วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี

อารัมภบท

เรื่องสั้นขนาดยาว นิยายขนาดย่อยไม่ติดเรต อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สสส. ททท. นิตยสารอาหารหลายเล่ม พุทธทาสภิกขุ พุทธศาสนานิกายมหายาน หนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่องหนุ่มชาวนา นิมิตร ภูมิถาวร เป็นผู้เรียบเรียง และจริยศาสตร์ตามขนบของเอ็มมานูเอล ค้านท์ นอกจากนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจแต่งเรื่องโดยใช้กลวิธีกระแสสำนึก เล่าถึงจิตใจหญิงสาววัย 16 ปี ผู้มีพระสงฆ์วัดป่าเป็นบิดาและมารดาประกอบอาชีพนักเขียนอาหาร โลกสองขั้วระหว่างบริโภคนิยมและธรรมมิกสังคมนิยมบรรจบกันที่หญิงสาวผู้นี้

บทที่ 1 ฉันคือโลก

ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
ปลูกอื่นใดปลูกไมตรีดีกว่าพาล

คัดลอกจากอิศริญาณภาษิต

ฉันกำลังเลิกกินเนื้อสัตว์เพราะอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เพิ่มบาปติดตัวฉัน ลองจินตนาการว่า ตัวเราเป็นสัตว์ดูสิ เราอยากให้สุนัขขอแขนข้างหนึ่งของเราไปทำต้มยำไหม? ทั้งๆ ที่สุนัขก็กินอาหารที่เหลือจากมนุษย์ ก็ดูเวทนาเหลือพอ แล้วเท้าของเราล่ะ ถ้ามีกระบือตัวหนึ่งอยากกินต้มยำเท้าคน กระทั่งใช้ให้ลิงแสมถืออีโต้ฟันฉับมาที่เท้าเรา เลือดพุ่งกระฉูด เหมือนท่อประปาแตกที่ข้างถนน น้ำเสียไหลตลอดเวลา ภาพสยดสยองจะติดตาไม่จางหายจากความทรงจำ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดในระดับที่ไม่มีใครอื่นเจ็บแทนเราได้ เจ็บมากถึงมากที่สุด

ฉันถึงมีความคิดว่า จะเป็น "มังสวิรัติ" ที่ดี เพื่อที่จะไม่เพิ่มบาป และถือเป็นการสร้างบุญต่ออายุให้สัตว์ทั้งหลายที่ฉันจะกินในอนาคต (ถ้าฉันไม่ได้เป็นมังสวิรัติ)
น้ำเต้าหู้
ข้าวผัดถั่วนานาชนิด
ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี
ลำพังถ้าฉันเอ่ยชื่ออาหารจำพวกที่ว่ามาให้คนรักอาหารในเมืองผู้ลุ่มหลงหลงใหลบริโภครสเอร็ดฟัง คงเป็นรายการอาหารอันแสนจืดชืดสำหรับพวกเขา แต่สำหรับฉัน ฉันอยู่วัดตั้งแต่เล็กแต่น้อย เติบโตขึ้นมาพร้อบกับการเจริญทางชีวะของบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ในวัด อาหารที่ฉันกล่าวมาแล้ว ฉันถือว่าเป็นอาหารที่หรูหราเกินไป เกินกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ รอบบริเวณวัดจะได้กิน ชาวบ้านชาวอิสานตามท้องไร่ท้องนา แค่ข้าวเหนียวกับน้ำพริกปลาร้า พวกเขาก็อยู่กินกันตามประสาที่พวกเขามี ที่พวกเขาหาเลี้ยงชีพได้ พวกเขาไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์อาหาร ว่าจะสวยงาม เป็นอาหารสายตาได้หรือเปล่า พวกเขาไม่ได้สนใจอาหารเพราะรสชาติว่าจะกลมกล่อม มีรสอุมามิ ครบรส พวกเราอยู่ด้วยกันเพราะมีพระธรรมนำทาง "กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง" อย่างที่ท่านพุทธทาส ปรมาจารย์ทางด้านปฏิบัติกรรมฐาน ผู้นำความคิด 'ธรรมมิกสังคมนิยม' กล่าวไว้

แต่ฉันก็คือฉัน ฉันคือคนที่ลุ่มหลงอาหารรสอร่อยผู้บังเอิญเติบโตในวัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน บ้านของฉันอยู่ในวัด เป็นบ้านที่หลวงพ่อสร้างให้ก่อนที่ท่านจะละชีวิตทางโลก มุ่งสู่โลกแห่งอารยะ เข้าสู่เพศบรรพชิตชั่วชีวิตดั่งที่ท่านตั้งปณิธานไว้ แม่ของฉันอยู่ที่กรุงเทพฯ ภาคภูมิใจกับการเป็นซิงเกิ้ล มัม และผู้หญิงทำงาน แม่ไม่ใคร่ใส่ใจฉันเท่าที่ควร ฉันจึงไม่ผูกพันกับแม่เท่าไหร่นัก

ตอนเล็กๆ ฉันพักพิงที่วัดสม่ำเสมอ ในช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุด ได้อยู่กับแม่ชีหลายคน โดยเฉพาะแม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ ฉันรักแม่ชีทั้งสองคนมากกว่าแม่แท้ๆ ของฉัน ฉันมักร้องไห้กระจองอแงไม่ยอมกลับบ้านทุกครั้งที่โรงเรียนใกล้จะเปิด

ตั้งแต่อายุแปดขวบแม่ชีทั้งสองคนพร่ำสอนทั้งเรื่องจริยธรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงวิชางานครัว จนบัดนี้ฉันเลิกเรียนหนังสือแล้วหันมาอยู่วัด เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อและองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นานๆ ครั้ง ถึงกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้ฉันกลับไปกินอาหารเพื่อรสลิ้นแบบเดียวกับที่แม่ของฉันนิยม แม่ของฉันเป็นนักวิจารณ์อาหารผู้มีมานะในการรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารบนโลกกลมๆ ที่แสนจะบิดเบี้ยวใบนี้ ผู้คนแย่งชิงกินโลกราวกับว่าโลกนี้คือมะม่วงสุกอันหอมหวาน พร้อมให้คนทั้งโลกวัตถุกัดกินอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเนื้อมะม่วงมันมีหมดมีสิ้น เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วฉันก็คิดถึงบทกลอนที่ครูภาษาไทยสอนไว้ ก่อนลงครัว

อันความเมตตาปรารถนาดี
ดุจดั่งมีน้ำทิพย์ชะโลมหล้า
สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างพึงหา
เวทนาชีวิตที่ทุกข์ทน

ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี

ฉันจำสูตรบางส่วนมาจากแม่ชีนิดที่ดำเนินชีวิตตามรอยมังสวิเรี่ยนที่ดีเป็นเวลาสิบปี ฉันจึงทำเลียนแบบแม่ชีนิดได้ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะแม่ชีนิดรับประทานอาหารรสจืดมาก ส่วนฉันถนัดทางรสเค็มนิดหน่อยเพื่อการประหยัดกับข้าว เน้นกินข้าวเยอะๆ แต่ข้าวต้องเป็นข้าวกล้องหุงสุกใหม่ เมล็ดเรียวยาวหอมนุ่มเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ส่วนผสม

เต้าหู้ขาวยี่ห้อใดก็ได้ แต่ฉันชอบใช้ตราเกษตร 1 หลอด
แครอตหั่นลูกเต๋า 1 อุ้งมือ
กะหล่ำปลีดาว 1 ถ้วยตวง
เห็ดหูหนู 10 ดอกเล็ก
น้ำฝนจากธรรมชาติ 1 ลิตร
เกลือนิดหน่อย
พริกไทยนิดหน่อย
ซีอิ๊วขาวนิดหน่อย
หอมเจียวนิดหน่อย

ฉันตั้งหม้อขนาดย่อมบนเตาอั้งโล่ซึ่งมีอยู่ 4 ตัว ในครัววัด เตาถ่านถูกวางไว้บนชั้นซีเมนต์ เชื่อมติดกับกำแพงเหนือพื้นขึ้นไปสองไม้บรรทัด รินน้ำฝนที่รองไว้ในช่วงหน้าฝนลงในหม้อ ที่วัด น้ำถูกกักเก็บในแท๊งก์น้ำเพื่อใช้สอยตลอดปี ดูไฟบนรังผึ้งว่าลุกลามกระทั่งตัวถ่านเป็นสีแดงหรือยัง ถ้ายัง ก็อย่าเพิ่งตั้งหม้อ เพราะก้นหม้อจะดำ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำกับข้าว เหมือนกับก้นหม้อดำทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่ทำให้คู่รักหลายคู่เลิกรา ทั้งๆ ที่ตอนรักกันก็รักกันปานจะกลืนกิน

น้ำเดือดแล้วก็ใจเย็นไว้ ฉันโยนแครอตหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก้อนใหญ่หลายก้อนเชียว ลงไปในหม้อ ด้วยอารมณ์ไม่ประสาโลก เพราะกำลังตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ฝึกอานาปานสติพร้อมๆ กับ ทำกับข้าว ชั่วครู่ฉันก็โยนกะหล่ำปลีดาวลงไปอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสตินั้นไม่เพ่งและไม่เผลอ ฉันคือกะหล่ำปลีเหล่านั้น ฉันหันไปปิ้งปลาให้แม่ชีท่านอื่นสักพัก ส่วนประกอบทั้งสองสุกและยังไม่เละ เติมเห็ดหูหนูและเต้าหู้ขาวที่หั่นเป็นชิ้นพอคำลงไปด้วย ท้ายที่สุดปรุงรสด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว เคล็ดลับคือ ใส่เครื่องปรุงแล้วรอน้ำเดือดชั่วอึดใจก็ยกลงจากเตาอั้งโล่ เพื่อไม่ให้น้ำซุปขุ่น ขั้นตอนสุดท้ายคือโรยหอมเจียวลงบนต้มจึดจะหอมมาก

ฉันเสิร์ฟเมนูนี้ในชามอ่างสังกะสีคล้ายๆ กะละมัง เพื่อถวายหลวงพ่อมื้อเพล หลวงพ่อชอบอาหารของฉันหรือเปล่า ฉันไม่มีทางรู้ เพราะท่านไม่เคยบอก แม้ว่าท่านจะฉันน้ำเต้าหู้และต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลีเสียเกลี้ยงชาม ทว่าฉันไม่อาจทึกทักได้ว่า ท่านชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะฉันจะลงมือทำอะไร ท่านก็ชอบทั้งนั้น ฉันเก็บจานชามและปิ่นโต พลางนึกเสียดายถ่านที่ทิ้งไว้ในครัว น่าจะปิ้งกล้วยไว้กินยามหิว ฉันคิดขณะมีสติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น