิ่งเมื่อใช้คำคำนี้เขียนหนังสือ เพราะคิดเสมอว่าอาหารดีๆ อยู่ใน Fine Dinning อย่างเดียว เสียเมื่อไหร่!!!


ก็เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไร ก็เลยเผลอลืมไปแล้วว่า ครั้งแรกที่เคยกินอาหารในร้าน ไฟน์ไดน์นิ่งนี่เมื่อไหร่ แล้วที่ร้านไหน (เพียงแต่จำได้คร่าวๆ ว่า ประมาณ 3-4 ปี มาแล้ว) เค้นให้คิดได้ สำนึกรู้เท่าไหร่ ความทรงจำก็ไม่ได้สติเสียที

นั่นแสดงว่า ไม่ค่อยเอนจอยกับมื้อแรกเท่าไหร่ (หรือเปล่านะ)

ทว่า ต้องยอมรับโดยดุษฏีว่า อาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง นี่แหละ เปิดรสลิ้นของอาหารตะวันตกให้กว้างขึ้นและกว้างขึ้น (สำหรับคนโชคดีที่ได้เป็นนักข่าวสายอาหาร แต่ก็ไม่มีปัญญาไปเดินตลาดในอิตาลีสักที) เพราะโต๊ะอาหารส่วนมากที่ถูกจัดเป็นไฟน์ไดน์นิ่งคือ อาหารตะวันตก หรือไม่ก็อาหารเอเชียที่ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตาให้ดูสวยงาม เป็นทั้งอาหารและอาหารตาในเวลาเดียวกันเรียบร้อยแล้ว

ใช่ว่าเป็นวัวลืมตีน ลืมไหปลาร้าปลาแดกเสียที่ไหน ของดีของบ้านเมืองเราเราก็ยกย่อง ของดีของบ้านอื่นเมืองนอก ก็ต้องยอมรับว่ามันก็ดี ปลาร้าฝรั่งอย่างแอนโชวี่ดีๆ ก็อร่อยลิ้นไม่แพ้ปลาร้าในส้มตำลาว ของโอทอปบ้านใครก็บ้านมัน แต่ละหนแห่งใช่จะมีสภาพดินฟ้าอากาศเหมือนกันเสียที่ไหน ไหนจะภูมิประเทศ ไหนจะเรื่องสายพันธุ์พืชและสัตว์-ความเจริญทางด้านการเกษตร และสิ่งแวดล้อมที่สร้างสรรค์วัตถุดิบให้ดีก่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร นี่แหละที่เขาเรียกว่าของขวัญจากธรรมชาติ แล้วจึงนำพัฒนาด้วยรสมือมนุษย์

เพราะเหตุนี้นี่แหละที่ทำให้ต้องศึกษาจารีตและมารยาทบนโต๊ะอาหาร รวมถึงการแต่งกายที่ดูมีพิธีรีตอง (เอาแค่สุภาพพอเป็นมารยาท) ที่เกลียดนักหนาสักหน่อย

ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อขอให้ได้ชิมของดีของเด็ดรสชาติเย้ายวน (ถ้าพ่อครัวท่านใด นำมาปรุงแล้วไม่อร่อยจะอารมณ์เสียมาก!) สักที

****ขนมหวานล้างปากในรูปมาจากเซตอาหารกลางวันในร้านอาหารไฟน์ ไดน์นิ่งของโรงแรมที่มีชื่อแห่งหนึ่ง อันมีชื่อคุ้นหูว่า ทีรามิสุ ไอศกรีม เสิร์ฟพร้อมทีรามิสุ เค้ก...สัญชาติอิตาเลียน

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ย้าฮู!!!!

แอ๊ด.........
เปิดบล๊อกแล้วนะ
ทุกคน