วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Arrow Advertorail



Arrow แบบฉบับเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษตัวจริง

ด้วยดีไซน์คลาสสิกหยิบจับมาใส่กี่ครั้งกี่คราก็ไม่เคยล้าสมัย ตอกย้ำให้เสื้อผ้าแบรนด์ Arrow อยู่คู่ใจคู่กายผู้ชายเสมอเหมือนเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ ผู้ไม่เคยทำให้ภาพลักษณ์มาดสุภาพบุรุษชายใดด่างพร้อยมายาวนานกว่า 150 ปี วันนี้ Arrow ยังคงนำเสนอสิ่งใหม่ท้าทายคลังเสื้อผ้าคุณผู้ชายไม่ขาดตกบกพร่อง ภายใต้ทีมงานที่มีชื่อเสียงของ Phillips-Van Heusen (เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายชั้นนำหลายยี่ห้อ อาทิ Calvin klein, Van Heusen และ IZOD) เสื้อผ้าของแอร์โรว์ ไม่ว่าจะเป็นเชิ้ตทำงานผู้ชายซึ่งเป็นไอคอลไอดอลให้แบบเชิ้ตผู้ชายอีกหลากหลายแบรนด์ แตกย่อยรวมไปถึงแอกเซสซอรี่ของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก จึงย้ำความสำเร็จได้ว่า Arrow คือชัยชนะของไลฟ์สไตล์เครื่องแต่งกายตัวจริง

(ล้อมกรอบ) แอร์โรว์เกิดจากไอเดียของผู้หญิงนิวยอร์กคนหนึ่ง ผู้ฝ่าความสามารถทำให้เชิ้ตธรรมดาดูสดชื่น เรียบคม ทนทานโดยไม่ต้องผ่านการซักรีด หลังจากนั้นก็เกิดกระแส "The Arrow Collar Man" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความนิยมอย่างแพร่หลายของเสื้อเชิ้ตแอร์โรว์ ที่ดีไซน์โดยอาร์ตติส J.C. Leyendecker นิยมสูงสุดถึงขั้นประธานาธิบดีแห่งสหรฐอเมริกายังตบเท้าเป็นแฟนประจำของแบรนด์ หลังจากอยู่ภายใต้ร่มเงาการผลิตของ Cluett American Group มายาวนาน ตั้งแต่ ค.ศ. 2004- ปัจจุบัน PVH หรือ Phillips-Van Heusen Corporation บริษัทออกแบบ ดำเนินการผลิต และทำการตลาดเสื้อผ้าชั้นนำชื่อดัง สืบทอดตำนานเสื้อผ้าแบบฉบับ Arrow ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ทั้งยังพัฒนาชิ้นงานอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง

สุภาพคงที่ เท่คงทน

จารจำหัวใจผู้ชายมีระดับหลายยุคหลายสมัย สำหรับเชิ้ตผู้ชาย Arrow ด้วยเนื้อผ้าที่มีคอตตอนเจืออยู่สูง จึงเปี่ยมประสิทิภาพการซับเหงื่อ การตัดเย็บละเอียดลออ มีรายละเอียด ทั้งยังคำนึงถึงรูปลักษณ์อันพิถีพิถันในทุกโอกาส เข้าธรรมเนียม "เรียบหรูทว่าไม่ล้ำ ทั้งยังไม่ช้ำและไม่มีวันเชย"

Arrow Men's Wrinkle Free Pinpoint Solid Long Sleeve

ผู้ใช้ส่วนมากประทับใจเชิ้ตรุ่นนี้ เพราะมีให้เลือกสองสี สีขาวและสีน้ำเงินอ่อนลาเวนเดอร์ ที่เพิ่มความหวานนุ่มให้กับชีวิต ผลิตจากผ้าคอตตอน 60 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 40 เปอร์เซ็นต์ คงคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ "Wrinkle Free" ไว้ครบถ้วน สร้างสรรค์ได้อย่างสวยงามและชาญฉลาด กระดุมติดตามยาวลงมากลางลำตัวปกคอแข็ง มีกระเป๋าด้านหน้าใส่ของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญซักเท่าไรเสื้อก็ไม่มีวันหดตัว ครบถ้วนเรื่องความสะดวกสบายและดีไซน์ที่ลงตัว

Arrow Men's Wrinkle Free Sateen Solid Long Sleeve

แคช่วลเชิ้ต มีสีเรียบๆ ให้เลือกหลากสี (Matte Colour) ใส่ได้ในวันทำงานทุกวัน ไม่มีเบื่อ เพราะทรงเสื้อที่ไม่เชย ดูภูมิฐาน สมราคา "ยี่ห้อไลฟ์สไตล์ ผู้ชายอเมริกันของแท้" ผลิตจากผ้าคอตตอน 67 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 33 เปอร์เซ็ฯต์ การเย็บแน่นหนา รีดเรียบง่าย-ผ้ายับยาก ปกชี้ตั้งตรง คงวัฒนธรรมเสื้อเชิ้ตแอร์โรว์ด้วยกระเป๋าเล็กด้านหน้า เพิ่มความหรูหรามาดคุณผู้ชายเมื่อจับคู่กับเนคไทเส้นสวยสักเส้น

Arrow Wild Orchid Dress Shirt in Purple

เชิ้ตแขนยาวรุ่นนี้มีสีม่วงเข้มเพียงสีเดียว ดูดีในแบบผู้ชายที่มีหัวใจรักแฟชั่น ทว่ายังคงเอกลักษณ์ความเคร่งขรึม ดูดี ไม่หลุดกรอบ ใส่ใจในรายละเอียดด้วยกระดุมยาวลงมาจากปก เม็ดกระดุมสีเทาเข้ม รังดุมผ่าตรง เนื้อผ้าเรียบง่ายยังยาก ผลิตจากคอตตอน 65 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์ 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นมิตรต่อการซักทำความสะอาดและซักแห้ง

เขียนหน้า Advertorail


Beautilicious Lip Paints Liquid Lipstick


Beautilicious Dessert Bar



Beautilicious Arch It Right Kit

วาดลวดลายบนผืนผิวสาวให้สวยมาแล้วทั่วโลก Beautilicious สำหรับแบรนด์เครื่องสำอางหน้าใหม่ ภายนอกรูปลักษณ์สวยใสกิ๊กน่าใช้ ภายในแน่นด้วยคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ด้วยความเชี่ยวชาญจากเมกอัพ อาร์ตติส ฝีมือเก๋าที่สั่งสมประสบการณ์มาช้านาน คุมบังเหียนบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำหลากหลายแบรนด์ จึงไม่ประหลาดใจว่า Beautilicious ตอบโจทย์สาวๆ ผู้รักการรังสรรค์ผิวพรรณให้โดดเด่นเหนือใคร ทั้งด้านเทคนิคเคล็ดลับสารพันความสวย--ส่วนผสมจากประเทศอิตาลี รังสรรค์จากโรงงานผลิตที่เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพ และคุณภาพที่ใส่ใจ ถนุถนอมผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ทั้งยังเป็นมิตรกับธรรมชาติ จึงแน่ใจว่า ผลิตภัณฑ์ของ Beautilicious เหมาะแก่สาวๆ ผู้ไม่เคยหยุดสวยและฉลาดคิดฉลาดใช้เป็นที่สุด

3 ชิ้น ก็เดิ้นได้

ผู้หญิงนี่คะ ความสวยความงามเป็นเรื่องไม่ควรหลีกเลี่ยงและเสียไม่ได้ ยิ่งไปแจมปาร์ตี้เลิศๆ กับหมู่เพื่อนฝูงด้วยแล้ว รอช้าอยู่ไยคะ เติมความเก๋ไก๋ให้คิ้ว-ปาก-ดวงตา เพียงแค่นี้วงหน้าก็เด่นเดิ้นเหนือใคร รับรองว่า ปาร์ตี้คราวนี้...ราชินีของงานไม่ใช่ใครอื่น คุณนั่นแหละค่ะ!!! xoxo

Beautilicious Arch It Right Kit

คุณก็มีคิ้วไอคอนดั่ง บรู๊ค ชิลด์ส นาตาลี พอร์ตแมน หรือ เซ็กซี่ ไอคอน อย่าง สการ์เล็ต โจฮันสัน ได้ไม่ยาก เติมเต็มความสวยสมบูรณ์แบบด้วยเซ็ต อาร์ค อิต ไรต์ คิต ตกแต่งด้วยลายฉลุแบบคิ้ว 4 แบบ เลือกให้เหมาะกับรูปหน้า สะกัดวิธีถอนขนแบบเจ็บๆ ด้วยคีมหนีบคุณภาพ และเฉดสีแต่งคิ้วหลากหลาย เลือกให้เหมาะกับวาระและโอกาส มาพร้อมคู่มือแสนสะดวกใช้ ราวช่างแต่งหน้ากระซิบแนะนำข้างๆ หู หมดปัญหาเรื่องกันคิ้วเพลินถากจนเว้าแหว่งหรือกันคิ้วเท่าไรก็ไม่ได้รูป ชิ้นงานเปี่ยมประสิทธิภาพที่ Beautilicious ภูมิใจนำเสนอ สวยเลือกได้ของแท้

Beautilicious Dessert Bar

ทบทวีความหวานดั่งลูกกวาดหลากสีสวยให้ดวงตาหวานปิ๊ง เซตอายแชโดว์แพ๊กเกจจิ้งสวยด้วยรูปลายคัพเค้กน่ารัก สีสันน่ากิ๊น...น่ากิน ดั่งคัพเค้กของแมกโนเลีย ที่นิวยอร์ก นำพาสาวๆ ฉีกรูปแบบความสวยอันซ้ำซาก ด้วย 4 เฉดสี--เขียว ฟ้า เหลือง ชมพู โทนพาสเทล เปล่งประกายด้วยซิมเมอร์เนื้อซาติน 3 มิติ สะกดทุกสายตาให้สะดุดหยุด หันหน้า เหลียวหลัง ชะงักงัน มองคุณ

Beautilicious Lip Paints Liquid Lipstick

คิ้วเด่น ตาเด้ง ปากสวยอย่าให้ขาด แต่งแต้มความสวยงามอิ่มเอิบด้วยลิป เพ้นต์ ที่มีความเงางามสูง สีสันเข้มข้น ด้วยเฉดสีหวานแหววน่ารัก ถึง 6 เฉดสี เพิ่มประสิทธิภาพบำรุงสุขภาพผิวริมฝีปากด้วยส่วนผสมของวิตามินอีที่ไม่เหนียวเหนอะรำคาญปาก เท่านี้ก็สวยเซ็กซี่ สมบูรณ์แบบ พร้อมลุย!!!

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมื่อมื้ออาหารราคาฟรีเป็นส่วนหนึ่งของงานนักเขียน



งานแต่งงานของนักเขียนอาหาร Josh Ozersky และ Danit Lidor ในวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาในแมนฮัตตันสร้างประสบการณ์สำคัญประทับใจนักกิน

มวลเมฆมากมายเหนือบาร์รูฟท็อปของโรงแรมเอ็มไพร์ อากาศหายใจโล่งอกโล่งคอ ลมเย็นๆ ดลให้พื้นผิวนำในสระว่ายน้ำนิ่งงัน แขกเหรื่อมากกว่า 100 คน รับประทานขนมปังจาก Silliuam Street Bakery ของ จิม ลาเฮย์ จิ้มดิ๊บที่ทำโดยพ่อครัวชาวตุรกี--เชฟ Orhan Yegen พ่อครัวซีฟู๊ดผู้มีชื่อเสียง-เชฟ Ed Brown โชว์ฝีมือจี่หอยเชลล์สดๆ ลาซาญ่าแสนอร่อยผลิตโดย Michael White เชฟของ Merea Alto และ Convivio

เชฟที่ดีที่สุด--Mark Pastore หัวหน้าฝ่ายควบคุมของ The Pat LaFrieda meat company ผู้สนับสนุนเนื้อสตริปลอยด์ดรายเอจรสเยี่ยมจากฟาร์มครีกสโตน Jeffrey Chodorow หุ้นส่วนบาร์และร้านอาหารหรูระยับในนิวยอร์กกและที่อื่นๆ มอบสิ่งที่ดีที่สุดตามธรรมเนียมฮิบรู

อย่างไรก็ตาม, นายโอเซอร์สกีไม่บอกว่า เขาไม่ได้จ่ายเงินค่าอาหารหรืองานจัดเลี้ยงเลย ซึ่งถูกตั้งคำถามโดยนักเขียนวิจารณ์ร้านอาหาร Robert Sietsema บนเว็ปไวต์ Village Voice แล้วเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วโอเซอร์สกีอธิบายลาซานญ่า เค้กแต่งงานสูง 5 ชั้น สร้างสรรค์โดยเชฟขนมหวานของ Mr. White และใช้บาร์ของโรงแรมเอ็มไพร์แสดงเจตนาต่อธารกำนัลเพื่อนสนิทว่า เขาร้องขออาหารมากกว่าคริสตัลหรือเครื่องเคลือบ เมื่อบรรดาเชฟถามถึงของขวัญให้คู่แต่งงาน

"บ๊อบดูเหมือนจงใจให้รู้สึกแย่ๆ เพื่อขู่บังคับขอลาซานญ่า" คำพูดของนายซีเซม่า

ผู้วางแผนงานอีเว้นต์แต่งงานประเมินค่าราคาอาหารและเครื่องดื่มไว้ประมาณ 200-800 ดอลล่าร์ค่อคน ราคาผกผันขึ้นอยู่กับอาหารและเครื่องดื่มที่เลือกไว้ ซึ่งไม่ได้รวมค่าเชฟชื่อดังแต่อย่างใด ทว่า งานแต่งงานก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่าย นายโอเซอร์สกีกล่าว "เริ่มโต้เถียงกันในหมู่เชฟ ประชาสัมพันธ์และนักเขียนประชาสัมพันธ์ ส่งที่ปฏิบัติกันมานาน เป็นวนเวียนของการแลกเปลี่ยนมื้ออาหารฟรีๆ กระนั้น ก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องตอบแทน เจ้าของร้านอาหารขอร้องหรือไม่ก็เรียกร้องให้มื้ออาหารฟรีๆ สำหรับนักเขียนบล็อกอาหาร แมกกาซีน เว็บไซต์และไกด์ร้านอาหารออนไลน์ เพื่อให้ร้านอาหารของตนเป็นที่แพร่หลาย ในบทสัมภาษณ์ของนายซีตเซม่ากล่าวว่า นี่เป็น "พื้นที่มืดซึ่งป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์" ถูกผลิตภายใต้สภาพไร้กฎเกณฑ์แน่ชัด (ไม่มีข้อห้ามนั่นเอง)

ทว่า สำนักพิมพ์บางแห่ง อาทิ หนังสือพิมพ์ The New York Times ที่ห้ามนักเขียนรับมื้ออาหารฟรีเพื่อลงข่าวโดยเด็ดขาดและเสมอมา ซึ่งก็มีองค์กรสื่ออื่นๆ ใช้นโยบายนี้เช่นกัน เจนนิเฟอร์ บลูม ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ Mr. White Mr. Chodorow และร้านอาหารชื่อดังอื่นๆ ในนิวยอร์ก กล่าวว่า จำนวนร้านอาหารมากมายที่ต้องการให้ประชาสัมพันธ์มื้ออาหารฟรีเพิ่มมากขึ้นๆ ในไม่กี่ปีมานี้ โจอี้ แคมปานาโร เชฟและเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง Little Owl ในกรีนวิช วิลเลจ กล่าวว่า เขารับคำเรียกร้องขอโต๊ะอาหารฟรีมากมายจากเว็บไซต์ที่อ้างตนว่าเป็น "ซากัตหรือมิเชอลิน ไกด์ หน้าใหม่"

"ผมไม่ชอบเส้นทางนั้น ซึ่งเป็นการไม่ซื่อสัตย์ที่ต้องใช้ของกำนัลล่อให้ใครสักคนช่วยคุณ" แคมปานาโรกล่าว

ความสัมพันธ์อย่างเป็นมิตรระหว่างเชฟ บรรณาธิการ นักเขียนประชาสัมพันธ์และนักเขียนอาหาร มีความสำคัญและน่าสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ทว่าบางคนกล่าวว่า ความสัมพันธ์เหล่านั้นนำพาไปสู่ความยุ่งยาก

"เราต้องการนักเขียนและนักเขียนก็ต้องการเรา" แซม ไฟเออร์ ประชาสัมพันธ์บริษัท The Hall Company "คนเขียนประชาสัมพันธ์และนักเขียนหลายต่อหลายคนไม่สามารถจ่ายมื้ออาหารราคาแพงเพื่อเขียนได้" เขากล่าวอีกว่า "คุณต้องหวังว่าบางคนไม่ได้อยากทำลายสิทธิพิเศษนั้น" แล้วเสริมอีกว่า "ทว่า นักประชาสัมพันธ์ คนเขียนข่าวบางคน ไม่ได้อยู่ในรายชื่อแขกที่ถูกเชิญ เพราะว่าบางคนเป็นแค่นักเขียนอาหารงานโหลดฟรี"

เรื่องราวของการแลกเปลี่ยนอาหารแทนค่าใช้จ่ายเริ่มเพิ่มความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เชฟหลายคนกล่าวว่า เพราะความแตกต่างเรื่องกำไรนั้นน้อยกว่าที่เคย

"ไม่มีใครสามารถให้มื้ออาหารฟรีในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้" สก็อต โคเนนต์ เชฟและเจ้าของร้านอาหาร Scarpetta กล่าว "ผมมีลูกจ้าง 300 คน ที่ต้องคิดถึงเป็นลำดับแรก"

แม้ว่านายโอเซอร์สกีดูเหมือนอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่อยู่ในวงจรนี้ ในปี 2006 อดัม โรเบิร์ต เขียนไว้ในบล็อก Amateur Gourmet ว่า เขายอมรับมื้ออาหารที่ทำด้วยทรัฟเฟิลขาวฟรีๆ ของอแลง ดูกาส์ ในนิวยอร์ก ตีราคาเป็นมูลค่าสูงถึง 320 ดอลล่าร์ -ขณะนั้นนายโอเซอร์สกี บรรณาธิการที่ Grub Street ฟู๊ดบล็อกแมกกาซีนในนิวยอร์ค เรียกเขาว่า "วงจรการได้รับและตอบแทนระดับเวิล์ดคลาส" และเตือนว่า "มันเป็นผลพ่วงของกำไรซึ่งบิดเบือนความถูกต้อง ถ้าคุณยังเก็บมันไว้" โรเบิร์ตกล่าวว่าประสบการณ์สอนเขาว่า ให้หยุดมื้ออาหารฟรีจากร้านอาหาร หลังจากนั้น นายโอเซอร์สกี ผู้เขียนให้ The New York Times กลายเป็นเสียงที่มีอิทธิพลในวงการสื่อสารมวลชนด้านอาหารในรอบ 10 ปีนี้ เขาเขียนบทความให้ไทมส์ แมกกาซีนและเขียนคอลัมน์รายสัปดาห์ใน Time.com

หลังจากบทความถูกตีพิมพ์ ไทมส์กล่าวว่า บทความเปิดเผยว่า อาหารและสถานที่ที่ใช้นั้นเป็นของกำนัล เป็นสิ่งที่มาจากชีวิตส่วนตัวที่ผูกกับเหล่าเชฟอย่างถูกต้อง "โจช เข้าใจว่าการเปิดเผยเป็นสิ่งที่ต้องทำในอนาคต" ต้นสังกัดกล่าว ทว่า ไทมส์ ไม่ได้ให้คำตอบคำถามอื่นๆ เกี่ยวกับนโยบายรับของขวัญจากแหล่งข่าว

โอเซอร์สกีย้ำสถานะเขาชัดเจนในคอลัมน์ เขียนไว้ว่า "มันจะทำลายถ้าผมไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดมากขึ้น" เขาต่อสู้เรื่องความสัมพันธ์บบรรดาเชฟ และยังกล่าวอีกว่างานของเขาเป็น "การวิจารณ์และขยายความกระแสในแวดวงอาหาร" ไม่ได้ประพฤติในฐานะนักวิจารณ์นิรนาม

แปลและย่อความจากบทความใน The New York Times เขียนโดย จูเลีย โมสกิน

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Modern Manner แลกอาหารกันชิมและการเป็นเจ้าบ้านงานเลี้ยงอาหารค่ำ



แลกอาหารกันชิม

ถ้าคุณสั่งปลาทว่าสเต๊กในจานของเพื่อนก็ดูดี-น่ากิ๊น...น่ากิน จะทำอย่างไร?

John Morgan ผู้รอบรู้เรื่องมารยาทของเดอะไทมส์ กล่าวว่า "เพื่อนร่วมรับประทานอาหารค่ำที่มารยาทดีที่สุดคือ ผู้ยื่นอาหารที่ตนสั่งให้เพื่อนชิม ก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหาร" นั่นคือความเฉลียวฉลาดสูงสุดจริงๆ

การเป็นเจ้าบ้านงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำ

นักเขียนในสมัยโรมันเขียนบทความสำรวจอันแสนชาญฉลาดว่า "พวกเราไม่เชิญแขกมาดื่มกิน ทว่าเรากินและดื่มด้วยกัน" เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยถึง 2,000 ปี หรือถ้าคุณกังวลว่าเพื่อนของคุณต้องการอาหารสักมื้อ คุณควรส่งห่ออาหารให้ ซึ่งในตอนนั้นจุดประสงค์หลักของงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำคือวงสังคม ชักชวนผู้คนมารวมกันเพื่อกินขนมปังอร่อยๆ เล่นเกมอาฟเตอร์เอ้ต และวี๊ดว๊ายชื่นชมความสามารถการทำขนมปัง ขนมอบทั้งหลาย

รายชื่อแขกนั้นสำคัญที่สุด ธรรมชาติของคนนั้นอยากเชิญคนหน้าเก่าซำแล้วซ้ำเล่า (ทั้งหมดทั้งปวง เพราะพวกเขาเหล่านั้นง่ายๆ รู้ดีว่าเจ้าบ้านทำอาหารอร่อยแค่ไหน ดังนั้น เจ้าบ้านเองนั่นแหละที่หายห่วง ไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างความประทับใจให้เหนื่อย) ทว่า งานเลี้ยงที่ยอดเยี่ยมขึ้นอยู่กับการผสมผสานแขกเหรื่อไว้ด้วยกัน เพื่อนเก่า คนรู้จักหน้าใหม่ คนที่คุณเลี้ยงอาหารตั้งแต่ในยุคที่คุณประสบความสำเร็จครั้งแรกๆ คนมากมายมองหาและเชิญคนที่มีความสนใจร่วมกันเป็นปรกติ แม้ว่ามันจะทำให้บทสนทนายาวยืด หนักแน่น และมีการคัดค้านทัศนคติที่ตนสนใจ

ถ้าคุณตัดสินใจเชิญแขก ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ระบบไปรษณีย์หรือจดหมายอีเลคทรอนิคส์ โทรศัพท์หรือถาม-บอกกันซึ่งๆ หน้า คุณควรจะเว้นระยะห่างเพื่อการตัดสินใจสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อคิดวางแผนคำขออภัยที่ทำให้เจ้าบ้านยอมรับได้ เจ้าบ้านผู้ฉลาดให้โอกาสแขกไตร่ถามว่า ดินเนอร์ที่จะเกิดขึ้น อยากให้มีอาหารพิเศษอะไร แล้วไม่รับประทานอะไรบ้าง ซึ่งมันจะทำให้คุณหงุดหงิดน้อยกว่าที่จะมองดูแขกเขี่ยวัตถุดิบที่ไม่รับประทานในอาหารที่คุณลงมือทำเป็นชั่วโมงๆ ทิ้ง

ดังนั้น เมื่อเวลาอาหารค่ำมาถึง อาหารที่คุณบรรจงทำ หลังกริ่งประตูบ้านดังขึ้น งานแรกของคุณคือทักทาย แล้วส่งเครื่องดื่มให้บรรดาเพื่อนพ้อง การเดินทางมาเยือนเรียกความกระหายน้ำพอสมควร เครื่องดื่มเย็นและที่นั่งนุ่มสบาย ช่วยให้ร่างกายโล่งโปร่งขึ้น หลังจากนั้นอาจจะเปิดทีวีให้ชม หรือเดินไปที่ครัว หาขนมหรือสเน๊กกรุบกรอบให้แขกเหรื่อ

การวางแผนลำดับที่นั่งอาจมองว่าโบราณ ดูเหมือนเรื่องงี่เง่า แต่เป็นหนทางที่ดีที่แสดงให้เห็นความสามารถพิเศษเพื่อสร้างรูปแบบทางสังคม Emily Post กูรูเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติให้คำแนะนำไว้ว่า "มีข้อผิดพลาดสมำเสมอเรื่องการเชื้อเชิญคนพูดคุยให้ยอดเยี่ยม ผู้ชายฉลาดและผู้หญิงผู้รักการพูดคุยต้องอยู่กับผู้ฟังที่ดี ไม่ใช่คู่แข่ง คนที่เงียบมากๆ ควรถูกประกบด้วยคนคุยสนุก คนโง่งี่เง่าไม่ควรอยู่ใกล้ผู้รอบรู้ และคนทื่อบื้อก็ไม่ควรอยู่ใกล้คนฉลาด เว้นแต่คนทื่อบื้อคนนั้นยังเอ๊าะๆ และเป็นผู้หญิงสวยน่ารักควบคู่กับมีทักษะเป็นผู้ฟังที่ดี และคนฉลาดผู้นั้น เป็นชายที่ชื่นชมความสวยงามและรักการพูดคุย"

เมื่อจบมื้ออาหารแล้ว ทำความสะอาดแล้ว งานของเจ้าบ้านคือทำให้ผู้คนหยุดนิ่งด้วยการเปิดขวดเครื่องดื่มดีๆ (อาจเป็นไวน์หรือเหล้าหลังอาหาร) หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาที่เจ้าบ้านรับฟังคอมเมนต์เกี่ยวกับอาหารของคุณ ควรตื่นตัวเข้าไว้ อย่าแสดงอาการง่วงเหงาหาวนอนระหว่างที่แขกยังหลงเหลือ เสิร์ฟไวน์และแอลกฮอลล์แต่น้อย ถ้าไม่อยากทำความสะอาดมาก แล้ววันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาในสภาพปรกติสุข

คัด-ย่อ-แปล จากบทความ Modern Manner : Sharing Food และ The Dinner party Host ใน WORDOFMOUTHBLOG guardian.co.uk

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

At Julia Child's Kitchen




ในเว็ปไซต์ของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา http://americanhistory.si.edu/juliachild/ ครัวของจูเลีย ไชล์ด ถูกจำลองไว้เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมงานครัวอขงคนอเมริกัน




ครัวนั้นถูกใช้ทุกวันเพื่อจัดเตรียมอาหาร ทดลองเมนูสำหรับงานโทรทัศน์ ตัวอย่างข้อความออนไลน์ที่อธิบายอุปกรณ์บางชิ้นที่จูเลียใช้ในครัว :

"จูเลียแนะนำอุปกรณ์ของคนฝรั่งเศส เช่น เครื่องตีไข่-นม-เนย (Whisk) ให้สาธารณชน มันล้ำหน้า ก่อนที่คนอเมริกันจะรู้จักอุปกรณ์ที่หลากหลายอย่าง เครื่องตีไข่ (Egg Beaters) ซึ่งเครื่องตีไข่-นม-เนย คืออุปกรณ์ที่จูเลียใช้ในโทรทัศน์ กวาดต้อนชีวิตในครัวของคนอเมริกันครั้งใหญ่ให้ใช้มัน รวมทั้งวางขายในร้านอุปกรณ์เครื่องเรือน"

รู้ก็รู้กันดีว่า จูเลียไม่ใช่เชฟทางรายการโทรทัศน์คนแรก เธอกลายเป็นที่รู้จักและนิยมอย่างรวดเร็ว เสียงร้อง "ฮูเร่!!!" คาแร๊กเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร กับเสียงพูดหลั่นต่ำ คล้ายกับเสียงเป็ดตัวใหญ่ๆ กรน ในขณะที่หล่อนกำลังพลิกอาหารฝรั่งเศสจานที่ทำยากแสนในกระทะ จูเลียกลับอาหารได้อย่างง่ายดาย เป็นธรรมชาติ น่ารักน่าเอ็นดู หากแม้นว่า มีข้อผิดพลาดประการใดหล่อนก็เรียกความมั่นใจให้ผู้ชมว่า "ถ้าคุณอยู่ลำพังในครัว ไม่เห็นจะสำคัญเลย ใครจะอยู่ตรงนั้นเพื่อมองคุณล่ะ?"

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ผู้หญิงคนเดียวจะมีอิทธิพลเหนือครัวพลเมืองของประเทศใหญ่เช่นอเมริกาได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนที่สุดว่า ไม่ใช่ไชล์ดคนเดียวที่ประสบความสำร็จ ซีโมน (ซิมิก้า) เบค และ หลุยส์เซต เบิร์ธโอลล์ ผู้เริ่มเขียนหนังสือตำราอาหารฝรั่งเศสสำหรับคนอเมริกัน ชักชวนจูเลีย ไชล์ด เข้าร่วม โดยมี จูดิธ โจนส์ เป็นผู้พิมพ์ ก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้า ทว่าไชล์ดกลับได้รับความนิยมที่สุด ไชล์ดถูกอ้างอิงบ่อยครั้งว่าเป็น "ผู้หญิงที่สอนคนอมริกันทำอาหาร" หากจะเทียบเชฟหน้าจอที่อังกฤษ คีธ ฟลอยด์ ดูจะมีสไตล์ใกล้เคียงที่สุด แล้วในเมืองไทยล่ะ? คุณหรีด??? ติดอยู่ที่คุณหรีดยังไม่ยอมแสดงฝีมือทำอาหารยากๆ สักที นอกเหนือจากนั้นลีลา ความชำนาญ เสน่ห์การพูด คุณหรีดครบเครื่องอยู่แล้ว!

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Her Influence





Julie & Julia

ผลิตในปี 2009
ประเทศ : สหรัฐอเมริกา
เวลานาน : 123 นาที
ผู้กำกับฯ : โนร่า เอปรอน
นักแสดงนำ : เมอรีล สตรีพ เอมี่ อาดัมส์ คริส เมสชินา เฮเรน คาเรย์ สแตนลีย์ ทุชชี่


ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ตรงที่ แบ่งเรื่องราวเป็นสองยุคฉายสลับกัน โดยใช้เนื้อหาในหนังสือของจูเลีย ไชล์ดเป็นตัวเชื่อมเรื่องราว ครึ่งเรื่องเป็นการดึงแรงบันดาลใจของผู้หญิงที่อาศัยในนิวยอร์ก--จูลี่ พาเวล ผู้ซึ่งเขียนหนังสือ ด้วยแรงบันดาลใจที่จะทำอาหารตามหนังสือคุ๊กบุ๊กของ จูเลีย ไชล์ด "Mastering the Art of French Cooking" 524 ตำรับ ภายใน 365 วัน โดยในแต่ละวันที่ทำอาหาร เธอละเลงพิมบรรยายประสบการณ์ไว้ในบล็อก เพื่อแชร์สิ่งประสบให้ผู้อื่นอ่าน ในระยะแรกก็ไม่มีใครเข้าดูบล็อก ทว่าไอเดียกลับเตะตานิวยอร์ก ไทมส์ กระทั่งมีผู้สื่อข่าวขอสัมภาษณ์ลงหน้าสไตล์ รูปของจูลี พาเวล ใหญ่หราบนหน้าหนังสือพิมพ์ชื่อดัง หลังจากนั้น บล็อกของเธอก็แน่นไปด้วยผู้คนที่ทั้งเข้ามาให้กำลังใจและวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากประสบความสำเร็จล้นหลาม เธอก็เขียนหนังสือชื่อว่า "Julie&Julia" กลายเป็นหนังสือขายดี กระทั่งฮอลลีวู๊ดขอซื้อลิขสิทธิ์สร้างเป็นภาพยนตร์

ฝ่ายอีกครึ่งเรื่องคือ เรื่องราวของจูเลีย ไชล์ด ระหว่างที่เขียนหนังสือคุ๊กบุ๊กเล่มแรกร่วมกับเพื่อนๆ จูเลีย ไชล์ด เริ่มทำอาหารจริงจังเมื่อเริ่มมีอายุแล้ว (ปลายยุคฟอร์ตี้ หล่อนย้ายไปอาศัยที่ปารีสกับสามีผู้ทำงานให้รัฐบาลอเมริกัน ด้วยความสนใจและรักการกินอาหารในร้านอร่อยๆทั่วปารีส หล่อนเรียกประสบการณ์แรกกับคลาสสิเคิล เฟรนช์ กุยซีน ว่า "เปิดจิตวิญญาณและแรงใจของฉัน ติดใจรสชาติจนหยุดไม่ได้ แล้วชีวิตฉันก็เปลี๊ยนไป๋" จูเลียสำเร็จการศึกษาจากเลอ กอร์ดอง เบลอ ปารีส พิมพ์หนังสือเล่มยักษ์ที่ดีไซน์ไว้เพื่อการสอนให้คนอเมริกันปรุงอาหารเหมือนเชฟ (ฝรั่งเศส) หล่อนเรียกมันว่า "servantless"