วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี บทที่ 3

อ่อนหวาน

พันธุ์ไม้ สมุนไพร พืชล้มลุกเบียดเสียดไม่เรียงยอด ไม่จัดหมู่และไม่เรียงลำดับความสูงรายรอบบึงใหญ่กลางวัด แหล่งเรียนรู้ทางชีววิทยาและการเกษตรสำหรับเด็กๆ รวมถึงฉัน


พระรุ่นหนุ่มหลายรูปนอกจากหมั่นเพียรในการกิจสงฆ์ แล้วยังขมีขมันปฏิบัติงาน งานซ่อมบำรุง งานช่างหลายแขนงเท่าที่ชำนาญทำงานได้ รวมถึงงานเรือกสวน เป็นที่น่าชื่นใจแก่ผู้พบเห็นและพระผู้ใหญ่ รวมถึงฉัน

พืชสมุนไพรแทงยอดผลัดชนิดตามฤดูกาล พอเหลือกินเหลือไว้ใช้สอยตลอดปี อ้อยดำก็ใช้เป็นยาสมุนไพรขับเลือดลม ขมิ้นใช้กิน ทาผิวหนังก็แก้พิษได้สารพัน พักอยู่ที่นี่ การทำงานก็ไม่ต่างจากการปฏิบัติธรรม ผลของการทำงานผลิดอกออกผล ผลของการปฏิบัติธรรมเพิ่มบุญอันเป็นปัจจัตตัง ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่รู้ได้ เข้าใจได้ ประจักษ์จริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่อย่างเกื้อกูลกัน รวมถึงฉัน

ไหนๆ ก็แต่งกลอนตามฉันทลักษณ์ไม่ได้ ฉันจึงหัดเขียนกลอนเปล่าตามประสาคนที่มีจิตใจอ่อนไหว แล้วก็แต่งต่อได้ว่า

ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ผิวน้ำระยิบในบึงบัว ดอกบัวคือดอกไม้อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพประจำศาสนา เผยกลีบบานแย้มน้อยๆ น่าชมดุจภาพวาดของจิตรกร ใบบอน ใบบัวน้ำกลิ้งริกๆ ดูอ่อนไหว แมงมุมน้ำคืบไต่ผืนแก้วเหลวๆ ปลาตอดอาหารจากธรรมชาติ ผิวน้ำเป็นจ้ำกลม ขยายวงกลมเล็กๆ ใหญ่ขึ้นๆ

ในความเป็นจริง ฉันกำลังนั่งมึนๆ ที่ศาลากลางน้ำ เพื่อรับพลังจากแสงอาทิตย์ยามเช้าตามธรรมชาติประทานให้ พลังงานจากจักรวาลที่ฉันผลิตขึ้นเองไม่ได้ ตั้งสมมติฐานได้ว่า ฉันไม่ต่างอะไรจากดาวเคราะห์น้อยที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สมมติฐานนี้ทำให้ฉันเศร้าเหลือเกิน

แม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ขนอาสนะด้วยมือเปล่าและกำลังแขนและขาทั้งสองข้าง มาผึ่งแดดผึ่งลมเป็นปรกติของช่วงวัน พวกทานคงสังเกตเห็นพลังบางอย่างจากตัวฉันที่ทั้ง มืด คล้ำ ดำ บอด ภายหลังจากปฏิบัติงานเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาระหว่างฉัน แม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามก็เริ่มขึ้น

แม่ชีกล้วย--หนูเป็นอะไรหรือจ๊ะ ใบหน้าคล้ำหมองราวกับคนสิ้นหวังในชีวิต อากาศก็ดี แดดเช้าอย่างนี้ น่าจะเรียกพลังชีวิตให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

ฉัน--หนูพบว่าตัวเองเหมือนดาวเคราะห์น้อย ที่ไม่มีแสงสว่างและพลังงานมากมายเช่นดวงอาทิตย์

แม่ชีนินทรีย์--นั่นทำให้หนูเศร้า

ฉัน--ค่ะ

แม่ชีกล้วย--เศร้าเพระหนูไม่มีแสงให้เปล่งประกาย

ฉัน--ค่ะ มันทำให้หนูไม่ต่างอะไรจากยุง สัตว์อื่นๆ สิ่งของ ตัวเม่ายังมีค่ามากเสียกว่า

แม่ชีนินทรีย์--ทุกชีวิตมีหน้าที่ต่างกันนะจ๊ะ

แม่ชีกล้วย--งั้น แม่ชีถามหนูหน่อยว่า ตัวเม่ากับผีเสื้อ หนูว่าตัวไหนสวยกว่ากัน แมลงเม่าสร้างสมดุลย์ให้ธรรมชาติและช่วยให้วิกาลทัศนะแจ่มชัดขึ้น แม้เป็นจุดเล็กๆ ก็ตาม ผีเสื้อใช้เป็นตัวแทนความหมายสากลของความรู้ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าผีเสื้อใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งวิญญาณ หรือจิตวิญญาณที่รอคำพิพากษา ผีเสื้อนั้นอาจหมายถึงผู้หญิง ความรักที่ไม่สมหวัง และอีกหลายชาติก็มีอีกหลายความเชื่อ

ฉัน--มันเป็นคำถามเชิงสุนทรียะที่หนูคงตอบได้ยากมาก เพราะไม่ชอบสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ ความสวยสำหรับหนูมีพลังและนิ่งสงบกว่านั้นมาก เพราะฉะนั้น หนูจึงให้ความเห็ว่า สิงโตสวย โดยเฉพาะสิงโตตัวผู้ที่มีแผงขนงามล้อมรอบกรอบใบหน้า

แม่ชีนินทรีย์--แล้วดอกไม้ล่ะจ๊ะ สวยหรือเปล่า

ฉัน--สวยและเป็นฝ่ายรับมากเกินไป ดอกไม้เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ป้องกันตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ดอกไม้ทำได้คือมอบตนให้แก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หนูอยู่ร่วมกับดอกไม้ได้ หนูจะไม่เก็บและไม่ทำร้าย และก็จะรดน้ำอย่างถนอมด้วย เพราะความอ่อนหวานของดอกไม้แท้ที่ทำให้หนูอ่อนหวานขึ้น

แม่ชีกล้วยยิ้มและพูดต่ออีกว่า--สมมตินะจ๊ะ สมมติว่าพระอาทิตย์ก็คิดเหมือนหนู คืออยู่ร่วมกับหนูได้ โดยที่ไม่เผาหนูเนื้อเกรียม ถ้าไม่ซุกซนออกมาตากแดดจัดๆ ทั้งวัน แม่ชีมองอีกมุมหนึ่ง แม่ชีคิดว่า บางครั้งพระอาทิตย์ก็น่าเห็นใจ ด้วยอำนาจความร้อนที่มากมายทำให้พระอาทิตย์นั้นไม่มีเพื่อน เพราะเข้าใกล้รัศมีไม่ได้ กระนั้น พวกเราก็ต้องการแสงสว่างและความร้อนของพระอาทิตย์เท่าที่จำเป็น สรรพสิ่งดำรงหน้าที่อยู่อย่างแข็งขัน แม่ชีว่า ตอนนี้หนูจงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ใช้ความสามารถของหนูให้เต็มที่ นั่นแหน่ะ แม่ชีนิดเตรียมมัดข้าวต้มมัดไว้เลี้ยงพวกเราชาววัด รอผู้ช่วยที่หนึ่งที่มานั่งหงอยๆ อยู่

ฉัน--แม่ชีอนุมานซะหนูป้องกันตัวเองไม่ได้เหมือนดอกไม้ หนูก็ว่าบางครั้งตัวเองก็คล้ายดอกไม้เดินได้ งั้นหนูเป็นมนุษย์นี่แหละดีที่สุด ค่ะ หนูจะทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบเช่นเดิม เพิ่มความอ่อนหวาน

ข้าวต้มมัด

ข้าวเหนียวเขี้ยวงู
กล้วยน้ำว้าสุกงอม
ถั่วลิสง
ใบตอง
ตอก

อันที่จริง ตำรับข้าวต้มมัดของพวกเราชาววัดแตกต่างจากสูตรภาคกลาง ที่ใช้ข้าวเหนียวผัดกับน้ำตาลทรายและกะทิสด คนที่นี่เขาอ่อนหวานนะจ๊ะ แค่ความหวานจากกล้วยสุกก็เพียงพอแล้ว

วิธีทำ

ขั้นตอนแรก ล้างมือให้สะอาดและเตรียมอุปกรณ์ เช่น มีด ถาด ตอก เช็ดและเตรียมใบตองให้เรียบร้อย ข้าวต้มมัดของชาววัดทำคนเดียวไม่ได้หรอกจ่ะ คนละไม้คนละมือช่วยกันเป็นคณะ

ขั้นตอนที่สอง นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูและถั่วลิสงที่แช่น้ำทิ้งไว้แต่เช้ามืด กรอง แยกเนื้ออกจากน้ำ พักทิ้งไว้ให้หมาดน้ำ ถั่วลิสงแยกไว้ ใส่ในชามสังกะสี ข้าวเหนียวเขี้ยวงูใส่กะละมังใบย่อม

ขั้นตอนที่สาม ใช้ช้อนตักข้าวเหนียว โรยและเกลี่ยไว้กลางใบตอง เพิ่มกล้วยสักครึ่งใบ วางไว้จุดศูนย์กลางของข้าวเหนียวที่เกลี่ยไว้แล้ว กลบทับด้วยข้าวเหนียวอีกครั้ง ไม่ให้เห็นเนื้อกล้วย เพิ่มถั่วลิสงเม็ดโตๆ สัก 6-7 เม็ด แล้วห่อเข้ากลีบ จับกลีบเข้าคู่ จากนั้นมัดด้วยก้านตอกให้เรียบร้อย

ขั้นตอนที่สี่ ฉันนำข้าวต้มมัดเรียงไว้บนซึ้งอย่างเป็นระเบียบ เรียงจากวงนอกเข้าสู่วงในเหมือนก้นหอยถาก

ขั้นตอนที่ห้า ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่จะเห็นความขยัน ความประณีตเรียบร้อยของทุกคน ใครทำดี ควรเอาเยี่ยงอย่างคนคนนั้น

ขั้นตอนที่หก แม่ชีผู้คุมครัวเป็นคนนำไปนึ่งบนเตาอั้งโล่สักหนึ่งชัวโมงครึ่ง แล้วฉันก็จัดการเก็บกวาด เก็บล้างอุปกรณ์กระทั้งสะอาด หมดจด

ขั้นตอนที่หก ฉันยิ้มให้กับตัวเองและหมู่คณะด้วยความอ่อนหวานและภาคภูมิ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี บทที่ 2

บทที่สอง ผสมผสาน

เนื้อที่ไร่นาชาวบ้านรอบบริเวณวัด ปลูกข้าวแซมด้วยผักแปลงยาวลิบตา มะเขือเทศเปราะหอมเลาะลำคลอง แตงกวาออกลูกอ่อนระเรี่ยดิน

ฉันพยายามแต่งคำกลอนให้สละสลวย แต่อย่างไรฉันก็แต่งได้ไม่ดี นั่นเพราะคงไม่ถนัดจริงๆ นั่นแหละ

เช้านี้แม่ชีกล้วยตำหนิฉันชุดใหญ่ เพิ่มเป๊ปซี่ ในความผิดฐานลัดแถวอาหารเช้า ฉันยกคำพูดของแม่ชีกล้วยมาเล่าให้ฟังดังนี้

"อยู่วัดมาหลายปี สิ่งที่ควรเรียนรู้ไว้มากๆ คือ 'กฎ' และ 'ความรอบคอบ' สองสิ่งนี้จะทำให้หนูเป็นคนดี เป็นมนุษย์ มีวินัยและเคารพผู้อื่น การลัดแถวผู้อื่น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แม้กฎเกณฑ์ของวัดไม่ปรากฎอย่างชัดแจ้ง แต่เป็นเรื่องที่หนูควรเรียนรู้ได้ด้วยสำนึกที่ดี สำนึกที่ดีคือมีความตั้งใจทำสิ่งที่ดี เป็นการเคารพตัวเองและผู้อื่น หนูจะภาคภูมิใจในการกระทำดี และคนอื่นจะภาคภูมิใจในตัวหนู และสิ่งดีๆ จะติดตัวตลอดไป เพราะฉะนั้น คราวหน้าคราวหลัง จงอย่าลัดแถวอาหารของผู้เฒ่ารู้ไหม"แม่ชีกล้วยกล่าวด้วยสีหน้าเจือความสุข แม้ว่าท่านกำลังดุฉันก็ตาม

ฉันถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้มที่สุกมากๆ ไม่ใช่เพราะความกลัวแม่ชีกล้วย แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ เพียงแค่เกรงว่า บรรดาแม่เฒ่าแม่แก่จะแย่งผักที่ฉันเล็งไว้หมดน่ะซี่ เรื่องเห็นแก่กินผัก ฉันขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเช้านี้แท้ๆ ที่ฉันติดตามหลวงพ่อเดินบิณฑบาต จึงขาดคนช่วยจัดผัก หน้าที่สำคัญแท้ๆ

งานจัดผักเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ 'กฏ' และ 'ความรอบคอบ'อื่นๆ เพราะงานจัดผักเป็นต้องใช้หลักการนี้เหมือนกัน ฉันถือเป็นต้นตอหัวคิดนี้เชียว แต่ก็ไม่กล้าออกกฎระเบียบให้แม่ชีท่านอื่นใช้ นั่นเพราะขัดกับ 'กฎว่าด้วยความอาวุโส' ที่ฉันมีติดตัวน้อยนิดนั่นเอง จึงได้แต่สรรใช้กฎนี้แต่เพียงผู้เดียว

กฎที่ว่ามีดังนี้
ข้อแรก เช็ดถาดให้สะอาดด้วยความรอบคอบ
ข้อสอง เก็บผักจิ้มน้ำพริกในตอนเช้าเท่านั้น ไม่เก็บทิ้งไว้ข้ามคืน เพราะผักจะไม่สด เผลอๆ อาจพบสัตว์เล็ก-พาหะนำโรคที่ไม่ได้รับเชิญแทะเล็ม
ข้อสาม ถ้าแม่ชีผู้ใหญ่ลงมาจัดผัก ให้ท่านเลือกผักจัดก่อน ส่วนฉันจะจัดผักที่เหลือ
ข้อสี่ ล้างผักด้วยด่างทับทิมเพื่อความสะอาดและคงความกรอบไว้ เพราะฉันสังเกตเห็นว่า ผักที่ชาวบ้านนำมาถวาย ส่วนมากเกษตกรจะใช้ยาฆ่าแมลงอย่างเยอะ ดูจากร่องรอยผิวผักที่นวลเกินกว่าเหตุ
ข้อห้า จัดเรียงผักให้เป็นระเบียบสวยงาม ในเมื่อมนุษย์ยังต้องมีระเบียบ ผักก็ต้องการเช่นกัน เพราะมันคือการกระทำที่บ่งบอกว่าเป็นคนที่ประณีต มนุษย์ต่างจากพืชและสัตว์ตรงที่ มีจิตสำนึกที่ดีได้ต่อเมื่อใช้มัน แม้ว่าผลลัพทธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม
ข้อหก คลุมผักด้วยผ้าขาวบางสะอาดเพื่อกันแมลง

ขณะที่กินข้าวเช้าแบบรวมหมู่ พระสงฆ์นั่งบนอาสนะ เสื่อบนพื้นซีเมนต์ปูลาดเรียบร้อย แม่ชีและญาติโยมนั่งเรียงตามลำดับอาวุโส ฉันนึกเมนูอาหารมื้อเพลอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นผู้ใจบุญผู้เดินทางมาจากตัวจังหวัดนำปลากระป๋องมาถวายหลวงพ่อมากมาย หลวงพ่อปันไว้ให้ฉันกินยามที่นึกกินเนื้อสัตว์อีกครั้ง ฉันรับไว้เพราะถือว่า เป็นความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านห่วงใยเด็กสาวแว่นตาสีแดง***ผู้ผอมกะหร่องเหมือนเสาไฟฟ้าเดินได้คนนี้ จึงตอบแทนความปรารถนาดีด้วยการลุยครัว ตำน้ำพริกปลากระป๋องสูตรที่ชาวบ้านละแวกใกล้วัดสอนไว้ ยามที่พวกเขามาช่วยงานในครัววัด พร้อมกับจัดผักจานใหญ่ด้วยเจตนาที่ดีและมีความรอบคอบ เพื่อหลวงพ่อและหลวงพี่รูปอื่น

น้ำพริกปลากระป๋อง

ส่วนผสม
ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ 2 กระป๋อง
หอมแดงเผา 7 หัว
กระเทียมเผา 2 หัว
พริกสดสีแดงเผา 5 เม็ด
พริกชี้ฟ้าสีเหลืองเผา 10 เม็ด
ถั่วักยาวนึ่งหรือต้ม 6 ฝักสวยๆ
เม็ดมะเขือเหลือง 3 ช้อนโต๊ะ
มะนาวหน้าแล้ง 1 ลูกใหญ่
เกลือนิดหน่อย
พริกป่นใส่หรือไม่ใส่ก็ได้

วิธีทำ

1. ด้วยความเป็นอยู่อย่างง่ายของหลวงพ่อ ทำให้ฉันลงมือทำสูตรอาหารสูตรง่ายๆ ถวายสม่ำเสมอ แทนที่จะทำอะไรยากๆ ประดิดประดอยเป็นเวลานาน อย่างว่าของง่ายใช่จะไม่ประณีต ก็บอกแล้วไงว่า ทำอะไรก็ตามก็ต้องมี 'ความรอบคอบ' เป็นหลักการพื้นฐานเสมอ
2. ฉันขออนุญาตแม่ชีผู้ดูแลครัว ใช้ครก ใช้เตาและเครื่องปรุงบางส่วน ฉันหยิบใช้อย่างคล่องมือ หลังจากที่ท่านตอบรับ
3. นำถั่วฝักยาวไปนึ่งหรือลวกในน้ำเดือดปุดๆ ให้สุดเนื้อนิ่ม
4. ปิ้งหอมแดง กระเทียม พริกสดสีแดง พริกชี้ฟ้าสีเหลือง ให้เหลืองเกรียม ส่งกลิ่นหอมๆ ปิ้งด้วยความตั้งใจว่า ฉันจะปิ้งให้ดีที่สุด
5. ฝานเปลือกมะเขือเหลือง เลือกใช้เฉพาะเมล็ด ฝานสักสามลูก ใส่ถ้วยพักไว้กอ่น
6. เมื่อหอมแดงและพริกสุกได้ที่ ก็นำมาปอกเปลือก ไม่ต้องปอกให้เกลี้ยงเกลาก็ได้
7. ใส่เกลือลงไปสักหยิบมือ เพราะปลากระป๋องที่ชาวบ้านถวายปรุงรสออกรสอ่อนๆ แล้ว โขลกเกลือพร้อมด้วยกระเทียม พริกทั้งสองสีและหอมย่างอย่างหยาบๆ
8. จากนั้นใส่ปลากระป๋องลงครก ใช้ทั้งเนื้อปลาและน้ำซอสมะเขือเทศ บี้ให้พอแหลก โรยด้วยเม็ดมะเขือเหลือง เพื่อเนื้อสัมผัสและรสอร่อยจากเม็ดมะเขือ
9. ฝานถั่วฝักยาวนึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในน้ำพริก ถั่วฝักยาวที่ฉันปลูกไว้ในแปลงผัก ร่วมกับแม่ชีและคนสวนที่เจ้าอาวาสจ้างไว้ คราวหลังฉันจะพาคุณไปเยี่ยมชม
10. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว (สำหรับคนชอบรสจัด ฉันอนุญาตให้ใส่พริกป่นได้จ้ะ ไม่ห้าม)
11. ฉันแอบใส่เกลือเพิ่ม อาหารจะอร่อยก็เพราะรสมือนี่แหละ
12. อย่าลืมเก็บอุปกรณ์ล้างให้สะอาด เมื่อแห้งแล้วก็เก็บไว้ที่เดิม

การจัดจาน

เตรียมชามสังกะสีไว้ (ล้างไว้-ผึ่งลมไว้) เป็นอย่างดี เทน้ำพริกใส่ชาม งานนี้มีลูกสมุนสังกะสีรายอื่นคือ ถาดสังกะสีที่จัดเรียงถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อนๆ ใบอ่อมแซ่บล้างสะอาด มะเขือเปราะหรือเปราะหอมฝานขั้ว หรือจะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ก็ได้จ้ะ ไม่ว่ากัน แตงกวาปอเปลือกเฉือนพอคำ

ฉันเจียดน้ำพริกใส่ชามสังกะสีไว้สักน้อย โรยบนข้าว ตั้งใจกินแกล้มแตงกวา หลังจากนั้น ฉันจะได้มีแรงทำงานและเก็บพลังไว้ปฏิบัติภาวนาที่ถือเป็นหน้าที่หลักของชาววัด ฉันมีความตั้งใจว่า ฝึกอานาปานสติสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย ถ้ามีงานแรงงานก็อาจลดชั่วโมง ถ้าไม่มีงานออกแรงก็เพิ่มชั่วโมงภาวนา

พลบค่ำ ฉันนั่งหน้าสลอน อยู่หลังแถวแม่ชี ท่านเจ้าอาวาสก็เทศนาว่าด้วยเรื่องกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก คำสอนโดนใจฉันอย่างจัง จึงนำมาเล่าสู่กันฟังว่า

"การที่คนเรากินน้อย ใช้น้อย อยู่อย่างเรียบง่าย บ้านไม่มีวิทยุ อยู่ในที่ไกลจากเสียงรบกวน การอยู่ในสถานที่วิเวก ยิ่งเอื้อต่อสมาธิทางจิตมากขึ้น ถ้าถึงขั้นสุดท้าย อุปธิวิเวก ไม่มีกิเลสมาทำให้ขุ่นมัว โกรธหรือเร่าร้อน ก็เป็นความสุขที่เรียกว่า ความสุขที่เกิดจากการสงัดจากกิเลส

"รสชาติอร่อย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่พอใจ เรียกว่า กามคุณห้า มันมีโทษแฝงอยู่ มีคุณคือให้ความสุข กามคุณห้ามีโทษมากกว่าคุณ ใหม่ๆ ก็ดึงเราไปอยู่กับรสอร่อยของมัน โทษนั้นคือความไม่เที่ยง ของอร่อย ของดี มันก็ไม่อยู่กับเราได้นาน ดอกไม้ในที่สุดก็ร่วงโรยไป ก็พรากจากเรา เพราะมันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของเรา หรือแม้จะไม่มีคนเอาไป แต่อยู่ๆ บางทีเราก็เบื่อ อาหารที่อร่อย อยู่ไปกินไปทั้งเช้า-เย็นๆ ก็เบื่อ เพราะวัตถุนี่แหละที่ทำให้เราเบื่อง่าย แต่ความทุกข์จริง ไม่ได้อยู่ที่ตัววัตถุกาม อยู่ที่ตัวเรามากกว่า ใจที่เราเห็นว่า สิ่งนี้น่าพอใจ จึงเกิดเป็นอุปาทานขึ้นมา"

ฉันเห็นด้วยกับท่านเจ้าอาวาสเป็นอย่างยิ่งว่า อาหารอร่อยให้คุณไม่นาน ไม่เที่ยง ย่อยแล้วก็ถ่ายออก เหลือเพียงแต่ประสบการณ์ที่เก็บไว้ในแว่นตาของเรา ฉันล่ะทั้งรักและเจ็บใจแม่จริงๆ ที่สอนให้รู้จักอาหารอร่อยๆ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันทำให้ฉันฝืนแรงโน้มใจที่รับอิทธิพลมาจากอาหารถูกปากอย่างยากลำบาก และขอบคุณหลวงพ่อที่พร่ำสอนวิธีทำจิตให้ว่าง ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่คิดบวก ไม่คิดลบ ไม่อะไรกับอะไร

***เชื่อมโยงกับทฤษฎีแว่นตาสีแดงหรือโครงสร้างของจิตทำให้เรารับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบผัสสะของเราว่า เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ (space) และเวลา (time) ส่วนในความเป็นจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะอยู่ในพื้นที่และเวลาหรือไม่นั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลย นอกจากนี้โครงสร้างของจิตยังให้มโนทัศน์ต่างๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจประสบการณ์ของเรา เช่นมโนทัศน์เรื่องสาเหตุ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ชามสังกะสี

อารัมภบท

เรื่องสั้นขนาดยาว นิยายขนาดย่อยไม่ติดเรต อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สสส. ททท. นิตยสารอาหารหลายเล่ม พุทธทาสภิกขุ พุทธศาสนานิกายมหายาน หนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่องหนุ่มชาวนา นิมิตร ภูมิถาวร เป็นผู้เรียบเรียง และจริยศาสตร์ตามขนบของเอ็มมานูเอล ค้านท์ นอกจากนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจแต่งเรื่องโดยใช้กลวิธีกระแสสำนึก เล่าถึงจิตใจหญิงสาววัย 16 ปี ผู้มีพระสงฆ์วัดป่าเป็นบิดาและมารดาประกอบอาชีพนักเขียนอาหาร โลกสองขั้วระหว่างบริโภคนิยมและธรรมมิกสังคมนิยมบรรจบกันที่หญิงสาวผู้นี้

บทที่ 1 ฉันคือโลก

ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
ปลูกอื่นใดปลูกไมตรีดีกว่าพาล

คัดลอกจากอิศริญาณภาษิต

ฉันกำลังเลิกกินเนื้อสัตว์เพราะอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เพิ่มบาปติดตัวฉัน ลองจินตนาการว่า ตัวเราเป็นสัตว์ดูสิ เราอยากให้สุนัขขอแขนข้างหนึ่งของเราไปทำต้มยำไหม? ทั้งๆ ที่สุนัขก็กินอาหารที่เหลือจากมนุษย์ ก็ดูเวทนาเหลือพอ แล้วเท้าของเราล่ะ ถ้ามีกระบือตัวหนึ่งอยากกินต้มยำเท้าคน กระทั่งใช้ให้ลิงแสมถืออีโต้ฟันฉับมาที่เท้าเรา เลือดพุ่งกระฉูด เหมือนท่อประปาแตกที่ข้างถนน น้ำเสียไหลตลอดเวลา ภาพสยดสยองจะติดตาไม่จางหายจากความทรงจำ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดในระดับที่ไม่มีใครอื่นเจ็บแทนเราได้ เจ็บมากถึงมากที่สุด

ฉันถึงมีความคิดว่า จะเป็น "มังสวิรัติ" ที่ดี เพื่อที่จะไม่เพิ่มบาป และถือเป็นการสร้างบุญต่ออายุให้สัตว์ทั้งหลายที่ฉันจะกินในอนาคต (ถ้าฉันไม่ได้เป็นมังสวิรัติ)
น้ำเต้าหู้
ข้าวผัดถั่วนานาชนิด
ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี
ลำพังถ้าฉันเอ่ยชื่ออาหารจำพวกที่ว่ามาให้คนรักอาหารในเมืองผู้ลุ่มหลงหลงใหลบริโภครสเอร็ดฟัง คงเป็นรายการอาหารอันแสนจืดชืดสำหรับพวกเขา แต่สำหรับฉัน ฉันอยู่วัดตั้งแต่เล็กแต่น้อย เติบโตขึ้นมาพร้อบกับการเจริญทางชีวะของบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ในวัด อาหารที่ฉันกล่าวมาแล้ว ฉันถือว่าเป็นอาหารที่หรูหราเกินไป เกินกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ รอบบริเวณวัดจะได้กิน ชาวบ้านชาวอิสานตามท้องไร่ท้องนา แค่ข้าวเหนียวกับน้ำพริกปลาร้า พวกเขาก็อยู่กินกันตามประสาที่พวกเขามี ที่พวกเขาหาเลี้ยงชีพได้ พวกเขาไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์อาหาร ว่าจะสวยงาม เป็นอาหารสายตาได้หรือเปล่า พวกเขาไม่ได้สนใจอาหารเพราะรสชาติว่าจะกลมกล่อม มีรสอุมามิ ครบรส พวกเราอยู่ด้วยกันเพราะมีพระธรรมนำทาง "กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง" อย่างที่ท่านพุทธทาส ปรมาจารย์ทางด้านปฏิบัติกรรมฐาน ผู้นำความคิด 'ธรรมมิกสังคมนิยม' กล่าวไว้

แต่ฉันก็คือฉัน ฉันคือคนที่ลุ่มหลงอาหารรสอร่อยผู้บังเอิญเติบโตในวัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน บ้านของฉันอยู่ในวัด เป็นบ้านที่หลวงพ่อสร้างให้ก่อนที่ท่านจะละชีวิตทางโลก มุ่งสู่โลกแห่งอารยะ เข้าสู่เพศบรรพชิตชั่วชีวิตดั่งที่ท่านตั้งปณิธานไว้ แม่ของฉันอยู่ที่กรุงเทพฯ ภาคภูมิใจกับการเป็นซิงเกิ้ล มัม และผู้หญิงทำงาน แม่ไม่ใคร่ใส่ใจฉันเท่าที่ควร ฉันจึงไม่ผูกพันกับแม่เท่าไหร่นัก

ตอนเล็กๆ ฉันพักพิงที่วัดสม่ำเสมอ ในช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุด ได้อยู่กับแม่ชีหลายคน โดยเฉพาะแม่ชีกล้วยและแม่ชีนินทรีย์ ฉันรักแม่ชีทั้งสองคนมากกว่าแม่แท้ๆ ของฉัน ฉันมักร้องไห้กระจองอแงไม่ยอมกลับบ้านทุกครั้งที่โรงเรียนใกล้จะเปิด

ตั้งแต่อายุแปดขวบแม่ชีทั้งสองคนพร่ำสอนทั้งเรื่องจริยธรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงวิชางานครัว จนบัดนี้ฉันเลิกเรียนหนังสือแล้วหันมาอยู่วัด เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อและองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นานๆ ครั้ง ถึงกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้ฉันกลับไปกินอาหารเพื่อรสลิ้นแบบเดียวกับที่แม่ของฉันนิยม แม่ของฉันเป็นนักวิจารณ์อาหารผู้มีมานะในการรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารบนโลกกลมๆ ที่แสนจะบิดเบี้ยวใบนี้ ผู้คนแย่งชิงกินโลกราวกับว่าโลกนี้คือมะม่วงสุกอันหอมหวาน พร้อมให้คนทั้งโลกวัตถุกัดกินอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเนื้อมะม่วงมันมีหมดมีสิ้น เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วฉันก็คิดถึงบทกลอนที่ครูภาษาไทยสอนไว้ ก่อนลงครัว

อันความเมตตาปรารถนาดี
ดุจดั่งมีน้ำทิพย์ชะโลมหล้า
สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างพึงหา
เวทนาชีวิตที่ทุกข์ทน

ต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลี

ฉันจำสูตรบางส่วนมาจากแม่ชีนิดที่ดำเนินชีวิตตามรอยมังสวิเรี่ยนที่ดีเป็นเวลาสิบปี ฉันจึงทำเลียนแบบแม่ชีนิดได้ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะแม่ชีนิดรับประทานอาหารรสจืดมาก ส่วนฉันถนัดทางรสเค็มนิดหน่อยเพื่อการประหยัดกับข้าว เน้นกินข้าวเยอะๆ แต่ข้าวต้องเป็นข้าวกล้องหุงสุกใหม่ เมล็ดเรียวยาวหอมนุ่มเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ส่วนผสม

เต้าหู้ขาวยี่ห้อใดก็ได้ แต่ฉันชอบใช้ตราเกษตร 1 หลอด
แครอตหั่นลูกเต๋า 1 อุ้งมือ
กะหล่ำปลีดาว 1 ถ้วยตวง
เห็ดหูหนู 10 ดอกเล็ก
น้ำฝนจากธรรมชาติ 1 ลิตร
เกลือนิดหน่อย
พริกไทยนิดหน่อย
ซีอิ๊วขาวนิดหน่อย
หอมเจียวนิดหน่อย

ฉันตั้งหม้อขนาดย่อมบนเตาอั้งโล่ซึ่งมีอยู่ 4 ตัว ในครัววัด เตาถ่านถูกวางไว้บนชั้นซีเมนต์ เชื่อมติดกับกำแพงเหนือพื้นขึ้นไปสองไม้บรรทัด รินน้ำฝนที่รองไว้ในช่วงหน้าฝนลงในหม้อ ที่วัด น้ำถูกกักเก็บในแท๊งก์น้ำเพื่อใช้สอยตลอดปี ดูไฟบนรังผึ้งว่าลุกลามกระทั่งตัวถ่านเป็นสีแดงหรือยัง ถ้ายัง ก็อย่าเพิ่งตั้งหม้อ เพราะก้นหม้อจะดำ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำกับข้าว เหมือนกับก้นหม้อดำทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่ทำให้คู่รักหลายคู่เลิกรา ทั้งๆ ที่ตอนรักกันก็รักกันปานจะกลืนกิน

น้ำเดือดแล้วก็ใจเย็นไว้ ฉันโยนแครอตหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก้อนใหญ่หลายก้อนเชียว ลงไปในหม้อ ด้วยอารมณ์ไม่ประสาโลก เพราะกำลังตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ฝึกอานาปานสติพร้อมๆ กับ ทำกับข้าว ชั่วครู่ฉันก็โยนกะหล่ำปลีดาวลงไปอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสตินั้นไม่เพ่งและไม่เผลอ ฉันคือกะหล่ำปลีเหล่านั้น ฉันหันไปปิ้งปลาให้แม่ชีท่านอื่นสักพัก ส่วนประกอบทั้งสองสุกและยังไม่เละ เติมเห็ดหูหนูและเต้าหู้ขาวที่หั่นเป็นชิ้นพอคำลงไปด้วย ท้ายที่สุดปรุงรสด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว เคล็ดลับคือ ใส่เครื่องปรุงแล้วรอน้ำเดือดชั่วอึดใจก็ยกลงจากเตาอั้งโล่ เพื่อไม่ให้น้ำซุปขุ่น ขั้นตอนสุดท้ายคือโรยหอมเจียวลงบนต้มจึดจะหอมมาก

ฉันเสิร์ฟเมนูนี้ในชามอ่างสังกะสีคล้ายๆ กะละมัง เพื่อถวายหลวงพ่อมื้อเพล หลวงพ่อชอบอาหารของฉันหรือเปล่า ฉันไม่มีทางรู้ เพราะท่านไม่เคยบอก แม้ว่าท่านจะฉันน้ำเต้าหู้และต้มจืดเต้าหู้ขาวกับกะหล่ำปลีเสียเกลี้ยงชาม ทว่าฉันไม่อาจทึกทักได้ว่า ท่านชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะฉันจะลงมือทำอะไร ท่านก็ชอบทั้งนั้น ฉันเก็บจานชามและปิ่นโต พลางนึกเสียดายถ่านที่ทิ้งไว้ในครัว น่าจะปิ้งกล้วยไว้กินยามหิว ฉันคิดขณะมีสติ

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

ซีรีส์ปริศนาลับเจ้าชาย Ukhow

ตัวละคร
เท็ดดี้—หนุ่มนักเรียนนอก ลูกครึ่งไทย-อมริกัน-จีน ทายาทเศรษฐีธุรกิจน้ำมันในเมืองจีน ผู้เรียนเก่งที่สุดในภาควิชาปรัชญาและวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน นอกจากนี้ยังหน้าตาดี ขาว-หล่อ-ตี๋ แถมยังเป็นเพลย์บอยที่เดตกับสาวๆ คนดังทั่วรัฐนิวยอร์ก พักการเรียนหนึ่งปีเพื่อเดินทางมาเมืองไทย ลงทุนทำธุรกิจการเกษตรกับเพื่อนสมัยไฮสคูล พร้อมทั้งเป็นนายแบบให้นิตยสารชื่อดัง จนจิลล์คิดว่าเขาเป็นพวกสมองกลวง แต่ที่จริงแล้ว เขาคือUknow ชายในฝันที่จิลล์ฝันหา

จิลล์—สาวโบฮีเมียนที่เฉิ่ม เชย หน้าตาพื้นๆ ฐานะทางบ้านจนสุดๆ แถมยังกู้เงินจากรัฐบาลเรียนวิชาปรัชญาและวรรณคดีในมหาวิทยาลัยรัฐบาลไทย แทนที่จะเรียนวิชาบริหารธุรกิจเพื่อสร้างความร่ำรวยแก่เธอ จิลล์ทำงานที่ร้านขายขนมเค้กใต้ตึกที่เท็ดดี้ทำงาน พร้อมๆ กับเรียนไปด้วย เธอปฏิญาณว่าจะไม่รักใครจนกว่าจะพบคนที่หล่อ ฉลาด นิสัยเอื้ออารี และที่สำคัญต้องรักเธออย่างที่เธอเป็น ถ้าเธอไม่พบคนนั้น เธอจะตัดสินใจบวชตลอดชีวิต

คริสตี้—เจ้าของร้านขนมเค้กวัย 18 ปี นักเรียนไฮสคูลโรงเรียนอินเตอร์ชั้นปีสุดท้าย กำลังเปิดธุรกิจความงามจากเกาหลี และส่งคนไปศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลี อยากเป็นแฟนเท็ดดี้ตั้งแต่ที่ยังไม่รู้ว่าเท็ดดี้รวย จึงกลั่นแกล้งจิลล์ต่างๆ นานา เพื่อที่จะไม่ให้เท็ดดี้จีบจิลล์สำเร็จ

อาจารย์กุ๊กกู๋—อาจารย์ที่ปรึกษาของจิลล์และเป็นรุ่นพี่ของเท็ดดี้ที่พรินซ์ตัน เป็นคนเชื่อมโยงหัวใจให้จิลล์กับเท็ดดี้รักกันอย่างลับๆ
อเคมิส—เพื่อนสนิทจิลล์ที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายที่พาจิลล์เข้าวัดยามที่จิลล์มีปัญหา เป็นเพื่อนแท้ของจิลล์

ธุลี—เพื่อนสมัยไฮสคูลของเท็ดดี้ ดำ ร่างใหญ่และไม่หล่อ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคริสตี้ แต่สุดท้ายก็รักกัน เขาเลิกเรียนหนังสือหลังจากจบไฮสคูลจากอเมริกา กลับบ้านมาช่วยพ่อแม่ทำฟาร์มวัวฟาร์มควายที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมๆ กับพัฒนาพืชผลทางการเกษตรไทยร่วมกับเท็ดดี้เพื่อส่งออกทั่วโลก

เรื่องย่อ

ระหว่างที่เท็ดดี้เดินทางมามหาวิทยาลัยที่จิลล์เรียน เพื่อมาหาอาจารย์กุ๊กกู๋ เขาเผลอขับรถชนจิลล์ที่ลานจอดรถ ทำให้เสื้อผ้าสไตล์โบฮีเมียนที่เก่าแสนเก่าขาดจนเห็นร่องอก ทำให้เธออับอายและร้องแรกแหกกระเชอให้เท็ดดี้รับผิดชอบโดยการจ่ายเงินค่าสินไหมให้ แต่เท็ดดี้กลับไม่สนใจ โยนเสื้อมียี่ห้อที่เก็บไว้ในรถให้เธอใส่แทน แล้วก็เดินจากไป สร้างความคับแค้นใจให้กับจิลล์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งเธอไปที่ศาลหลวงปู่เง็งตี๊ง เพื่อขอพรให้เจอเท็ดดี้อีกครั้ง เพื่อจะได้แก้แค้น ที่นั่น จิลล์ก็ได้พบกับคริสตี้ที่มาไหว้พระขอพรขอให้กิจการร้านขนมเค้กเจริญรุ่งเรือง และมาขอฤกษ์ดีเปิดกิจการความงามกับหลวงพ่อ คริสตี้เห็นจิลล์ร้องไห้ฟูมฟาย ดูจนๆ อย่างกับคนจรหมอนหมิ่น จึงหยิบยื่นน้ำใจให้เศษเงินสองร้อยบาท แต่จิลล์กลับไม่รับ บอกว่าตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่รับเงินจากเด็กมัธยมฯ แม้จะจนแต่ก็มีศักดิ์ศรี ทำให้คริสตี้เห็นคุณค่าในตัวจิลล์ อยากให้มาดูแลร้านเค้กที่อีกหน่อยหล่อนจะไม่ค่อยได้ดูแล เพราะกำลังจะเปิดธุรกิจใหม่ คริสตี้เสนองานให้จิลล์ จิลล์ขอบคุณและรับไว้อย่างซึ้งใจ ที่ร้านของคริสตี้ จิลล์ได้รู้จักกับธุลีที่มาเป็นลูกค้าประจำ พร้อมกับเท็ดดี้ที่มาพร้อมกันสม่ำเสมอ จิลล์จึงนึกถึงคำอธิษฐาน และพยายามแก้แค้นเท็ดดี้คืน ด้วยการชงกาแฟไม่อร่อยและเสิร์ฟเค้กที่ชิ้นเล็กกว่าปรกติให้ทุกๆ วัน จนกว่าจะหายแค้นใจ แต่แล้วกลับเกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานาและทุกครั้งจิลล์คือผู้ผิด คริสตี้ก็จะคอยกลั่นแกล้ง และทุกครั้งเช่นกันที่จะมีมือที่มองไม่เห็นจากคนที่ชื่อ Uknow คอยช่วยเหลือ จิลล์จึงกลับไปไหว้ศาลหลวงปู่เง็งตึ๊งอีกครั้ง เพื่อขอพรให้พบกับUknow จิลล์เสี่ยงเซียมซี คำทำนายบนเซียมซีบอกเล่าอนาคตไว้อย่างแม่นยำและเป็นปริศนา แล้วทุกๆ อย่างในคำทำนายต้องใช้ความรักคลายปมปริศนา

บทนำ

“I know you are not busy, let’s take a break. How long we have ever met. Four year!!!”
ให้เสียงซับไตเติ้ลไทยได้ว่า ผมรู้ว่าคุณไม่ยุ่งหรอก พักสักครู่เถอะ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ตั้งสี่ปีแน่ะ!!!
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงไทยตอบกลับมาว่า “มาที่ร้านกาแฟใต้คณะฉัน มีมุมม้าหินอ่อนน่านั่งเล่นรอคุณอยู่” แล้วสายก็ตัดไป
เอี๊ยด!!! ปึ๊ก!!!
เหมือนมีก้อนกลมๆ อะไรสักอย่างโดนไฟหน้ารถ เท็ดดี้ลงจากรถดูเหตุการณ์
“โฮ่ะ! นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นพวกคนรวยๆ ตัวขาวๆ ขับรถไม่ระมัดระวังคนเดินเท้า เนื้อคนนะคู้ณ ไม่ใช่เหล็กจะได้มีกันชนไว้กันพวกคนไม่ระมัดระวังขับรถชุ่ยๆ ชนได้เล่นๆ ถือว่าอ็อปชั่นเยอะ แล้วจะคิดว่าตัวดีกว่าทุกคนหรือไง ฉันมีสิทธิบนถนนเหมือนกัน ไม่ใช่ถือว่ามีรถแล้วจะไม่รอบคอบ ขับรถไป คุยโทรศัพท์ไป ใจลอยล่ะสิ ถ้าโลกนี้มีแต่พวกไม่รับผิดชอบอย่างคุณ จะมีกฎเกณฑ์ กฎหมายไว้ทำม๊าย” จิลล์นั่งจ้ำเบ้าบ่นอีกฝ่ายกลางพื้นถนนลานจอดรถ
เท็ดดี้หรี่ตาที่ตี่อยู่แล้ว มองที่กลางอกของอีกฝ่าย
‘อีตานี่บ้าแน่ๆ ฉันด่าเป็นชุดแล้วยังมองอยู่ได้ ไม่บ้าก็ซื่อบื้อ เอ้า!!! เชื่อแกงไก่ร้านอาหารปักษ์ใต้ใต้คณะกินได้เลย แต่ตอนนี้ฉันแอ๊บเจ็บอยู่ แอบเอาขาถูกับพื้นให้ถลอกๆ ดีกว่า’
“โอ๊ย เจ็บขาจัง” จิลล์บ่นพร้อมทำหน้าตาเจ็บกว่าเจ็บจริงยี่สิบเท่า
‘เจ็บก็แล้ว ทำตาขุ่นขนาดนี้ก็แล้ว (ให้จินตนาการถึงสายตาที่แม่ดุคุณเวลาสอบตก) เขายังทอดสายตากระลิ้มกระเหลี่ยอยู่ได้ หน้าตาฉันก็เหมือนคนขายตั๋วหนังที่หาได้ถมเถตามโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ กระโปรงก็ยาวเชยสะบัด ไม่เห็นขาขาวๆ ของฉันหรอกจะ มองอะไรย๊ะ’
เท็ดดี้เพิ่งนึกได้ว่าต้องอาย จึงหันหน้ามองไปทางอื่น เขาเดินกลับไปที่รถแวนสีบลอนด์ หยิบเสื้อยืดผ้าเนื้อดีจากท้ายรถให้จิลล์ แล้วเดินจากไป
“โว้ย! หยุดก่อน นายน่ะ จะไม่รับผิดชอบฉันใช่ไหม” จิลล์ตะโกนและกำลังจะวิ่งตามไปแต่ก็พบว่า ในมือมีเสื้อของเขาอยู่ เขาจะให้มาทำไมนะ ในเมื่อก็ใส่เสื้อที่แม่ซื้อให้เมื่อสิบปีที่แล้วอยู่นี่นา
“เธอ ทำไมไม่ใส่เสื้อซะล่ะ นี่มันในมหาวิทยาลัยนะ” ใครไม่รู้ที่กำลังเดินผ่านสะกิดบอกจิลล์
‘ฉันพบว่าเสื้อติดกระดุมหน้าของฉัน เม็ดกระดุมร่วงระนาว เห็นร่องอกขาวๆ และนมใหญ่เบิ้มที่ฉันต้องใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ อำพรางไว้เสมอ เพราะความเชื่อที่แม่ฉันปลูกฝังว่า คนนมใหญ่จะไม่ฉลาด คนนมเล็กสิ ถึงมีมันสมองเหมือนผู้ชาย ฉันไม่อยากเหมือนผู้ชาย และก็ไม่อยากโง่ด้วย ก็เลยใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ไว้จะได้ไม่มีใครรู้ไซส์รอบอก 36 คับซีของฉัน แต่แล้วกลับเป็นไอ้หนุ่มหน้าแมวที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นอกขาวๆ ที่ใหญ่เกินพิกัดจนได้ แงๆๆๆๆ’
พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วย!!!!