วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ชาวข้าวบางบูรพาไม่แพ้


นานดึกแล้วในหมู่บ้านบางบูรพาที่ปลูกข้าวเจ้าสืบทอดหลากหลายสายพันธุ์ ดำเนินหน้าที่ห้องอาหารของผู้คนทั่วทั้งโลก พวกเขาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องมีเกษตรกร จนพวกมนุษย์เรียกพืชพันธุ์ข้าวในอีกชื่อว่า “ชุมชนข้าวเข้มแข็ง” ตั้งแต่ต้นหมู่บ้านยาวจนถึงท้ายชุมชน สีสันท้องนาเขียวเป็นย่อมๆ ยามแรกปักกล้า ทิ้งไว้ไม่กี่เดือน ต้นก็สูงชะลูดส่งสีเขียวขจีไหวตามลมพัด น้ำฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวก็ยิ่งงามนัก ทว่ายามที่สวยมีเสน่ห์ที่สุดกลับเป็นช่วงที่ข้าวตั้งท้อง รวงข้าวเหลืองทองอร่าม ราวทุ่งทองสุกเปล่งประกาย ในระยะนี้ชุมชนข้าวเข้มแข็งก็จะมีแขกผู้มาเยี่ยมมาเยือน ถ่ายภาพกับท้องนามากที่สุด
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นข้าวเพศหญิง บ้านอยู่กลางแปลงนา ตั้งท้องสืบลูกสู่หลานเป็นรุ่นๆ วิธีสังเกตหัวหน้าหมู่บ้านดูง่าย ยอดข้าวมีผ้าแดงโพก ใครไปใครมา ติดต่อธุระจำเป็นต้องแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านก่อน เพราะชุมชนที่นี่ปิดตายไม่มีพันธุ์ข้าวคนใดออกจากพื้นที่ เนื่องจากการค้าขายข้าว ทางรัฐบาลจะติดต่อมาที่ชุมชนเอง ไม่ต้องเสนอเร่ขายแก่ผู้ใด จากนั้นทางรัฐบาลจึงนำสู่ตลาด ข้าวจากหมู่บ้านบางบูรพาจึงดูเหมือนสินค้าผูกขาดของทางรัฐบาล
ข้าวในชุมชนนี้จึงเจียมตัว และหยิ่งผยองตัวในที
มีแต่ตั๊กแตนปาทังก้าตัวเขียว ขายาวๆ ที่คือศัตรูตัวร้ายกาจของชุมชน เมื่อข้าวเริ่มออกรวง พวกมันก็โจมตีหนักหน่วงทุกๆ ปี ทว่าก็แพ้ให้แก่บรรดาข้าวราบคาบ ด้วยยุทธวิธีซุ้มวางกับดักกองโจรตั๊กแตน กลับกระทะทองเหลืองกลายสภาพกลับเป็นตั๊กแตนปาทังก้าทอดที่ขายในตลาด
หากว่าศัตรูวายร้ายไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว
โผล่มาปีที่น้ำท่วมนา ชาวข้าวเสียหายหนัก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดก่อระลอกถัดไป เหมือนกับความซวยของมนุษย์ ที่มีครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นจะหนักขึ้น...หนักขึ้น
ระหว่างที่หัวหน้าหมู่บ้านเร่งระบายน้ำออก หนูนาตัวดำทะมึนฝูงใหญ่เร่งฝีเท้าบุกโจมตีชุมชนนาข้าวเข้มแข็ง
ความอำมหิตของหนูนาสร้างความเสียหายอย่างหนัก กัดกินต้นข้าวหักกระเจิง เป็นปรักชีวิตข้าวแสนเศร้า หัวหน้าหมู่บ้านรีบส่งกำลังไพร่พลไปยังฟาร์มเลี้ยงแพะ พันธมิตรทางการค้าแลกฟางข้าวกับขี้แพะ หล่อนต้องการขี้แพจำนวนมากเทใส่นาไล่หนูใจดำที่ไล่ทำร้ายพี่ๆ น้องๆ ด้วยความสมัครสมานของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ยอมถูกย่ำยีง่ายๆ นี่เอง ก็บังเกิดผล
ทันทีที่ฤทธิ์ความเหม็นฉกาจต้องจมูกและผิวกาย หนูนาทนพิษความเหม็นไม่ไหวไม่ทน ล้มตายระนาวท่วมท้น
กลายเป็นว่าผู้จ้องทำร้ายถูกฆ่าตายเสียเอง
ไชโย!!! ชัยชนะของชุมชนข้าวบางบูรพา

บอกฉันบอกเธอ
ความสามัคคีคือพลัง

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

จูลี่ในโรงงานสตรอว์เบอร์รี่


ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติและความยากจน ภาคธุรกิจก็ล้มระเนนตกตามกันไป รวมถึงโรงงานสตรอว์เบอร์รี่ในดินแดนคิมานาเซ่ อันเคยเฟื่องฟูถึงขีดสุดเมื่อปลายทศวรรษที่แล้ว “ผมคิดว่าปลายปีนี้จะขายหุ้นโรงงานสตรอว์เบอร์รี่ หุ้นตกระนาว ไม่มีทีท่าขึ้น เพราะในยุคที่บะหมี่สำเร็จรูปขายดีคนก็เลิกกินสตรอว์เบอร์รี่ราคาแพงแล้ว ต้นทุนการผลิตก็สูง ผมเกรงว่าจะแบกรับภาระนี้ไว้ไม่ไหวอีกแล้ว” พาร์ล จุง ประธานหอการค้าคิมานาเซ่ และเจ้าของโรงงานเอ่ยขึ้นในที่ประชุม หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมงานภาครัฐวิสาหกิจเสร็จแล้ว จึงถือโอกาสนี้บอกขายธุรกิจกลางโต๊ะประชุมเสียเลย
“ดิฉันจะซื้อเองค่ะ” จูลี่ นักเรียนนอกจากเลอ กอร์ดองเบลอ ฝรั่งเศส ลูกสาวประธานธนาคารแห่งคิมานาเซ่ และหนึ่งในกรรมการหอการค้ารีบขอซื้อ
“ทำไมถึงกล้าซื้อ โรงงานนั้นเน่ามากเลยนะ” คุโรมิ กระซิบกระซาบถามอย่างเกรงใจประธานในที่ประชุม
“ก็เพราะฉันไม่กินอะไรเลยนอกจากสตรอเบอร์รี่ล่ะสิ ไม่อยากเห็นมันสาบสูญ และฉันยังมองเห็นลู่ทางในอนาคตมากมาย เธอจะได้เห็นมัน อีก 5 ปี ข้างหน้า สัญญาว่าแค่ 5 ปี เท่านั้น ฉันจะทำให้ ร้านสะดวกซื้อทุกร้านมีผลิตภัณฑ์ของฉันวางจำหน่าย”
“จ้า เธอเก่งมาตั้งแต่ ป. 1 ใครๆ ก็รู้” คุโรมิกระซิบอีกที
“ผมดีใจมาก ถ้าจะได้นักธุรกิจรุ่นใหม่อย่างคุณรับช่วงโรงงานที่รักต่อจากผม”
“คุณให้ราคาเท่าไหร่ ฉันก็ซื้อ แต่ขอราคาที่สมเหตุสมผล ถ้าคุณยังรักโรงงานและอยากเห็นโรงงานมีอนาคต” จูลี่ต่อรองกับพาร์ล จุง ผู้ที่เก๋าเกมกว่าเยอะ
พาร์ล จุง หมุนเก้าอี้นวมไปมา เหมือนอาการหงุดหงิดหรือคิดอะไรอยู่ แต่แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม่หนูนี่ใจถึงพิลึกคน กล้ามากที่พูดตรงๆ ผมให้คุณฟรีๆ ในฐานะที่พ่อของคุณเคยช่วยเหลือครอบครัวของผมตอนที่ผมสู้รบในช่วงสงครามโลกครั้งสุดท้าย”
จูลี่ไม่เก่งประวัติศาสตร์จึงเกาหัววนเป็นกลมๆ อะไรหว่าคือสงครามโลกครั้งสุดท้าย ที่เขาทุบกำแพงเมืองจีน่านาน้อยหรือเปล่าน้า อ่า...ใช่ตอนที่หมีหิมะย้ายจากขั้วโลกมาอยู่ในนอสซี่รีเลีย หรือที่สหรัฐอารวมมีการ่วมมือกับรัฐบาลอีหว่านกวาดล้างกลุ่มอัลกออิด่ะปะปะ
ไม่ต้องนึกนานหรอกอีหนู เดาอีกล่ะซี่...
แล้วพาร์ลก็เล่าเรื่องย้อนอดีตให้ลูกสาวผู้มีพระคุณฟัง
“ตอนนั้นลุงยังเป็นหนุ่มอายุ 19 ปี ได้มั้ง ทางรัฐบาลก็ให้ไปช่วยรบในสงครามกงกอย ลุงเป็นทหารชุดแรกๆ ที่ทางรัฐบาลส่งไป รุ่นลุง ตายไปแล้วก็มี พิการก็เยอะ ลุงกลับมาได้อย่างปรกติสุขก็เพราะคุณพ่อของหนูนี่แหละ ช่วยลุงไว้ ตอนนั้นเราเป็นทหารเหมือนกัน โจรจีฉ่อยมันเพ่งเป้ามายิงที่ลุง พ่อของหนูนี่ล่ะ ยิงบาซูก้าต้านกำลังอีกฝ่ายไว้ ช่วยชีวิตลุงไว้ได้อย่างหวุดหวิด เราตีทัพนั้นแตก ทางรัฐบาลก็เรียกกลับเพื่อให้ไปตัดแว่น เนื่องจากลุงสายตาสั้นมาก ยิงไม่เคยถูกเป้า ทีนี้ทางรัฐบาลก็เลยไม่เรียกลุงใช้งาน พ่อของหนูก็ช่วยลุงไว้อีกครั้ง ให้ยืมเงินก้อนแรกมาทำทุน ลุงจึงกลับบ้านมาปลูกสตรอว์เบอร์รี่เป็นรายแรกๆ ได้ผลผลิตดีเชียว กำไรก็งาม ทำได้ไม่กี่ปี ก็ใช้คืนพ่อของหนูได้หมด แถมยังเปิดโรงงานส่งออกสตรอว์เบอร์รี่ที่ลุงขายให้หนูนี่ล่ะ กิจการเฟื่องฟูมากในช่วงเศรษฐกิจดีๆ เพราะเป็นสินค้าที่ลุงได้รับสัมปทานเป็นรายใหญ่ หลังๆ มานี่ กิจการลุงก็เยอะขึ้น ดูแลไม่ทั่วถึง และภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โรงงานก็เลยเป็นอย่างที่หนูเห็น ไว้พรุ่งนี้ ลุงจะพาหนูไปเที่ยวชมโรงงาน หนูว่างไหม รู้จักโรงงานลุงหรือเปล่า”
หลังจากที่นั่งฟังมานานจูลี่จึงได้คราวพูดบ้าง
“ว่างค่ะ แล้วรู้จักโรงงานคุณลุงด้วยค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้หนูมาหาลุงที่โรงงานสักสิบโมง มาถึงก็โทร. เข้ามาเดี๋ยวลุงส่งคนไปรับ ลุงจะพาหนูดูให้ทั่วโรงงาน รวมถึงไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ภาคภูมิใจของลุงด้วย”
จูลี่ยืนขึ้น แล้วถอนสายบัว ฉีกกระโปรงพลีตสีชมพูบานแฉ่งแทนยิ้มหวานๆ

โรงงานของลุงพาร์ล เสื่อมโทรม ผนังโรงงานคราบเหลืองน้ำตาล หลังคามุงสังกะสีสนิมเกรอะ ดูไม่เหมือนโรงงานที่ผลิตสินค้ามีราคา จูลี่ส่ายหัว เพราะผิดหวังมากกว่าที่คิด
ทันทีที่จอดรถตรงพื้นดินลูกรัง เสียงดินทรายดังส้วกเหมือรถเบรก
เมื่อจูลี่เปิดประตูจากรถยนต์กันกระสุนแข็งแรงของคุณพ่อ
ผู้ชายดูมอซอ หน้าตาไร้เอกลักษณ์ ผมตั้งตรงแหลมชะลูด ก้าวขาเข้ามาหาด้วยท่าทีที่สุภาพ ยืนมือทักทาย “ผมชื่อชาวสวนครับ เป็นผู้ดูแลโรงงานและไร่สตรอเบอร์รี่”
“ค่ะ ดิฉันจูลี่” หล่อนยื่นมือจับตอบ
“ผมอาสาพาคุณไปดูโรงงานเองครับ” ชาวสวนเดินนำทางจูลี่จนถึงประตูหน้าทางเข้าโรงงาน เขาผลักจูลี่เข้าไปแล้วล็อกประตูด้านนอก
“คุณทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน” ปั่ง ปัง ปัง จูลี่ทุบประตูร้องแรกแหกกระเชอจนกระดูกหลังโปนปูด
“เชิญคุณสนุกกับโรงงานเต็มที่ ผมมีธุระต้องจัดการลุงที่รักของคุณก่อน ผมไม่ยอมให้ใครชุบมือเปิบโรงงานนี้จะเสื่อมโทรมและตกเป็นของผมในที่สุด” เสียงรอยเท้าย่ำเศษใบไม้ดังกรอบแกรบค่อยๆ ค่อยลง
“เจ้าชาวสวน เจ้าคนชั่วร้าย คนอย่างเจ้าไม่มีทางดูแลสตรอว์เบอร์รี่ได้ เจ้าแข็งกระด้างและมืดหม่น สตรอว์เบอร์รี่อยู่กับเจ้าไม่มีทางเห็นอนาคตสว่างไสว ฉันจะช่วยสตรอว์เบอร์รี่” เสียงข้างนอกเงียบสนิท ไม่มีแม้เสียงฝีเท้าผู้คนเหลือสักราย ชาวสวนจากหล่อนไปตอนที่หล่อนร้องประท้วงเสียงดังอยู่
เธอหอบแฮกเพราะขัดขืนจนเหนื่อย อุทานเสียงดัง
“ตายล่ะ! ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดี”
จูลี่มุ่งไปที่สวิตช์ไฟข้างประตู เปิดไฟทุกดวง สตรอว์เบอร์รี่มีชีวิตลูกใหญ่เบิ้มเคลือบน้ำตาลมันเยิ้ม สูงเท่าไหล่ของจูลี่ น้อมขั้วทำความเคารพ
“สวัสดีครับ นายหญิงคนใหม่ของเรา”
หา.... อะไรนี่ สตรอว์เบอร์รี่ยักษ์พูดได้ พิลึกกึกกือจริง...จริง จูลี่เก็บความตกใจไว้ได้ไม่บกพร่อง
“สวัสดีจ่ะ คุณสตรอว์เบอร์รี่”
“ยินดีต้อนรับนายหญิง” สตรอว์เบอร์รี่อีกหลายลูก ขนาดลดหลั่นกันไป บางลูกโรยไอซ์ซิ่ง แบบเคลือบช็อกโกแลตก็มี กระโดดอย่างเป็นระเบียบเข้ามาจุดพลุกระดาษปาร์ตี้ต้อนรับ
“ทำมายยย” จูลี่ค้างสีหน้าตกใจ ดีใจ ประหลาดใจในคราวเดียว เมื่อรวมทั้งหมดกลายเป็นหน้าเหวอ อ้าปากหวอ
“ทำไมพนักงานที่นี่ถึงเป็นสตรอว์เบอร์รี่หมดใช่ไหม?”
“ช่ายค่ะ”
สตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่เบิ้มอธิบายความว่า “เพราะเราถูกสาปด้วยมนตร์ดำร้ายกาจจากพ่อมดชาวสวนให้กลายเป็นผลไม้ คำสาปจะสลายได้ก็ต่อเมื่อเจอคนที่รักโรงงานนี้ดั่งดวงใจเท่านั้น พวกเราจึงหวังว่าคุณจะช่วยเราได้”
“ฉันรักสตรอว์เบอร์รี่ดั่งดวงใจนะ ทำไมพวกคุณถึงยังคืนร่างไม่ได้” จูลี่ตีสีหน้าไม่เข้าใจ ปากย่นยู่ หล่อนไม่เข้าใจจริงๆ
“นั่นเพราะว่าคุณยังรักไม่พอ” สตรอว์เบอร์รี่ป่าลูกเล็กของโปรดของจูลี่บอกเป็นนัย
จ้อกกก... จูลี่ท้องร้อง น้ำลายท่วมปากด้วยความหิว สตรอว์เบอร์รี่ป่าของโปรดของหล่อน
“หา...อะไรนะ รักไม่พอ ทุกวันนี้ฉันแทบจะหายใจเป็นสตรอว์เบอร์รี่ได้อยู่แล้วนะ” จูลี่พูดกับสตรอว์เบอร์รี่ป่า อยากกินเธอจัง
“ไม่รู้ซี่ พวกเรายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ยังกลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิมไม่ได้สักที คุณหดหู่อยู่หรือเปล่า ที่ถูกขังไว้กับพวกเรา”
จูลี่หายหิวทันทีทีนึกได้ว่าพวกเขาแค่ถูกสาปให้เป็นสตรอว์เบอร์รี่ ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รี่ของจริง แล้วเปลี่ยนอารมณ์มาสงสารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแทน ดีนะที่ไม่ถูกเจ้าชาวสวนสาปเป็นสตรอว์เบอร์รี่ด้วย
จูลี่พยักหน้าตอบ “อืม” สตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่จูงมือหล่อน
“มานี่มา ถ้าคุณเห็นพวกเขา พวกเราก็ยังพอมีความหวัง”
พวกเขากระเด้งตัวตามกันเป็นกลุ่มก้อน คนใดคนหนึ่งเปิดประตูเหล็กที่ด้านในเขียนว่า ‘คลังสินค้า’ ในนั้นมีสตรอว์เบอร์รี่สดทุกสายพันธุ์ที่ชาวสวนเก็บมาเป็นของตัวเอง ขายนำเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัว สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคนในโรงงาน ดังนั้น เมื่อพนักงานจะประท้วง ชาวสวนก็เลยใช้คำสาปขังพวกเขาไว้ที่นี่

จูลี่ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น หล่อนไม่เคยเห็นสตรอว์เบอร์รี่มากมายขนาดนั้น จ่อจมูกดม ฝังหน้าลงที่ผลผลิต
สตรอว์เบอร์รี่หวาน อัลพายสตรอว์เบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ป่าของจริง แล้วก็มีสตรอว์เบอร์รี่ยักษ์สายพันธุ์จากประเทศนี่ฝุ่น
“โอ้ โห เฮะ คืบก็สตรอว์เบอร์รี่ ศอกก็สตรอว์เบอร์รี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ขอลองชิมได้ไหม”
“ได้เลยจ๊ะ สตรอว์เบอร์รี่ที่นี่กำลังจะเป็นของเธอทั้งหมด”
จูลี่กระโจนตัวลงไปในทะเลผลไม้สีแดงมีขั้วสดๆ สีเขียว โดยไม่กลัวกระโปรงบานคลุมเข่าสีขาวจะเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย ค่อยๆ จม ลงในกองสตรอว์เบอร์รี่ มือก็หยิบใส่ปากทีละลูกๆ “ฮืมมม อร่อย” ดูเหมือนว่าตอนนี้ชุดกระโปรงสีขาวจะเปรอะเปื้อนสีแดงเป็นดอกเป็นดวง
พลันใด ร่างของทุกคนกลายกลับเป็นมนุษย์
“ขอบคุณมาก คุณจูลี่ ดูสิ พวกเรากลายเป็นคนแล้ว” คนหน้าตาไม่คุ้นเคยกว่า 10 ชีวิต ทว่าแต่งตัวมอซอไม่แพ้ชาวสวนกล่าวขอบคุณ
“เอาล่ะ คุณจูลี่ นี่ไม่ใช่เวลากิน เราต้องช่วยท่านประธานให้ได้ก่อน ท่านตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย” ใครสักคนปลุกคิดให้ทำอะไรก่อนหลังเป็นขั้นเป็นตอน
หลังจากนั้นกลุ่มม็อบต่อต้านชาวสวนก็ระดมพล พังประตูโรงงาน โทร. แจ้งตำรวจพ่อมด ลอบเข้าไปช่วยท่านประธานที่ถูกมัดด้วยเชือกผ้าฝ้ายในห้องทำงาน
ตำรวจพ่อมดฝ่ายดีจัดการพ่อมดชาวสวนเสียราบคาบ โรงงานสตรอว์เบอร์รี่กลับมาเป็นสุขอีกครั้ง หลังท่านประธานพาร์ลทำพิธีส่งมอบโรงงานให้แก่จูลี่
เมื่อจูลี่เข้ามาบริหารงาน พนักงานทุกคนต้อนรับหล่อนอย่างอบอุ่น จูลี่รักไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ทอดยาวสุดลี้ลุกหูลูกตาหลังโรงงานมาก หลังคาซุ้มสตรอว์เบอร์รี่สีขาวปรับอากาศบ่มเพาะผลผลิตทุกวัน เขาเข้าใจเลยว่าทำไมชาวสวนถึงอยากฮุบผลผลิตดีๆ ไว้ลำพัง จูลี่เลี้ยงสตรอว์เบอร์รี่แต่ละต้นอย่างเลี้ยงลูก หาปุ๋ย เดินตรวจตรา คุยกับมัน ทะนุถนอม ผลผลิตจึงงามขึ้นๆ จินตนาการอันเหลือล้นของจูลี่ ทำให้ผลิตสินค้าที่ทำจากสตรอว์เบอร์รี่กว่า 100 ชนิดออกสู่ท้องตลาด รวมถึงสตรอว์เบอร์รี่ป่าอบแห้งที่ไม่เคยผลิตสู่ร้านสะดวกซื้อเพียงพอ
ในเวลา 5 ปีต่อมา ข้างๆ โรงงาน กำเนิดห้างสตรอว์เบอร์รี่ ทั้งเสื้อผ้า ร้านอาหาร อุปกรณ์ต่างๆ และซูเปอร์มาร์เก็ตของกินที่แปรรูปจากสตรอว์เบอร์รี่ น้ำแร่สกัดกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ ทัฟเฟิลสตรอว์เบอร์รี่หวานติดลิ้น บะหมี่เย็นสำเร็จรูปรสสตรอว์เบอร์รี่
กระนั้นกระนี้ กระทั่งกำแพงด้านในด้านนอกยังเป็นลายสตรอว์เบอร์รี่ป่าเล็กๆ คล้ายลูกอม ที่นี่กลายสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในดินแดนมิคานาเซ่ที่แขกบ้านแขกเมืองไหลทะลัก โดยเฉพาะสาวๆ
ทั้งหมดสำเร็จได้เป็นเพราะความพยายาม ความรักในสตรอว์เบอร์รี่ และความตั้งใจจริงของจูลี่และทีมงาน
ปรบมือให้เสียงดังๆ หน่อยค่ะ

บอกฉันบอกเธอ
คิดดี ทำดี เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นดี

มะกรูดกับมะนาว


นานมาแล้วที่สองตระกูลใหญ่แห่งไร่กลิ่นรสเกิดข้อพิพาทว่าด้วยการแบ่งแยกดินแดน แต่เดิมไร่กลิ่นรสผลิตข้าวบาร์เลย์มาเนิ่นนาน แต่แล้วเมื่อเจ้าของที่ดินเปลี่ยนมือผู้ถือกรรมสิทธิ์ยึดครอง เจ้าของไร่คนใหม่ผู้ยากจนจึงเปลี่ยนพืชผลที่ปลูกเป็นสมุนไพรและผลไม้ราคาสูง เป็นสวนตามความใฝ่ฝัน โดยแบ่งที่ดินเป็น 2 ส่วน เท่าๆ กัน ส่วนแรกยึดผลไม้ตระกูลซีตรัสเป็นหลัก ที่เหลือปลูกพืชตระกูลมินต์
วันหนึ่งเกิดภัยจากศัตรูภายนอกอาณาเขต กองทัพเพลี้ยรุกรานกัดกินพืชผล ลูกหลานของทั้งสองตระกูลได้รับความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เจ็บหนักและล้มตาย กว่าจะพ้นวิกฤตการณ์ต้องรอกำลังจากยาฆ่าเพลี้ยหลายถังสลายม็อบเพลี้ยที่ฮึกเหิม เจ้าของไร่รู้ดีว่าผลผลิตคราวนี้เหลือน้อยเต็มที ราคาค่าฆ่าแมลงก็ต้นทุนสูง หากกองทัพเพลี้ยกลับมาอีกครั้ง มีหวังขาดทุน
“แม่...เพลี้ยมาคราวหน้าคงต้องล้มไร่นี้ในไม่ช้า ดันทุรังปลูกต่อไปมีหวังตายแน่ๆ” ชายชาวสวนบอกภรรยาผู้เป็นที่รัก
สเปียร์มินต์ใบหยักยืนต้นในละแวกนั้น ได้ยินเช่นนั้นเข้าถึงกับสะดุ้งตัวโหยง รอยหยักไหวพลิ้วทั้งๆ ที่ยังไม่มีลมพัด รีบรุดคาบข่าวไปบอกคนในตระกูล
เลมอนสุกหล่นจากต้นไม่ไกลเส้นแบ่งอาณาเขตได้ยินเช่นเดียวกัน ก็รีบเด้งอ้าว ประกาศให้ญาติพี่น้องรับรู้
“เจ้าข้าเอ้ยๆ เจ้าของสวนกำลังกวาดล้างพวกเราในไม่ช้า พร้อมๆ กับตระกูลฝั่งโน้นด้วย…
“ทำอย่างไรดี ลูกหลานที่เหลือรอดจากการบุกโจมตีของกองทัพเพลี้ย ยังลูกเล็กอยู่เลย พวกเขากำลังจะไม่มีอนาคตเชียวนะ พืชตระกูลเราเป็นผลไม้ให้รสชาติ ดำรงชีวิตเพื่อสร้างความหฤหรรษ์รสลิ้นให้มนุษย์มานานแสนนาน เราจะยอมให้พวกเพลี้ยน่าโง่ ทำลายความภาคภูมิใจได้หรือ พวกเราไม่ยอมๆ” เลมอนลูกสีเหลืองแมลงกัดทิ้งร่องรอยไว้บนเปลือกต้นเสียงกำลังปลุกระดม ส้ม เกรปฟรุ๊ต มะนาว ส้มโอ อั๊กลี่ ยูซุ ส้มแมนดาริน ซีธง คาลาแมนซี มะนาวแมนดาริน
“พวกเราไม่ยอม ไม่ยอมๆ” ทุกเสียงร้องลั่นสนั่นสวน
ฝ่ายตระกูลมินต์ เมื่อได้ยินอีกฝั่งโห่ร้อง
“เห็นไหมข้าไม่ได้โกหก เชื่อขนมให้ดมปากสาบาน ก็ไม่มีใครกล้าดม โน่นน่ะ! ฝ่ายโน้นยังรู้เรื่องเลย” สเปียร์มินต์ผู้กำลังต่อล้อต่อเถียง เย้ยแอปเปิ้ลมินต์ที่หาว่าเขาโกหก
“เออๆ ขอโทษก็ได้ ก็เห็นชอบโกหกจนปากหอม ใครจะยอมเชื่อง่ายๆ ล่ะ เอาล่ะ! พี่น้อง เราควรทำอย่างไร ให้สวนมินต์ไม่ตายหายไป”
“พวกเราไม่ยอมๆ” เสียงจากวอเตอร์ มินต์ กู่ร้องด้วยเสียงทุ้มยักษ์นำเสียงอื่น
หลังจากนั้นทั้งสองตระกูลจึงรีบผลิตดอกออกผลจนลูกใหญ่เป้ง เป็นที่ภาคภูมิใจและดีใจให้กับชาวสวน
ทว่า จู่ๆ ฝูงอีกาที่มาจากภูเขาจายำลูก้าในทวีปแอฟฟริกา ก็เกิดเป็นปลื้มพืชผลสีสวยสุกปลั่ง
“พวกเราจะกินอะไรดีหนอ ระหว่างพวกซีตรัสกับพวกมินต์”
ส้มโอ ผลไม้ผู้มีหูทิพย์ได้ยินเสียงปรึกษาระหว่างฝูงอีกา ร้องตะโกนตอบว่า “กินพวกมินต์สิ ลิ้นพวกเจ้ากินอะไรก็เหมือนกันแหละ เราเป็นอาหารเลิศรสของพวกมนุษย์”
ใบเบอร์กาม็อต ต้นสูงเสียดฟ้าได้ยินเช่นกัน ตอบโต้ว่า
“พวกเจ้ากินพวกเราก็โง่เต็มที พวกเราไม่มีน้ำมีเนื้อมากอย่างพวกซีตรัส กินเข้าไปหมดไร่พวกเจ้าก็ไม่อิ่ม”
จ่าฝูงอีกาผู้โฉดชั่วได้ยินเช่นนั้นก็ชั่งใจ
เอ่...ปรกติชาติกาตัวดำใจดำอย่างเราก็ไม่ได้เป็นกาดีอยู่แล้ว เพื่อรักษาเกียรติยศของวงศ์ตระกูล ทำไมเราต้องทำผิดวิถีกา ปกป้องอาหารชั้นเลิศของมนุษย์ ใบเบอกาม็อตพูดถูก กินพวกซีตรัสเป็นอาหารอิ่มท้องกว่า
“เอาล่ะ! พวกข้าตัดสินใจได้แล้วว่า เราควรบุกกินพวกซีตรัส ลุย!!!”
กาฝูงใหญ่รุกไล่กัดกินผลไม้ ทว่าชาวสวนเจ้าของไล่ กวาดพลพรรคนักแม่นปืนไล่ยิงกาล้มระนาว ฝูงกาแตกกระเจิงรีบถอยทัพ กำลังอ่อนล้าค่อยๆ กระพือปีกกลับแอฟริกา
หลังจากนั้น พวกซีตรัสเจ็บแค้นและจ้องจะเอาคืนตระกูลมินต์มาตลอด รุ่นผ่านรุ่น ปลูกฝังให้เกลียดชังกันและกัน แม้กิ่งใบ หรือผลเน่ากลิ้งเข้าอาณาเขตก็จะเกิดสงครามทันที
“นี่แน่ะๆ เอาส้มเน่าของแกคืนไป” จิงเจอร์มินต์ขว้างส้มสีขุ่นช้ำ และสั่งให้พวกพ้องสลัดใบรกหล่นพื้นไปอีกอาณาเขต
“มันมากเกินไปแล้วนะ” ยูซุ เพื่อนรักของส้ม ระเบิดอารมณ์ สั่งให้มะนาวลูกเล็ก โน้มกิ่งส้มแมนดารินยิงไปที่เป้าหมายหวังให้กิ่งอีกฝ่ายหัก
กระทั่งชาวสวนเดินมา สงครามจึงหยุด เพราะชาวสวนประกาศกร้าวว่า
“ถ้าพวกเจ้าเกเร ข้าจะเปลี่ยนมาปลูกสตรอว์เบอร์รี่”
คำขู่นั้นสร้างความกลัวให้แก่ทั้งสองฝ่าย จึงยุติพักสงครามใหญ่ หากมีการกลั่นแกล้งเล็กน้อยตามประสาบ้านใกล้เรือนเคียงที่ไม่ถูกกัน
และนี่คือทั้งหมดของตำนานความเกลียดชังระหว่างตระกูลมินต์และตระกูลซีตรัส
ทว่า เรื่องยังไม่จบแค่นั้นแน่ หากประวัติศาสตร์ยังไม่จารึกโศกนาฏกรรมรักนอกธรรมเนียม

10 ปีผ่านไป อะไรๆ ในฟาร์มก็เจริญก้าวหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ทว่าจิตใจอาฆาตแค้นของทั้งสองตระกูลยังเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ก็ยังมีช้างเผือกดุร้ายและงูเห่าไม่กัดคน แล้วทำไมเล่าถึงไม่มีคู่รักระหว่างตระกูลคู่แค้น เฉกเช่น โรมิโอและจูเลียต ไม่ได้
“เตรียมกระโดดน้ำนะ” มะกรูดลูกใหญ่ กลิ่นหอมฟุ้งบอกมะนาวแป้นเปลือกบางลูกเล็กๆ
“สูงจังเลย เรากอดแล้วกระโดดพร้อมกันนะ…นะ” มะนาวลูกนี้มีน้ำเยอะ เสียงจึงหวานชวนฟัง มะกรูดไม่มีแขนจึงเอาพุงใหญ่ชนพุงมะนาว แม่มะนาวลูกเล็กหลับตาปี๋
ตู้ม!
ในบ้านมะนาวผู้ทรงอิทธิพลด้านการเงินของตระกูลซีตรัส กำลังตามหาลูกสาวคนเล็กให้วุ่น มะนาวลูกใหญ่—พี่สาวคนโตกำลังวุ่นอยู่กับโทร. หาส้มโอ ซึ่งเป็นตำรวจประจำตระกูล
“น้องสาวคนเล็กฉันหายไป ทิ้งไว้แต่จดหมายลาตาย ฮือๆ ช่วยฉันด้วยคุณตำรวจ”
“ไม่เป็นไร น้องคุณต้องไม่เป็นไร ตั้งสติและฟังผม น้องคุณออกจากบ้านไปเวลากี่โมง นำอะไรติดตัวไปบ้าง เห็นเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“มะนาวคนใช้เห็นเธอเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว และนอกจากจดหมายลาตาย ห้องของเธอทุกอย่างยังวางไว้เหมือนเดิม แม้แต่ฮัลโหลคิตตี้ตัวโปรด เธอก็ไม่เอาไป”
“เอาล่ะ เธอคงหนีไปไม่ไกลจากสวนมากนัก เราจะส่งกำลังสืบค้น ได้ข่าวแล้วจะรีบโทร.หา
ในทันใด มะนาวลูกสาวคนโตก็เห็นใบมะกรูดซึ่งถ้าไม่ดมกลิ่นก็ไม่แยกไม่ออกระหว่างใบมะนาวกับใบมะกรูด มันเขียนไว้ว่า “เจอกันที่สะพานข้ามแม่น้ำขุน”
พลันเมื่อเห็นข้อความ มะนาวพี่สาวก็รีบต่อสายตรงไปยังมือถือของนายตำรวจส้มโอ
“สะพานข้ามแม่น้ำขุนค่ะ สะพายข้ามแม่น้ำขุน”
“เอาล่ะ คุณมะนาว ฟังผมนะ ตั้ง-สะ-ติ แล้วพูดใหม่ รวบรวมประเด็น บอกที่มาที่ไปด้วย ผมจะได้รู้เรื่อง”
“ฉันพบจดหมายนัดพบ น่าจะเป็นจากมะกรูดล่ำบึ้กที่เคยปลอมตัวเป็นมะนาวลอบข้ามดินแดนมาที่งานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์ของตระกูลเรา จากนั้นแม่มะนาวลูกเล็กก็รบเร้าอยากไปชายแดน บางครั้งก็พูดแปลกๆ ว่าทำไมมะกรูดบางลูกหน้าตาเหมือนมะนาว แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับเรา พวกเราจึงสั่งห้ามแม่มะนาวลูกเล็กพบนายมะกรูดเด็ดขาด ดิฉันสงสัยว่าน้องสาวของดิฉันจะหนีตามลูกชายคนโตของบ้านตระกูลมะกรูด ค้นห้องก็พบใบมะกรูดพร้อมข้อความ “เจอกันที่สะพานข้ามแม่น้ำขุน” แน่ๆ พวกเขาต้องอยู่ที่นั่น และกำลังทำอะไรสักอย่าง”
“งั้นอีก 15 นาที คุณมาพบผมที่นั่น เราจะหาร่องรอยและหลักฐานด้วยกัน”
“ตกลงค่ะ”

เมื่อมาถึงจุดหมายในเวลานัดพบ คุณตำรวจส้มโอรอท่าอยู่ พร้อมๆ กับกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ
“พบอะไรบ้างคะ คุณตำรวจ”
“ริบบิ้นสีชมพูลายจุดขาว และหูกระต่ายลายขวางสีเทาสลับขาว วางไว้คู่กันตรงนั้น” ส้มโอชี้ไปที่เฉลียงสะพาน
“แน่ๆ ว่าริบบิ้นเป็นของน้องสาวฉัน ส่วนหูกระต่ายฉันไม่แน่ใจ”
“ของคุณชายมะกรูด” สะระแหน่ที่เดินเข้ามา กล่าวอ้าง
“กระผม พันตำรวจตรีสะระแหน่ แห่งรัฐมินต์ กำลังสืบหาการหายตัวไปของคุณชายมะกรูด ผู้สืบทอดมรดกของตระกูลรุ่นที่ 15 ขอความกรุณาให้ความร่วมมือ นี่คือการช่วยเหลือระหว่างรัฐกับรัฐ
“แล้วทำไมผมถึงต้องยอมเจรจาความร่วมมือกับคุณ”
“นั่นเพราะเรามีจุดประสงค์เดียวกันคือ ตามหาลูกหลานของเรา ผมขอต่อสายไปยังผู้บังคับบัญชาสักครู่”
“เราต้องการคำตอบโดยเร็ว เพราะขณะนี้พลเมืองของเรากำลังเดินทางมายังที่นี่”
หลังจากเจรจาตกลงกับผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว ไพร่พลชาวซีตรัสก็เร่งรุดมายังสะพานที่เกิดเหตุเช่นกัน
“ทางรัฐของเราเห็นว่า การดำเนินการสืบหาลูกหลานควรเป็นไปพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ โดยแต่ละรัฐแบ่งกำลังไพร่พลเป็นสองส่วน ส่วนละเท่าๆ กัน ตั้งแถวตรง 2 แถว ซึ่งรวมแล้วจะมี 4 แถว จากนั้นยุบให้เหลือสองแถวโดยการสลับไพร่พลหนึ่งเว้นหนึ่ง เพื่อเดินไล่เรียงตามแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ท่านเห็นเช่นไร”
“ตกลงตามนั้น กลยุทธ์ของท่านใช่แผนที่โง่เขลาจนเกินไป เรามีเวลาไม่มาก กระทำการโดยเร่งด่วน”
สองชั่วโมงผ่านไป กำลังพลของทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันตลอดทาง แต่แล้ว...
“ได้กลิ่นอะไรไหม เหมือนกลิ่นมะกรูด” ยูซุผู้รับกลิ่นเป็นเลิศทำจมูกฟุดฟิด
จากนั้นพลเมืองก็ในละแวกใกล้เคียงก็สอดส่ายสายตามาทางเดียวกัน หากว่าคาลาแมนซีสอดส่องรวดเร็วฉับไวตะโกนเสียงแสบรูหู
“นั่นๆ นั่นไง ยายมะนาว”
ในเบอร์กาม็อตต้นสูงโน้มตัวกวาดต้อนลูกมะกรูดและมะนาวที่ลอยเกยกิ่งไม้ขึ้นฝั่ง สเปียร์มินต์ผายปอดให้มะกรูด ส่วนมะนาวพี่สาวก็ผายปอดให้น้องเล็ก
“แค้กๆ” มะนาวสำลัก โดยมีคนในตระกูลร่ำไห้กลัวว่าลูก-น้องสุดน่ารักจะตายปริ่มใจจะขาด
“พร่วด” มะกรูดอาเจียนออกมาเป็นน้ำ ตระกูลมะกรูดส่งกลิ่นตัวรุนแรงกระจายความแค้น เปล่งตัวเขียวปั้ด
“งั้นเราพาผู้คนทั้งสองรัฐกลับบ้านเถอะ” ตำรวจส้มโอตะโกนบอก
“ข้าไม่ยอม พวกเจ้ามันเลว ทำตระกูลข้าเสียชื่อเหลือเกิน พวกเจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต ด้วยชีวิต” ปู่มะนาวถือไม้ตะพดเคาะลงบนพื้น
“ทำยังกับพวกข้าไม่เสื่อมเสีย ตระกูลมะกรูดไม่เคยด่างพร้อย และถ้าหลานสาวเจ้าไม่สมัครใจ ใยจึงตามหลานข้ามา ถ้าเจ้าจะฟ้อง ข้าจะฟ้องเจ้าด้วยเช่นกัน ข้อหาหมิ่นประมาท ข่มขู่ คุกคาม” ท่านทวดมะกรูดที่นั่งอยู่บนรถเข็นไฟฟ้าสั่งการ
เมื่อทั้งสองเจรจาความไม่ได้ เป็นอันว่า ทั้งสองตระกูลส่งฎีกาขึ้นศาลระหว่างรัฐ ระหว่างรอขึ้นศาลนั้นเอง
“คุณปู่ขาอย่าทะเลาะเอาความกันเลยนะคะ คะคานกันไปใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา”
“ข้าจะเอาน้ำมะกรูดออกจากหัวมัน กำเริบเสิบสานดีนัก”
“ได้โปรดเถอะ ถ้าคุณปู่ทำเช่นนั้น หลานก็ไม่รู้จะมีชีวิตแล้งน้ำไปทำไม”
“หลายเอย ปู่จะสอนเจ้าให้ เจ้าจงสำนึกว่าเจ้าเป็นมะนาว เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ และบรรพบุรุษเจ้าปลูกฝังไว้อย่างไร เจ้าจงสำนึก”
“คุณปู่แล้งน้ำใจ คุณปู่ใจร้าย” แล้วแม่มะนาวลูกเล็กก็กระเด้งกลับกิ่ง กระฟัดกระเฟียดเอาแต่ใจ นำใบคลุมผลไว้มิด
พี่เลี้ยงตามนำอาหารเสริมและน้ำส้มแมนดารินของโปรดมาให้ถึงที่
“หนูไม่กินค่ะ”
“ไม่กินไม่ได้นะคะคุณหนู คุณหนูเพิ่งฟื้นจากการจมน้ำ ท้องยังว่าง กินอะไรสักหน่อยเถอะค่ะ”
แล้วมะนาวลูกเล็กก็นึกแผนการอะไรขึ้นได้
“พี่มะนาว หนูมีเรื่องขอร้อง ช่วยเห็นแก่ความรักของหนูเถอะ พี่จงช่วยหายาพิษแบบที่จูเลียตดื่ม ซดแล้วตายไม่กี่ชั่วโมง หนูจะขู่คุณปู่ด้วยความตาย”
“มันอันตรายนะคะ เสี่ยงด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะหนูตายแค่แป๊บเดียว ไม่มีใครว่าใครกล่าว คุณปู่จะได้ยอมความ หนูไม่อยากเห็นสองตระกูลทะเลาะกันอีกแล้ว”
“แต่คุณหนูคะ”
“ไม่มีแต่ค่ะ”

ในวันขึ้นศาล พลเมืองจากทั้งสองรัฐมาร่วมฟังคำพิพากษาหนาแน่น ขาดแต่แม่มะนาวลูกเล็กที่เอาแต่ใจไม่ยอมออกจากกิ่งและพี่เลี้ยงที่เฝ้าดูแลอย่างกระชั้นชิด
“เอาล่ะ การพิพากษาของศาลครั้งนี้ เนื่องจากหาผู้พิพากษาตัดสินไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องเชื้อชาติและสายพันธุ์ ดังนั้น เราจึงของใช้ประชามติร่วมโหวต นับใบมะกรูดและใบมะนาวที่หย่อนลงในกล่อง เลือกได้เพียงหนึ่งใบต่อหนึ่งท่าน ใครได้คะแนนมากที่สุดฝ่ายนั้นได้รับความชอบธรรม ลงโทษอีกฝ่ายได้ 1 ข้อ (ศาลจะพิจารณาว่าการลงโทษนั้นสมควรแก่เหตุหรือไม่อีกที) หลังจากได้ยินเสียงนกหวีด การแข่งขันเป็นอันเริ่ม”
ปี๊ดดดด...
คูหามีหลายคูหาทำให้การลงคะแนนเป็นไปอย่างราบรื่น แน่ที่สุดงานนี้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร เนื่องจากพลเมืองของแต่ละรัฐคัดผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนมารัฐละ 1,000 ราย วัดกันว่าฝ่ายไหนจะออกมาใช้สิทธิใช้เสียงมากกว่ากัน

ที่บ้านตระกูลมะกรูด
“เจ้านายครับท่านไม่ออกไปฟังผลหรือขอครับ” มะกรูดรูปทรงบูดเบี้ยว จากรูปพรรณสัณฐานแล้วบ่งบอกว่าเขาเป็นมะกรูดในวรรณะไพร่
“อย่ามายุ่งกับเรา เรากำลังกลุ้ม”
“แต่ท่านพ่อท่านแม่กำชับหนักแน่น...” ยังไม่ทันที่มะกรูดไม่มีวาสนาจะอ้าปากพูดต่อไป มะกรูดทายาทคนโตที่อดอาหารจนเปลือกแข็งโปนก็จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง
“ยังไงข้าก็ไม่ฟังคำตัดสินของศาลอะไรทั้งนั้น ข้าจะไปพบมะนาวลูกเล็ก”
มะกรูดอัปลักษณ์สั่นสะท้าน ถามอึกอัก “ท่านจะ จ่ะ ท่ะ ทะ ทำอะไรหรือค่ะ เค่อ ครับ”
“ข้าจะทำในสิ่งที่คนไม่มีหัวใจมิอาจทำได้”
และแล้วเขาก็เร่งรุดไปบ้านมะนาว ทว่าภายในลำต้นสูงสูงใหญ่ ไม่มีมะนาวหลงเหลืออยู่สักลูก เมฆดำทะมึนเข้าปกคลุมเฉพาะต้นมะนาว เขาหรี่ตามองดวงอาทิตย์สีเทาเหนือเมฆ หูแว่วได้ยินว่าลางร้ายมาเยือนซะอ่ะอ้ะแล้ว จึงรีบกระเด้งกระโดดอย่างเร็วสุดชีวิต เหงื่อซึมทั่วผล ส่งกลิ่นร้ายกาจ

ที่ศาล, 997/995 เสียง
ฝ่ายมะนาวเป็นผู้ชนะ
แล้วท้องฟ้าที่สลัวก็เจิดจ้าอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุดชัยชนะก็อยู่ในมือของข้า ในเมื่อข้าชนะ ข้าขอสาปให้ตระกูลเจ้าเป็นโรคผิวหนังทั้งตระกูล และห้ามคนในตระกูลเจ้าผสมพันธุ์กับไพร่พลในตระกูลของข้าเป็นอันขาด มิฉะนั้นก็ขอให้พวกเจ้าสูญพันธุ์ไปในพริบตา” คุณปู่มะนาวพูด
“ศาลจากรัฐมินต์และรัฐซีตรัสเห็นพ้องต้องกัน ถือคำพิพากษานี้เป็นสำคัญจากนี้เป็นต้นไป”
ทันใดนั้นทุกคนในตระกูลมะกรูดก็มีผิวพรรณตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียด
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ช้าก่อน คุณปู่ขา หนูรักมะกรูดค่ะ ได้โปรดให้หลานแต่งงานกับมะกรูดด้วยเถอะนะคะ เขาอัปลักษณ์แค่ไหนหลานก็รักเขา” มะนาวลูกเล็กเด้งดึ๋งๆ กราบเท้าคุณปู่
“คำตัดสินจากศาลไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ อย่าทำให้กฎหมายบ้านเมือง เป็นไม้หลักปักเลน คำพิพากษาจะอยู่ต่อไปจนสิ้นอวสานโลก”
“งั้นหนูก็ขอตายเสียดีกว่า” แม่มะนาวลูกเล็กหยิบขวดยาพิษจริง ซดรวดเดียว
“คุณหนู คุณหนูของนม” มะนาวแม่นมร้องไห้ยิ่งกว่ามะนาวตัวแม่ผู้จองหอง
กว่ามะกรูดจะตามมาถึงศาล แม่มะนาวคนรักก็สลายกลายเป็นกรดเสียแล้ว
“ไม่ ไม่จริง ทำไมเจ้าถึงทิ้งพี่ไป ไม่รอพี่เลยเล่า แม่มะนาวลูกเล็ก เจ้าไม่รู้รึว่าเราเป็นพืชพันธุ์พิเศษที่มีความรักเป็นเครื่องบำรุงจิตใจ ผู้อื่นผู้ใดหามีไม่ เจ้าล้มหายตายจาก แล้วข้าจะอยู่เช่นไร ขอให้ศาลพิพากษาข้าเถอะ ข้าทำผิดบาปกับมะนาวลูกเล็กผู้เป็นเมีย ศาลจงลงโทษพิจารณาข้าตามแต่สมควร”
“เจ้าควรตายซะ ควรตายเดี๋ยวนี้” คุณปู่มะนาวคำราม
“จากนั้นลูกหลานก็ร้องประท้วงเป็นเสียงเดียวกัน“ตายซะ ตายเดี๋ยวนี้”
“ไม่!!! ลูกชายข้าไม่ผิด เจ้าบอกเขาไปสิ ว่าเจ้าไม่ได้มีอะไรกับมะนาวเป็นกรด”
“ข้ามิอาจเป็นคนลวงโลกโกหกใครต่อใครได้ ทั้งๆ ที่คนรักเสียสละให้ความรักมากมายเช่นนี้ ท่านพ่อ โปรดให้อภัยที่ข้าเป็นลูกอกตัญญู ข้าขอยอมรับผิดโดยการยืนตากแดดเคียงข้างร่างสลายของมะนาวลูกเล็กจนกว่าร่างกายข้าจะแห้งเหือดรวมเป็นธุลีดินกับหญิงคนรัก”
ศาลทั้งสองรัฐขอพิพากษาดังตามความประสงค์ของมะกรูด ผู้ยึดความรักเป็นสรณะ โดยห้ามมิให้มีใครทักท้วง
ความโศกเศร้าและซาบซึ้งในความรักเข้าคลอบคลุม เสียงร้องไห้ระงมทั่ว
ญาติพี่น้องของนายมะกรูดต่างเว้าวอนให้เลิกล้มความคิด หากว่า 20 วันถัดมา มะกรูดทายาทตากแดดที่ลานกลางแจ้งจนแห้งเกรียม
และจากนั้นต่อไปคณะนิติบัญญัติ อันประกอบด้วยวิปฝ่ายค้าน ผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาของทั้งสองรัฐทำข้อตกลง เขียนบทบัญญัติ ข้อกฎหมายกันขึ้นใหม่ ให้ไพร่พลทั้งสองรัฐอยู่กันอย่างมีความสมานฉันท์
เรื่องราวความรักของมะกรูดและมะนาวจึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ความรักอันยิ่งใหญ่ รวมกระทั่งส่งผลเปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง
2 ปี ให้หลัง ประธานาธิบดีคนแรกแห่งไร่กลิ่นรสสร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักนี้ให้เป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ภายในรอบรั้วรัฐสภาที่ถูกยุบเหลือเพียงหนึ่งเดียวและยกเลิกกฎหมายการแบ่งแยกดินแดน
ภายหลังจึงมีไพร่พลขอพรความรักจากอนุสาวรีย์แห่งนี้มากมาย เชื่อกันว่าใครที่บูชาเจ้าพ่อมะกรูดและเจ้าแม่มะนาวผู้นั้นจะได้แต่งงานและมีบุตรบริวารเต็มบ้านเต็มตระกูล

บอกฉันบอกเธอ
เมื่อกล้าที่จะรักสิทธิผู้อื่นเท่ากับของตัวเอง เมื่อนั้นความสงบสุขจึงมาเคาะประตูเยือน

สวย กล้วย กล้วย


“กระแสการลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารเสริมลดน้ำหนัก ติดลมบน การวิจัยของอ้วนอวดโพล กล่าวว่า ผู้หญิง 99 ใน 100 คน เสียเงินอย่างน้อย 4,000 บาท ให้แก่อาหารและโปรแกรมลดน้ำหนัก” เสียงข่าวในโทรทัศน์ดังแจ้วๆ
“ไม่ใช่ฉันคนหนึ่งแหละ ฉันแปะกาวติดแบงค์ไว้กับกระเป๋าสตางค์ อย่าหวังเห็นเงินฉันเลยเห่อะ” กล้วยพูดขึ้น...ใช่แล้วหล่อนคือ 1 คนที่เหลือจากคนทั้งร้อย แถมยังโกยเงินจากกิจการผอมสวยด้วยกล้วยเข้ากระแสเหนาะๆ กำไรหลักล้านภายในครึ่งปี
“เพราะแม่สอนลูกไว้ดีต่างหากหรอกจ่ะ” คุณแม่ลิ้นจี่ยิ้มสู้
นอกจากสอนลูกให้ขี้เหนียวเป็นยางแล้ว เธอยังดูดเงินลูกเข้ากระเป๋าตัวเองเสียหมด บอกว่าเป็นค่าพันธุกรรม จ่ะ! ยอดคุณแม่
เอ...อย่างนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ทั้งประหยัดและงกใช่ไหมคะ (ไม่กล้าใช้คำรุนแรงกว่านี้ เพราะนี่คือนิทานสอนใจ)

300 วันที่แล้ว
“ยายกล้วย...ทำอย่างไรดี เดือนนี้สตางค์เกลี้ยงเลย ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านตั้งหกพันห้า เอาเงินไปเข้าคอร์สผอมหน้าเด้งหมด ก็อีก 3 เดือนนี่นากว่าฉันจะแต่งงาน ยังไม่ผอม หน้าก็มีสิวผุดเกรอะกรังเลย รับไม่ได้”
“แต่ถ้าเจ๊เจ้าของตึกไล่ออกจากห้องนี่รับได้ใช่ไหมล่ะ” กล้วยเหน็บแหนม
“ย่ะ! ได้ทีขี่แพะไล่ นี่ฉันกลุ้มๆ อยู่นะ เห็นว่าเธออัจฉริยะเรื่องการเก็บเงิน ถึงได้ถ่อข้ามแผนกมาปรึกษา ช่วยทีนะ นะ นะ นะ” นิหน่าจากฝ่ายธุรกรรมการเงินออกปากขอร้อง
ปิ๊ง! ปิ๊ง! ปิ๊ง!
“นึกออกข้อแรก เธอควรดูที่สัญญาก่อนว่า ถ้าสวยไม่ได้ภายใน 7 วัน เขาให้เงินคืนหรือเปล่า ปรกติสัญญาจะเป็นอย่างนั้นน่ะนะ ทีนี้เธอเข้าคอร์สไปกี่เดือนกี่ปีแล้ว”
นิหน่าเอานิ้วชี้จิ้มหางคิ้ว พูดช้าๆ “3 วัน”
เรื่องขอเงินคืน ของกล้วยๆ
“ดีมาก นึกว่าฉันต้องใช้แผนร้ายกาจซะแล้ว เธอมาปรึกษาถูกคนแล้ว”
“แล้วให้ทำยังไงต่ออ่ะ”
“ก็เข้าคอร์สไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ก็กินให้เยอะไปก่อน อย่าเสียรู้กินตามที่เขาแนะนำ เดี๋ยวน้ำหนักลด แล้วหน้าตาก็ควรอดทน ไม่ต้องใช้ยาที่หมอให้มาล้างหน้า คงสภาพความโทรมไว้ให้ได้มากที่สุด”
“แต่ฉันต้องเจอแฟนอาทิตย์ละ 3 วันนะ ทำแบบนั้น ฉันโดนแฟนทิ้งก่อนจะสวยแน่นอน” นิหน่าไม่เหนด้วยกับความคิดนี้
กล้วยยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปาก “เธอก็เล่าแผนการให้เขาฟังให้หมด แต่ไม่ต้องเล่าเรื่องจริงทั้งหมดหรอกนะ บอกว่า ฉันสามารถทำให้เธอสวยได้ภายในเดือนเดียว รออีกหน่อยจ่ะเธอจ๋า นิหน่ายายี๋จะสวยสุดใจ ตอนที่ขอร้องเขา ฉันอนุญาตให้เธอล้างหน้าด้วยครีมล้างหน้าบีบให้ใหญ่เท่าหัวถั่วเขียวก่อนได้”
“หา...ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ แล้วถ้าจะใช้เงิน ระหว่างนี้ฉันให้เธอยืมเงินไปจ่ายค่าห้องเช่าก่อน แต่ต้องเอามาคืนพร้อมดอกเบี้ยรายวัน ในอัตราร้อยละบาท ยืมหกพันห้า ดอกเบี้ยวันละ 65 บาท ทันทีที่ได้เงินคืน...ถ้าเธอรีบคืน ฉันลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในฐานะเป็นลูกหนี้ที่ดี โอเคไหม ส่วนค่าเข้าคอร์สความสวย ขอฉันปรึกษาคุณแม่ดูก่อน ในฐานะที่แม่ฉันถนัดเรื่องนี้มาก ไม่งั้น ท่านไม่เลี้ยงฉันมาให้ผอม สวย สูง หุ่นดี หน้าไร้สิวอย่างนี้ได้หร้อก โอเครไหม!”
“โอ่ะ...โอ่ะ...โอเค...จ่ะ” นิหน่าตามไม่ทัน เออออรับคำไปก่อน ถึงนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนหล่อนไม่ทิ้งลายงก สมเป็นยายกล้วยเกียรตินิยมงกอันดับหนึ่งที่สุด
หลังจากปรึกษากับคุณแม่ลิ้นจี่ กล้วยก็ได้ไอเดียสร้างรายได้จากการแย่งชิงการตลาดโดยวิธีใหม่ คุณแม่บอกว่า ส่วนมากร้อยทั้งร้อยสถานบริการลดน้ำหนักและออกกำลังกายทั้งหลายจะมีอัตราค่าบริการสูง เพราะต้องนำเข้ายาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากเมืองนอก รวมทั้งเครื่องออกกำลังกายรวมถึงครูสอนกีฬาแปลกๆ ที่ฮิตในหมู่คนรวย คุณแม่ชี้นำว่า เราควรพุ่งเป้ามาที่ผู้มีรายได้น้อย เปิดบริการสถานจัดการการควบคุมน้ำหนักด้วยวิถีประหยัดอดออม และสวยด้วยพืชสมุนไพรริมรั้ว คิดอัตราค่าบริการเพียงแค่กึ่งหนึ่งของสถานบริการที่นิหน่าเสียค่าโง่ใช้บริการ
ทันใดนั้นคุณแม่นึกถึงกล้วย
อึ่ม...กล้วยที่เป็นผลไม้ ที่ไม่ใช่ลูกสาวอ่ะจ่ะ ที่บ้านมีเป็นสวน ทั้งกล้วยไข่ น้ำว้า เล็บมือนาง ชะนี หมอนทอง (สองชื่อหลังมั่วจ่ะ)
ชาวญี่ปุ่นผอมสวยด้วยกล้วยมาก็เยอะ แล้วยังไม่มีศาสตร์นี้นำเข้ามาในประเทศไทย เห็นไหมว่าล้ำ นำกระแสอีกต่างหาก…หัวหมอจริงนะลิ้นจี่เอ๋ย!

อะไรที่นางลิ้นจี่คิดได้...
แผนการลดน้ำหนักและสวยด้วยกล้วยทั้งต้น
สวยผอมมื้อเช้าด้วยผลกล้วย 2 ลูก ตามด้วยน้ำสะอาด 1 ลิตร
ทุกเย็นออกกำลังกายที่ศูนย์ฝึกเตะลำต้นกล้วย หลังจากนั้นถ้าหิวมีกล้วยให้กิน ตามด้วยน้ำสะอาดล้างลำไส้อีก 1 ลิตร
ดื่มใบกล้วยต้มระบายท้อง งดชากาแฟ
ผิวขาวไร้สิวด้วยคอร์สขัดผิวจากสารกล้วยสกัดสองวันครั้ง
รับประทานอาหารมื้อปรกติเพียงมื้อเดียว โดยรับปิ่นโตจากนางลิ้นจี่ (ส่วนนี้จ่ายแยก ราคาถูก ไม่รวมกับค่าบริการหลัก)
คุณแม่ลิ้นจี่ จึงตั้งชื่อศูนย์บริการความงามด้วยกล้วยว่า “สวย กล้วย กล้วย”
โดยมีลูกค้ารายแรกคือ ‘นิหน่า’
ภายในหนึ่งเดือนที่นิหน่าได้รับการบริการจากกล้วย เธอก็มีเงินเหลือเก็บ เพราะกล้วยที่เป็นคนและเป็นอาหารช่วยชีวิตไว้แท้ๆ นิหน่าถ่ายท้องทุกวัน สิวจึงไม่แผ้วพาล หน้าอกใหญ่และนุ่มขึ้นเป็นผลจากสารในผลกล้วย ยิ่งได้สารสกัดจากธรรมชาติขัดหน้า ออกกำลังทำให้เลือดลมสมบูรณ์แล้วเขายังสนิทกับเพื่อนๆ ที่เข้าฟิตเนสเตะต้นกล้วย หน้ายิ่งใสเด้ง
แถมประหยัดที่สุดจากอาหารปิ่นโตรสเยี่ยมราคาถูกยิ่งกว่าถูก ทำมาจากพืชริมรั้วและพืชธรรมชาติที่เกือบขายในราคาให้ฟรีที่ตลาดยามบ่ายยามที่แม่ค้าโละแผง เมื่อรู้จักดัดแปลงวัตถุดิบก็กลายเป็นอาหารอร่อย
นิหน่าจึงสวยด้วย มีเงินเก็บสร้างครอบครัวด้วย
ปากต่อปากบอกต่อไปเรื่อยๆ จึงมี “สวย กล้วย กล้วย” ขยายไปถึงลาวและเวียดนาม สาขาที่ 10 สาขาสุดท้ายเปิดที่อุบลราธานี ที่นั่นมีกล้วยป่าเป็นวัตถุดิบเยอะ
กล้วยคือผู้นำกระแสความประหยัดตีสินค้าไฮเอนด์กระจุย กระแสความพอเพียงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อเดียวกับชื่อร้าน กลายเป็นเบสต์ เซลเล่อร์ ติดอันดับที่หนึ่ง สามสัปดาห์ซ้อนที่ร้านมิโจ๊ะชุค๊ะ

บอกฉันบอกเธอ
การกินอยู่เท่าที่จำเป็น สร้างสมดุลย์ให้ชีวิต

เสน่ห์เอเชี่ยน


ภาพฉายแทนสายตามนุษย์
คัต!!!
“เหนื่อยจังเลย ทำไมวันนี้มีแต่ซีนยากๆ” ใบเตยใบยาวสีสวยไร้ที่ติโอดครวญกับผู้กำกับฮาริกโก้ (ชื่อของเขาแปลเป็นภาษาไทยว่า ถั่วแขก)
โนริสาหร่ายเดินหน้าบูดเข้ามา
“ผู้กำกับฯ คะ ทำไมต้องเอาหนูมาถ่ายคู่กับใบเตยที่สีเขียวเหมือนกัน เมื่อวานก็ถ่ายคู่กับใบกระเพรา อยู่ด้วยกันก็มีแต่กลืนๆ กลมกลืน ไม่มีใครเด่น ไม่สิ! หนูไม่เด่น แม่นั่นเด่นกว่าเพราะว่าตัวสูงและสด สีสว่างกว่า” หล่อนกระทืบเกี๊ยะไม้กึงๆ สะบัดหน้าจนสะเก็ดสาหร่ายเผลอหล่นผล่อยๆ
“มันยังใช้ไม่ได้น่ะสิ” ผู้กำกับมาดเข้มพูดเชิงตำหนิ
“หา... ทำไม พวกเราทั้งดัดตัว เอี้ยว สะบัด สลัด สารพัด อะไรกัน! ยังใช้ไม่ได้รึไงนี่” นึกว่าโนริสาหร่ายจะหยุดปากบ่น หารู้ไม่ ว่าไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เธอรู้ว่างานโฆษณาเสน่ห์เอเชี่ยนครั้งนี้ ไม่มีทางขาดเธอได้ ตราบใดที่ญี่ปุ่นยังเป็นเผ่าพันธุ์สำคัญในเอเชีย เธอก็คือนักแสดงหลักที่ผู้กำกับจะขาดเสียไม่ได้
นั่นเป็นเพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ ที่เข้าใจว่าโนริสาหร่ายกำเนิดที่ญี่ปุ่น อันที่จริงโนริสาหร่ายเกิดขึ้นจากที่อังกฤษและเวลล์ เรียกอีกชื่อว่า “ลาเว่อร์”
แล้วๆ โนริสาหร่ายที่โด่งดังในญี่ปุ่นจนนึกว่ามันเป็นของญี่ปุ่นแท้ๆ ก็รับจากทวีปอเมริกาเหนือเข้ามาอีกที
“ก็เพราะว่ามันยังไม่ได้ระดับน่ะสิ่” ถั่วฮาริกโก้ตะคอก เขาเกลียดกริยาไร้ความคาราวะของโนริสาหร่ายเสียเหลือเกิน เกิดสงสัยว่าหล่อนเกิดที่ญี่ปุ่นจริงๆ หรือเปล่า ทำไมอุปนิสัยนอบน้อมถ่อมตนไม่มีเหมือนคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เลย
ทว่า มันไม่ใช่ปัญหาจากสายพันธุ์ ต้นกำเนิดนิสัยเสียจริงๆ อยู่ที่กมลสันดานต่างหาก
และหารู้ไม่ว่าฮาริกโก้เองน่ะแหละ เป็นตัวตั้งตัวตีชวนผู้อื่นทะเลาะ
มะเขือเทศผู้ช่วยผู้กำกับฉุน จึงถามขึ้นมาบ้าง “ผู้กำกับถ่ายงานนี้มากี่วันแล้วคะ”
“3 วัน” เขาตอบโดยที่ไม่รู้สึกตัวว่าใช้เวลาถ่ายทำมากเกินไปแล้ว “ทำไมเหรอ ก็ในเมื่อมันห่วย ผมก็จะทำจนกว่ามันจะดีถึงระดับ ถ้าคุณไม่มีความพยายาม คุณก็ไม่ควรมาเป็นลูกน้องผม”
เขาดุลูกน้อง มะเขือเทศแก้มแดงปลั่ง อับอายขายหน้าที่โดนดุต่อหน้าต่อตานักแสดง ถั่วแขกชอบข่มคนเป็นที่สุด วันนี้ก็เช่นกัน
“วันนี้นักแสดงเลิกกองได้ พรุ่งนี้เจอกันตอน 8 โมงเช้า กรุณามาทำงานในสภาพสมบูรณ์ ถ้าใบใครเว้าแหว่ง ลำตัวขาดรุน พรุ่งนี้รูปร่างไม่สมบูรณ์จะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการเป็นนักแสดง ส่วนทีมงาน ประชุมงานที่ห้องประชุมอีก 10 นาที”
ถั่วฮาริกโก้สั่ง แล้วเดินออกไปหาปุ๋ยสูตรน้ำกิน

“อะไรว่ะ ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เอา” มะเขือเทศบ่นกับผักชีฝรั่ง
“คงคิดอะไรขึ้นมาใหม่แล้วอยากจะลองของ แกก็รู้ว่าตาถั่วนั่นจะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้ เชื่อเด่ะ ว่าพรุ่งนี้ต้องมีอะไรใหม่ที่อยากได้ ถึงเรียกพวกเราประชุมอีก แกว่างานนี้ใครซวย” ผักชีฝรั่งผู้ช่วยผู้กำกับฯ ที่สองลองเชิงถามคำถามเพื่อน
“ทั้งหมด” มะเขือเทศเคี้ยวหมากฝรั่งแก้เซ็ง หยึ่ย หยึ่ย หยึ่ย...
“แหม แก ตอบงี้ก็ถูกน่ะสิ ฉันถามใหม่ดีกว่า ใครซวยที่สุด”
“ฟักทอง”คราวนี้ผู้ช่วยผู้กำกับฯ ที่หนึ่ง ตอบเร็ว เพราะจากสถิติแล้ว ฟักทองฝ่ายแคสนักแสดงโดนระเบิดถั่วแขกลงอยู่บ่อยๆ
“แกคิดเหมือนฉันเลยว่ะ ฉันว่าไอ้ฟักทองซวยสุด” ผักชีฝรั่งค้อมหัวเอนไปเอียงมา อย่างคนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป

ในมุมห้องแต่งตัว, ใบเตยกำลังลบเครื่องสำอางเคลือบใบออกเพื่อให้ผิวใบได้พักผ่อนเจอลมอากาศของโลกความเป็นจริงบ้าง โนริสาหร่ายก็เช่นกันขะมักเขม้นใช้กาวใสรุ่นพิเศษติดสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยเติมส่วนที่สึกหรอ ให้ผิวเต็มตึงสมบูรณ์แบบ
“ว่าไหมผู้กำกับคนนี้เรื่องมากจริงๆ ทำอย่างกับตัวเองเก่งเต็มประดา ก็จริงที่มีรางวัลประดับตัวเยอะ ไม่งั้นไม่กร่างอย่างนี้ ทั้งๆ ที่งานที่แล้วๆ มาที่ออกมาดี เพราะใช้เวลานาน อย่างนี้ใครก็ทำได้ คนเก่งที่จริง ต้องเร็วและทำงานดี” โนริสาหร่ายบ่นให้ใบเตยฟัง โดยไม่สนใจว่าใบเตยจะร่วมเสวนาด้วยหรือเปล่า แต่หล่อนถือว่าหล่อนโด่งดัง คนดังพูดใครๆ ก็ควรอยากฟังสิ
กลับกันใบเตยนางแบบน้องใหม่สดซิงกว่า พูดแดกดันอย่างไม่เห็นหัวรุ่นพี่รุ่นน้อง “ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นอย่างไร งานก็คืองาน หัวหน้างานยังไม่พอใจก็ต้องอดทนไม่ใช่หรือคะ”
“นี่หล่อนกล้าสอนฉันหรือ” โนริสาหร่ายพลิกตัวบางๆ หันหน้าไปทางใบเตย
ใบเตยมองย้อน ทำเสียงเยาะเย้ย “ยิ่งเป็นรุ่นพี่อาวุโสมากกว่าหลายเท่า ยิ่งมิกล้า แค่พูดความจริง”
“ความจริงที่ไม่ควรอ้าปากพูดล่ะสิ พูดกับเธอแล้วอารมณ์เสีย ขอให้ถ่ายพรุ่งนี้ ไม่เจอซีนเดียวกับแก คอยดู ฉันจะทำให้เธอไม่ได้เกิด ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ ว่าใบเตยคือใบไม้ที่สาบสูญเพราะรัศมีความงามของโนริสาหร่าย” อีกฝ่ายขู่อาฆาตเสียงแว้ดๆ
“ทำให้ได้ ไล่ให้ทันถ้าไม่แก่เสียก่อน ฉันกลัวแต่ โนริสาหร่ายจอมลวงโลกว่าผิวเรียบเนียน กรอบอร่อย ทว่าหลับหลังโปะกาวพิษกินไม่ได้เพื่อพยุงสภาพผิวทุกชั่วโมง โฮ่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ”
“หนอย...ยัยใบเตยเหม็นเขียว สักวันแกก็ต้องเน่าเหมือนกันแหละ ถ้าวันนั้นมาถึง ฉันจะหัวเราะให้สะเก็ดร่วงระนาวเลย สภาพใบเตยเน่าน่าเกลียดกว่าสาหร่ายเกล็ดหลุดตั้งเยอะ ว่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
นี่หรือคนดังที่ผู้คนชื่นชมกันนักกันหนา ปั้นหน้ากากยิ้มแย้มใส่กันดีกว่าไหม พริกหวานแม๊คอัพอาร์ตติสประจำสตูดิโอฟังและเย้ยหยันอย่างเงียบเชียบ หล่อนเหยียดดาราที่ร้ายใส่กันลับหลังผู้คน เบื่อพอๆ กับ เจอม็อบเดินประท้วงกลางถนน
“เบื่อโว้ย”
ใบเตยยิ่งอารมณ์เสียอยู่จึงค่อนขอดกลับ “เบื่ออะไร เธอมีสิทธิเบื่อด้วยเหรอ ทำงานง่ายๆ ของหล่อนไปแหละ”
พริกหวาน หวานอร่อยและไม่เผ็ด แต่ยีนส์อารมณ์ขี้รำคาญเยอะ ถึงขั้นต้องฝึกสมาธิให้จิตใจเย็นทุกอาทิตย์ บัดนี้ทำนบความอดกลั้นพังลงแล้ว
“เบื่อพวกหล่อนแหละ ฉันล่ะอยากเปลี่ยนอาชีพไปเขียนหนังสือนินทาดารา จะเขียนให้ถึงกึ๋นเลย ว่าหน้าจอ หน้ากล้อง ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”
“เชอะ เธอไม่รู้หรอกว่าสังคมต้องการอะไร ทำไมฉันต้องเฟก ก็เพราะคนเขาไม่ชอบความจริงล่ะสิ ต้องการแค่ภาพสวยงาม วาทกรรมที่อิ่มเอิบใจ จรรโลงโลก ถ้าผู้คนต้องการความเน่าเหม็น สังคมที่ขุ่นคุ้ง ดาราก็ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวให้ยาก นุ่งผ้าถุงกระโจมอกออกจากบ้างมาก็หมดเรื่อง สองวันเหี่ยว สามวันเน่า และฉันคงไม่ได้อยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้ และก็ไม่ได้ตะกายจนเด่นสง่า เป็นดาวประฟ้าเหมือนทุกวันนี้หร้อก ไม่สงสัยเลย ทำไมเธอถึงเป็นแค่น็อตเครื่องจักรอย่างนี้” โนริสาหร่ายผู้อยู่ในแวดวงพรีเซนเตอร์มานานสอนงานคนรุ่นหลัง
แก๊ก…
ถั่วแดงเม็ดใหญ่เปิดประตูเข้ามา
“พริกหวาน เข้าประชุมได้แล้ว ถั่วแขกฮึมๆ อยู่ข้างนอกน่ะ”
พริกหวานรับรู้ แล้วสั่งเสียนางแบบทั้งสองว่า “ฉันต้องไปล่ะ แม่ดาราคู่เฟก พรุ่งนี้เจอกัน อ่ะ...อ่ะ กรุณาเก็บซากพวกคุณให้เรียบร้อย ถ้าคิดจะทึ้ง-ทะเลาะกันในห้องนี้ ฉันไปทำงานเล็กน้อยเพื่อช่วยให้พวกคุณสวยในวันรุ่งขึ้นล่ะ พรุ่งนี้จะได้รู้ว่าต้องสู้รบหรือเจอกับนางฟ้าเพิ่มบ้าง”
“เชิญ ไม่มีใครรั้ง” โนริสาหร่ายพูดเสียงเรียบๆ เป็นการประชด
“จะรั้งก็ได้น้า” พริกหวานเย้า แล้วก็หัวเราะชอบใจเดินออกจากห้อง นี่เป็นผลจากการฝึกสมาธิมาได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว
ในห้องประชุม--ฮาริกโก้ทุบโต๊ะ ปัง!!! ชี้มือกราดว่าลูกน้องเสียๆ หายๆ
“พวกคุณทำงานกันอย่างไร กี่วันแล้วที่งานออกมาเซ็ง ไร้อารมณ์เย้ายวน นี่หรือเสน่ห์เอเชี่ยนที่ใครๆ ฝันถึง ฟักทอง ไหนดารา เมื่อไหร่จะหาได้ลงตัวเสียที หามาไม่ขาดก็เกิน ทำงานมากี่ปีแล้ว ห่วยแตกชะมัด ฉันมีทีมงานแบบพวกเธอ รู้ไหมว่า ฉันควรจะริบเงินเดือนส่วนของพวกเธอคนละ 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าต้องแก้งานให้ ชี้นำ แนะแนว คิดเองเป็นไหม ตัดสินใจอะไรได้เฉียบขาดบ้าง”
“มาสายมาช้าก็อีก ทำงานไม่ตรงเวลา ไม่มืออาชีพ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ ไม่มีที่ไหนรับคุณเข้างานอีกแล้ว” ฮาริกโก้เหน็บพริกหวานและถั่วแดงที่มาช้า
“มุมกล้องก็อีก ผมบอกแล้ว ว่าไม่เอา ไอ้ที่เบลอๆ อาร์ตๆ เห็นครึ่งตัว หัวแหว่ง แขนขาด ผมต้องการให้ผู้ชมเห็นความงามเต็มตัว สวยตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพออกมาชัด ง่ายๆ แค่นี้ทำได้ไหม บอกหูจะฉีกแล้ว ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ สามวันแล้วนะ นี่ทำงานอยู่ ไม่ใช่ฝึกงาน”
พริกแดงแม็กซิกันส่ายหัว เขาขึ้นชื่อว่าเป็นตากล้องที่ผู้กำกับต้องการตัวมากที่สุด เขาคิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะร่วมงานกับฮาริกโก้ ควันขึ้นหัว เขาเป็นตากล้องที่มีอีโก้ไม่แพ้ผู้กำกับฯ
“แล้วมันออกมาสวยไหม”
ตัวของฮาริกโก้เบ่งบวมด้วยความโกรธ
“สวย แต่ไม่ใช่งานที่ผมอยากได้ ผมอยากได้งานที่เนี้ยบนิ้ง”
“ก็ผมทำแบบที่คุณต้องการไม่เป็น นั่นมันสายตามุมมองของคุณ ทุกอย่างคุณออกแบบไว้ในหัว ผมก็ทำอย่างที่คุณอยากจะได้ แต่คุณก็บอกว่าไม่ได้ สายตาของผมมองความสวยงามแบบนี้นี่หว่า”
“คุณก็แค่วางภาพให้ตรงกรอบ แต่อารมณ์มันไม่ได้ ตอนที่อะไรใช่ อารมณ์ลงตัว คุณก็ดันทำปลายใบเตยขาดเสียนี่ ไม่งั้นป่านนี้เราก็เลิกกองไปแล้ว กลับบ้านหาเมีย งานจบ ได้เงิน ไม่ต้องมานั่งถกกันหน้าเขียวหน้าแดงแบบนี้”
พริกแม็กซิกันเริ่มชอบฮาริกโก้ขึ้นมาทันใด ประทับใจความมุ่งมั่นเอาแต่ใจของผู้กำกับคนนี้เต็มประดา มันเหมือนกับเพื่อนเก่าแก่ชาติที่แล้วมาเจอกัน
“ผมจะพยายามให้ได้ซีนนั้นอีกครั้ง”
“นั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยิน”
ฮาริกโก้หันมาสั่งงานที่เหยื่อรายใหม่
“ฟักทอง นี่คืองานใหม่ของนาย ต้องทำให้ได้ก่อนพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า ติดต่อ ขิง ข่า หน่อไม้ พริกขี้หนู กุ่ยช่ายขาว กุ่ยช่ายเขียว ตะไคร้ ใบโหระพา แล้วก็เรียกใบกระเพรากลับมาอีกครั้ง พรุ่งนี้ผมจะถ่ายรวมทุกคน วันซ็อต”
“ตายล่ะหว่า วันนี้แค่สองนางยังถ่ายกันทั้งวัน” ผักชีฝรั่งเผลอบ่น
“ก็เพราะแกไม่ได้ความ แค่ให้เช็ดคราบเปื้อนที่ใบเตย แกยังงมหายังกับหาเข็มในมหาสมุทร ไปเช็ดรองเท้าเกี้ยะดีไหม แล้วเอาเงินเดือนไป 20 บาท” ฮาริกโก้นึกเรื่องตำหนิผู้ช่วยเขาขึ้นมาได้
ไม่น่าพูดเลยตรู
“ฉากล่ะครับ ฉากเดิมหรือเปล่า” มะเขือเทศถามขึ้นเพื่อช่วยเพื่อน
“เปลี่ยน เอาฉากสีขาวไข่ไก่ ขาวเจือสีไข่ไก่ ไม่ใช่สีไข่ไก่ ถ้าพรุ่งนี้เห็นสีเพี้ยนเหมือนวันนี้ ที่ฉันอยากได้สีขาวโพลน แต่แกก็ใช้สีขาวทาบ้านธรรมดา ตีโจทย์ไม่ได้แบบนี้ พรุ่งนี้แก้ตัวคืนไม่ได้อีก เดือนหน้าไม่ต้องมาทำงาน”
แหว๋! ถามอะไรก็โดน พูดอะไรก็โดน มีใครไม่โดนบ้างเนี่ย
สับปะรด--ฝ่ายคอสตูมล่ะสิ
สับปะรดหันหน้ามามองกล้อง แล้วพูด “ก็ฉันเป็นสับปะรดน่ะสิ มืออาชีพ 100/100 อย่างฉัน มีแต่ได้โบนัส เพิ่มเงินเดือน แต่รู้ไหมว่า กลับบ้านไป ฉันทำงานหนักขนาดไหน บางครั้ง คิดโจทย์งานโต้รุ่ง ไม่ได้นอน 2 ทุ่ม ตื่น 7 โมงเช้าหรอกนะ ไม่เคยด้วยซ้ำ อยากให้เข้าใจไว้ด้วย ว่าฉันแลกความเหน็ดเหนื่อย เลี่ยงงานเลี้ยงทั้งๆ ใจอยาก เงินก็ไม่ได้เอาออกมาใช้ เพราะอยากทำงานให้ดีนี่แหละ อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันตามหาชุดกิโมโนถูกใจได้จากในเว็บไซต์ คิดไว้ก่อนหน้าแล้วว่าโนริสาหร่ายคงเป็นตัวแสดงหลัก จึงสั่งมาจากเกียวโตล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ชุดของน้องใบเตยนี่ก็ต้องวัดตัวตัดเป็นพิเศษ เพราะคุณน้องหุ่นสูงชะลูดใส่ชุดดาษๆ ดื่นๆ ตามตลาดไม่ได้ ถึงกับนั่งเย็บจักรจนตาบวม งานสวยเนี้ยบคืนเดียวนี่ยากนะ”
หยุดหายใจ 5 วินาที ดึ๋งนึกอะไรขึ้นได้
“หา... แต่พรุ่งนี้ จะใช้นักแสดงเพิ่มอีก 10 ชีวิต นั่นหมายถึงเพิ่มชุดอีก 10 ชุด โชคดีที่ 9 ใน 10 เป็นชุดไทย ฉันจะรีบโทร. สั่งให้ผู้ช่วยเย็บเป็นการด่วน หลวมคับยังไงพรุ่งนี้ค่อยใช้ไม้หนีบเหน็บหลัง” สับปะรดพูดจบก็ทำหน้าเป็นสับปะรด ขึงเอาการเอางาน
กล้องแพนมาที่ถั่วฮาริกโก้
ในจอมอนิเตอร์ ฮาริกโก้พูดอย่างใส่อารมณ์ว่า “นี่แหละครับ ทีมงานของผม เบื้องหลังก็มีแต่คนผิดๆ เพี้ยนๆ อย่างนี้ เคยลองคิดจะจ้างทีมงานเหมือนสับปะรดทุกคน หากว่า ไม่ไหว...ชีวิตขาดรสชาติไปเยอะ ตัวผมเอง ใจจริงชอบฝึกฝนคน ผมไม่ค่อยชอบหรอกคนที่เก่งกาจแล้ว ทำงานด้วยกันไม่สนุก ชอบแบบนี้แหละ ขาดๆ เกินๆ เหนื่อยหน่อย แต่ได้ทำคนไม่เก่งให้มีฝีมือ คุ้มนะ ดีกว่าจ่ายเงินจ้างหัวกะทิทำงานเนี้ยบๆ ใช้งาน ผมว่าคนพวกนั้นควรทำงานที่บ้านคนเดียวดีกว่า ผมต้องการคนที่เชื่อฝีมือผม ไม่หือไม่อือ เพราะลำพังแค่เรื่องงานอย่างเดียวก็เหนื่อยมากแล้ว คุณรู้ไหมครับ ว่าคนพวกไหนที่ทำงานด้วยยากที่สุด คำตอบ...คนเก่งที่มีอีโก้จัด พวกเขาไม่เคยคิดถึงหัวจิตหัวใจคนอื่น อ่ะ-อ่ะ คุณอย่าหาว่าผมกำลังด่าตัวเองหรือนี่ ไม่จริงหรอกครับ เพราะหน้าที่ผมตอนนี้คือควบคุมคน ผมทำไปเพราะตามหน้าที่ จะบอกให้ ผมเคยงี่เง่า โง่เง่ากว่าลูกน้องของผมบางคนเสียอีก ทว่าผมฝึกฝนตัวเองตลอด เพราะไม่ชอบโดนด่าบ่อยๆ บางครั้งมันเสียกำลังใจนะครับ หกล้มหน้าคว่ำหัวคะมำ นานนะกว่าผมจึงมีวันนี้”
ฮาริกโก้ชี้ฝักมาที่หน้ากล้อง“เอาล่ะ พรุ่งนี้คือบททดสอบ พวกเขาจะพัฒนาตนเองหรือเปล่า”

หลังเลิกประชุม สับปะรดแจ้นกลับไปเตรียมงานเป็นคนแรก เขาเป็นคนที่ไม่น่าเป็นห่วงที่สุด ทุกคนจึงปล่อยผ่าน ผักชีฝรั่งและมะเขือเทศสั่งช่างเตรียมฉากสำหรับวันพรุ่งนี้ งานของพวกเขาท่าจะเบาที่สุด งานหนักที่สุดตกอยู่ที่ฟักทอง
“ทำไงดีละหว่า จะหาทันไหมเนี่ยตั้ง 10 นาง” เขาทำหน้าเหนื่อยเหมือนคนแบกโลกไว้สิบใบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย” พริกหวานจับมือฟักทอง “ในฐานะที่นายน่าสงสาร ฉันปล่อยวางเฉยๆ ได้ไง เห็นนายเหนื่อยคนเดียวไม่ได้หรอก”
“ขอบใจนะ”
“อือ”
จากนั้นทั้งสองรีบไปยังที่กูร์เมต์ โมเดลลิ่ง สาขาที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเลือกนางแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะพอหาได้ในตอนนี้

กูร์เมต์ โมเดลลิ่ง สาขา ของแท้ พลาซ่า
ชั้นที่ 1-ชั้นที่ 3 เป็นส่วนของเนื้อสัตว์ทุกชนิด ชั้นผักอยู่ที่ชั้นที่ 4-ชั้นที่ 6 เขาตรงไปที่ชั้น 6 ในส่วนของพืชพรรณเอเชี่ยน
นางแบบทุกคนยืนเป็นระเบียบสวยเด่น ไม่แพ้กัน หากว่าเขาทั้งสองคนเฟ้นหานางแบบพันธุ์ดี มีชื่อเสียง รวมถึงต้องคำนวณคอมโพสเมื่อเข้าฉาก ดังนั้น ร่างกายของนางแบบทั้งหมดต้องสมดุลกัน พวกเขาจึงต่อสายโทร. หาผู้ช่วยผู้กำกับฯ ขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเลือกนางแบบครบครัน 10 นาง นัดแนะเวลาทำงานเรียบร้อย เวลาก็ปาเข้าไปตีสอง นั่นแปลว่า พวกเขามีเวลากลับบ้าน พักผ่อน ตื่นนอน เตรียมตัวมาทำงานก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง อย่างเต็มที่ภายใน 5 ชั่วโมงที่เหลือ
นอนน้อยได้อีก TOT

07.00 น. ที่สตูดิโอ ผักชีฝรั่งและมะเขือเทศรอท่าอยู่ สียังแห้งไม่สนิท เขาจึงทำป้ายติดว่าห้ามเข้าใกล้ เพราะไม่อยากให้ฉากพังเวลานี้
สับปะรดตาบวมเดินมาพร้อมผู้ช่วยสองคน ขนชุด 1 ราว ลากพื้นดังแกกๆ
“ให้มันยุ่งได้อย่างนี้สิ”
หูฝาดไปหรือเปล่า ร้อยวันพันปีสับปะรดไม่เคยบ่น แต่ว่าวันนี้เอ่ยปากบ่นแฮะ!
“พวกหล่อน เอาชุดเข้าห้อง ดูซินางแบบคนไหนมาแล้วให้ลองชุดก่อน ดูว่าใครที่คับเกิน หลวมไม่เป็นไรกลัดเข็มกลัดได้ แต่คับต้องเย็บชุดใหม่ ให้เร็วให้ไว มายืนเอ๋อทำไม ไปทำงานสิยะ” สับปะรดสั่งงานลูกน้อง ตอนนี้เขาเหมือนฮาริกโก้อีกคน น่ากลัวจริงๆ
พริกหวานวิ่งหน้าเริ่ดเปิดประตูเข้ามา
“โหยยยย นึกว่าตื่นไม่ทันซะแล้ว” เขาบอกกับผักชีฝรั่ง
“เมื่อคืนนอนกี่ชั่วโมงล่ะ”
“2 ชั่วโมง แค่ช่วยฟักทองก็เหนื่อยอยู่แล้ว กลับบ้านไปก็เตรียมข้าวของแต่งหน้าแต่งตัวนางแบบ ไอ้โน่นก็ไม่มี ไอ้นี่ก็ขาด ต้องออกนอกบ้านมาพลาซ่าอีกรอบ หาซื้อเครื่องสำอาง เป็นอันว่า ฉันนี่แหละที่เหนื่อยกว่านายฟักทอง”
“แหม...ถ้าไม่ชอบเขา เธอก็ไม่ช่วยหรอก จริงไหม” ผักชีฝรั่งแซว เขาลอบสังเกตรักในที่ทำงานของคู่นี้บ่อยๆ
“บ้า พวกนายพูดอะไร ฉันแค่สงสาร เห็นงานหนักแอ้ดอยู่คนเดียว ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ดีนะที่ฉันไม่มีตา ไม่งั้นคงแดงช้ำ ปูดโปน ปิดผ้าก็อตมาทำงาน ดี๊...ดี แวะโดปปุ๋ยชีวภาพกระทิงทองที่ร้านเซเว่นทีนเข้าไป ถึงเอาอยู่ หวังว่าวันนี้คงจบคงสิ้นกันสักทีนะ”
“พวกเราก็สาธุว่าขอให้เป็นเช่นนั้น” ผักชีฝรั่งพนมใบแต้
ที่ห้องแต่งหน้า พริกหวานผลักประตูเข้ามา นางแบบมารออยู่แล้ว 5 ชีวิต ขาดอีกครึ่ง
ผู้ช่วยฝ่ายคอสตูมขะมักเขม้นขยายชุดให้นางแบบ 2 ใน 5 เข้ารูปร่าง พริกหวานรีบจัดการดูเสื้อผ้า เห็นว่าน้อยชิ้น สับปะรดคงตีโจทย์ให้เห็นผิวเนื้อที่แท้จริงของนางแบบ เหนื่อยพริกหวานอีกล่ะสิ หล่อนรีบปะโบ๊ะนางแบบให้สมบูรณ์ที่สุด
ฮาริกโก้ลงจากรถ พร้อมภาพม็อกอัพงานถ่ายโฆษณาวันนี้ ที่เขาวาดเพื่อชี้แนวลูกน้อง 5 แบบ จากเดิมที่วางไว้แค่วันช็อต เขาว่าจะลองถ่ายทุกแบบ ฮาริกโก้ต่างหาก ที่เมื่อคืนที่ผ่านมายังไม่เห็นหมอนเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
เมื่อนางแบบมาครบทุกชีวิต ทีมงานก็สาละวน ไม่มีใครอยู่นิ่ง งานใครเสร็จ ก็ต้องช่วยงานคนอื่นที่ล้นมือ ผักชีฝรั่งถึงกับลงมาช่วยพริกหวานแต่งหน้าแต่งตัวนางแบบ สับปะรดดูแลความสวยงามเป็นระลอกสุดท้าย นางแบบทุกคนออกมาสวยงามน่าพอใจ
08.45 นางแบบแต่งตัวพร้อม ตากล้องมาถึงแล้ว ผู้กำกับบรีฟงานกับเขาอยู่ 09.00 น. จึงเริ่มถ่ายงาน วันนี้ทุกคนฮึด เหมือนนักรบที่กำลังตีค่ายศัตรูให้แตก เพราะไม่อยากให้เวลาเยื้อนานไปกว่านี้ ผลผลิตจึงออกมาสมบูรณ์ทั้ง 5 แบบ มีหยุดพักกินปุ๋ยสองมื้อ มื้อละ 5 นาที ยกเว้นตากล้องและผู้กำกับที่กินไปถ่ายงานไป เขาไม่ได้วางมือจากงานเลย หยุดพักแค่เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวกับโดปปุ๋ยน้ำชั้นดีอย่างแรง
โน่น!!! เสร็จงานเกือบตีสามของอีกวัน
“เหนื่อยโว้ย!!!” คือคำประกาศลั่นของฮาริกโก้เมื่อสั่งคัตซีนสุดท้าย
สามอาทิตย์ล่วงผ่าน
เมื่องานออกสู่สายตาประชาชนทางโทรทัศน์ เรตติ้งพุ่งกระฉูด คนพูดถึงทั้งเมือง พืชพรรณตามท้องถนนเลียนแบบการแต่งตัวที่สับปะรดออกแบบ งานติดอันดับหนึ่งใน AD-Broad ของฝั่งอังกฤษหลายสัปดาห์ กวาดรางวัลในภูมิภาคอีกเพียบ หลังจากนั้น งานจึงมีเข้ามาให้ทำอีกเรื่อยๆ ทีมงานเริ่มชินกับงานหนักเพราะพวกเขามีคุณธรรมการทำงานประจำใจก็คือ ขยันให้เท่าฝูงมด อดทนเป็นวัว ซื่อสัตย์เหมือนนกกระเรียน สร้างสรรค์เช่นมนุษย์ สวยงามพริ้งเพริศเฉกผีเสื้อ

บอกฉันบอกเธอ
ความสมบูรณ์แบบทั้งหลายแลกมาด้วยหยาดเหงื่อไคล